"...อาจารย์ได้ย้ายจากบ้านพักสวนรถไฟ มาอยู่ที่หมู่บ้านจิรัฐติกร บนถนนเสนานิคม 1 ก่อนเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2534 อาศัยอยู่กับหลาน 2 คน ภายหลังที่ภรรยาเสียชีวิต ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ขี่จักรยานไปรอบหมู่บ้าน และบางครั้งไปไกลถึงปากซอยโชคชัย 4 ซึ่งผมยังคิดไม่ออกว่าอาจารย์ขี่ไปได้อย่างไร อาจารย์เสริมว่า เป็นกิจกรรมที่ทำมากว่า 30 ปีแล้ว เรียกว่า รู้จักพ่อค้าแม่ค้าเกือบทุกร้าน หลายร้านปิดไป พร้อมมีร้านเปิดใหม่มาเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่อาจารย์ได้สัมผัสและไม่เคยเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดคือ การกู้ยืมนอกระบบ ถูกขูดรีดด้วยดอกเบี้ยรายวันที่โหดร้ายต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากการถูกทวงหนี้ จนหลายครั้งที่อาจารย์ทนไม่ได้ ให้เงินไปชำระหนี้แทนจนเป็นที่มาของการได้รับอาหาร และของใช้มาเต็มตะกร้าหน้ารถจักรยาน..."
การใช้ชีวิตช่วงเช้าในตลาดหมู่บ้านเสนานิคม ทำให้ผมได้กลายเป็นสมาชิกสภากาแฟในหมู่บ้านฯ โดยปริยาย ได้พบปะพูดคุยกับสมาชิกทุกรุ่น ทุกวัย สนทนากันทุกเรื่อง มีทั้งที่เห็นด้วย เห็นต่าง แต่ที่สำคัญคือการเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในสังคมสภากาแฟยุคปัจจุบัน เพราะหากเห็นต่าง สภาจะล่ม วงแตกกระเจิง แบบไม่ทันกระพริบตา
สมาชิกสภากาแฟที่โดดเด่นเห็นจะไม่พ้นชายสูงวัยที่ขี่จักรยานมาจากบ้านทุกเช้า ใส่กางเกงขาสั้นให้สีตรงกับวัน เริ่มต้นด้วยการแวะไปซื้อหนังสือพิมพ์ ปั่นจักรยานไปทั่วตลาด ทักทายพ่อค้าแม่ค้า
ทุกร้านที่ขี่ผ่านไป ก่อนหยุดแวะร้านกาแฟ “เส-นานิยม” ที่ซอยกลาง พร้อมหิ้วถุงอาหารที่ได้รับจากร้านขายอาหารในซอยมาฝากเจ้าของร้าน
ชายสูงวัยท่านนี้จะใช้เวลาจิบกาแฟ พร้อมส่งรอยยิ้มให้กับผู้ที่เข้ามาในร้าน ก่อนขี่จักรยานกลับบ้านเป็นกิจวัตรประจำวันที่ผมเห็นและสัมผัสได้ทุกวันที่แวะมา “พี่ทราบไหมว่า อาจารย์อายุ 94 ปีแล้ว” เอม เจ้าของร้านกาแฟเอ่ยขึ้นมา เพื่อให้ผมได้คลายความสงสัย นำมาสู่การได้พูดคุยกับคุณลุงคมน์ หวังศิริ หรือที่ทุกคนในตลาดพากันเรียกท่านว่า “อาจารย์”
อาจารย์เริ่มต้นเล่าประวัติตัวเองว่า “ผมเกิดในปี พ.ศ. 2474 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงปีเดียว ครอบครัวเป็นเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ” พ่อเป็นข้าราชการกรมที่ดิน ตำแหน่งนายช่างรังวัดที่ดิน เริ่มรับราชการที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งการรังวัดที่ดินในสมัยนั้น ถือว่าเป็นงานที่สำคัญมาก เป็นช่วงเริ่มต้นของการกำหนดพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เพาะปลูก พร้อมออกโฉนดที่ดินให้กับราษฎรอย่างเป็นทางการ
พ่อได้พบกับแม่ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนมีลูก 5 คน และได้แฝดของแม่เป็นภรรยาเพิ่มอีกคนหนึ่ง มีลูกเพิ่ม 7 คน ทำให้กลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว แม่พาลูก ๆ ย้ายตามพ่อไปรับราชการที่จังหวัดสิงห์บุรีและลพบุรี ก่อนแม่ตัดสินใจแยกทางกับพ่อ พาลูก ๆ เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ
