
"...การใช้งบกลางมีเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเกิดคอร์รัปชัน แม้ว่าโครงการจะเข้าสู่ระบบตรวจสอบปรกติเมื่อเริ่มใช้เงินแล้ว แต่การประเมินผลว่าโปร่งใส คุ้มค่าเงินหรือไม่ ยังเป็นเรื่องยากตลอดมา เพราะอิทธิพลตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องและกระบวนการดำเนินการภายใต้ข้ออ้างว่าฉุกเฉินเร่งด่วน..."
การใช้จ่ายงบกลาง “รายการกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นและการจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฯ” กว่า 1.2 แสนล้านบาทมี “ความเสี่ยงสูงมาก” ที่จะเกิดคอร์รัปชันและการใช้จ่ายที่สูญเปล่า ไม่คุ้มค่า ไม่เกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่กล่าวอ้าง ด้วยปัจจัยสำคัญคือ
1. งบนี้มีความยืดหยุ่นสูงที่จะนำไปใช้โดยไม่มีแผนล่วงหน้า ทำให้อนุมัติได้ง่ายและเร็ว โครงการที่ได้รับอนุมัติไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณที่ต้องศึกษา ตระเตรียม คัดกรอง ไม่ได้เข้าสู่การตรวจสอบของรัฐสภาเช่นเดียวกับงบประมาณอื่น
2. แม้กฎหมายให้เสนอ ครม. อนุมัติ แต่ในทางปฏิบัติเป็นที่รู้กันดีว่าผู้มีอำนาจจริงคือ นายกรัฐมนตรี เท่ากับเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจสามารถเลือกโครงการตามดุลยพินิจได้ง่าย เมื่อไร้กติกาจึงขาดความโปร่งใส เป็นไปตามอิทธิพลของพรรคการเมืองและพวกพ้องได้มาก
3. การอ้างภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน เป็นเงื่อนไขให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้
“รายจ่ายงบกลาง” ปี 2569 วงเงิน 6.32 แสนล้านบาทถูกแบ่งใช้จ่ายหลายก้อน แต่ที่เสี่ยงสูงต่อการใช้อย่างบิดเบือน ไม่คุ้มค่าและคอร์รัปชันคือ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 9.8 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้านบาท รวม 1.23 แสนล้านบาท ในขณะนี้ยังมีงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 