ด้วยแม่เป็นคนทำกับข้าวเก่ง จึงได้รับโอกาสเป็น “ต้นเครื่อง” ถวายแด่ หม่อมเจ้าไตรทิพเทพสุต เทวกุล พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ อาจารย์เล่าว่า หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หม่อมเจ้าไตรทิพเทพสุต ได้ย้ายไปประกอบอาชีพปลูกและค้ายางพาราที่จังหวังชุมพร พร้อมให้ข้าราชบริพาร รวมทั้งแม่ช่วยดูแลวังเทวะเวสม์ ตำหนักที่พำนัก อาจารย์เล่าว่า “ผมนอนอยู่ห้องใต้บันได ชั้นห้องโถง มีหน้าที่คอยทำความสะอาดห้องพระ และเข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีวรนาถ (เทเวศร์)” แต่อาศัยอยู่ได้ไม่กี่ปี แม่ได้พาลูก ๆ ตามเสด็จไปรับใช้ท่านที่จังหวัดชุมพร ในปี พ.ศ. 2484 หนีภัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ปะทุขึ้นในประเทศไทย “จำได้ว่าพื้นที่ปลูกยางพารามีขนาดใหญ่มาก ขนานไปกับรางรถไฟจนติดแม่น้ำ” (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการจังหวัด) พร้อมได้รับโอกาสเล่าเรียนจนจบชั้น ม.6 (ชั้น ม.3 ในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ก่อนขึ้นมากรุงเทพฯ และสอบเข้าโรงเรียนนายเรือได้สำเร็จ แต่เรียนได้เพียง 1 ปี เกิดเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ที่ตนเองเข้าไปร่วมก่อกบฏกับเหล่าทหารเรือจนถูกให้ออกจากโรงเรียน กลายเป็นเด็กเร่ร่อน ก่อนไปอาศัยอยู่กับพี่ชาย ทำงานที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้มีโอกาสนั่งรถไฟจากเหนือจรดใต้ ช่วยดูแลความสะอาดตามโบกี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
ด้วยอาจารย์มีความสนใจด้านกีฬา โดยเฉพาะกีฬาเทนนิส อาจารย์เล่าว่า ในช่วงเวลาวันหยุด จะตรงไปที่สนามเทนนิส “ราชตฤณมัย” (สนามนางเลิ้ง) เฝ้าดูเด็กฝึกเล่นเทนนิสกับโค้ชฝรั่ง และเมื่อไปจนโค้ชฝรั่งชินตา โค้ชจึงเรียกเข้ามาหาแล้วบอกว่า จะสอนเทนนิสให้แต่ต้องสัญญาว่า จะขยันฝึกซ้อมและต้องเล่นให้เก่งกว่าเพื่อน ๆ อาจารย์ไม่รีรอที่จะตอบรับ จากวันนั้น อาจารย์จึงมุ่งมั่นฝึกซ้อมทำตามสัญญาจนฝีมือโดดเด่น ไม่พ้นสายตาของคุณสง่า นาวีเจริญ หัวหน้าเขตเดินรถ (ต่อมาได้เป็นผู้ว่าการรถไฟ) ทาบทามให้เป็นตัวแทนนักกีฬาเทนนิสของการรถไฟฯ ไปแข่งกับการรถไฟประเทศมาเลเซีย พร้อมกับได้รับการบรรจุเป็นพนักงานการรถไฟ และย้ายไปประจำที่สถานีหาดใหญ่ จนพบรักกับหญิงสาวที่ต้องเดินทางด้วยรถไฟไปกลับหาดใหญ่ - นราธิวาส ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นถึงลูกสาวผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส โชคดีไม่ถูกกีดกัน จนแต่งงานมีลูกด้วยกัน 4 คน (ปัจจุบันมีหลาน 5 คนและเหลนอีก 1 คน)
ด้วยการเล่นเทนนิสที่โดดเด่น ทำให้อาจารย์มีโอกาสเป็นตัวแทนนักกีฬาของการรถไฟฯ ไปแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ทั่วประเทศเรียกว่า มีสนามเทนนิสที่สถานีรถไฟไหน อาจารย์ไม่เคยพลาดพอเก่งกล้าขึ้น จึงมีโอกาสได้เล่นกับนักกีฬาทีมชาติ แม้กระทั่ง สมภาร จำปาศรี อดีตนักเทนนิสอันดับ 1 อาจารย์บอกว่า เคยชนะมาแล้ว ซึ่งในวันนั้นแข่งกันได้อย่างสูสีมาก แต่ขณะที่สมภารตีลูกแบ๊คแฮนด์กลับมา ปรากฏว่ามือเกิดสะบัดไปโดนวิกผมหลุด ทำให้สมภารต้องขอยอมแพ้ด้วยความเขินอาย อาจารย์พูดจบด้วยรอยยิ้ม
เมื่ออายุมากขึ้น อาจารย์ได้ผันตัวเองมาเป็นครูสอนเทนนิส ซึ่งคุณวิรัช ศิลปสวัสดิ์ นายช่างใหญ่โรงพิมพ์ธนบัตร แบงก์ชาติ เรียกคุณลุงคมน์ว่า “อาจารย์” แทนชื่อเล่น ทำให้ทุกคนพากันเรียก “อาจารย์” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งอาจารย์กล่าวว่า ลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจที่สุดคงหนีไม่พ้น วีณา มณีใส เพราะสอนมาตั้งแต่เด็กจนได้แชมป์ประเทศไทยและติดทีมชาติไทย
อาจารย์ได้ย้ายจากบ้านพักสวนรถไฟ มาอยู่ที่หมู่บ้านจิรัฐติกร บนถนนเสนานิคม 1 ก่อนเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2534 อาศัยอยู่กับหลาน 2 คน ภายหลังที่ภรรยาเสียชีวิต ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ขี่จักรยานไปรอบหมู่บ้าน และบางครั้งไปไกลถึงปากซอยโชคชัย 4 ซึ่งผมยังคิดไม่ออกว่าอาจารย์ขี่ไปได้อย่างไร อาจารย์เสริมว่า เป็นกิจกรรมที่ทำมากว่า 30 ปีแล้ว เรียกว่า รู้จักพ่อค้าแม่ค้าเกือบทุกร้าน หลายร้านปิดไป พร้อมมีร้านเปิดใหม่มาเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่อาจารย์ได้สัมผัสและไม่เคยเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดคือ การกู้ยืมนอกระบบ ถูกขูดรีดด้วยดอกเบี้ยรายวันที่โหดร้ายต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากการถูกทวงหนี้ จนหลายครั้งที่อาจารย์ทนไม่ได้ ให้เงินไปชำระหนี้แทนจนเป็นที่มาของการได้รับอาหาร และของใช้มาเต็มตะกร้าหน้ารถจักรยาน
ท้ายสุด ผมถามว่ามีเคล็ดลับอย่างไรถึงได้อายุยืน ไม่มีโรคมารุมเร้า อาจารย์ตอบอย่างเรียบง่ายว่า “ผมทำตัว ไม่ คือ ไม่คิดมาก ไม่เครียด ไม่โกรธ และพึงพอใจกับตนเอง จะทำอะไรก็ทำ อย่าคิดว่าทำแล้วต้องได้อะไร จะได้ไม่ต้องเสียใจในภายหลัง และการขี่จักรยานทั่วตลาดนี่แหละที่ทำให้ผมแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้” อาจารย์เสริมว่า รับประทานอาหารสองมื้อ กลางวันและเย็น แต่ยังคงจิบเบียร์ จิบไวน์บ้าง เข้านอนตอน 2 ทุ่ม ตื่นตี 5 พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างมีชีวิตชีวา และนี่คือเสี้ยวหนึ่งของชีวิตอาจารย์คมน์ หวังศิริ ที่บอกว่าตนเองเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง แต่สำหรับผม อาจารย์ถือเป็นผู้สูงวัยที่ไม่ธรรมดา ได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีความสุขในแต่ละวัน
รณดล นุ่มนนท์
13 พฤษภาคม 2568
หมายเหตุ :
ขอขอบคุณ คุณปิยะจิต ดอนศรีแก้ว (คุณเอม) ที่ร่วมสัมภาษณ์ และถ่ายภาพประกอบ Weekly Mail ฉบับนี้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา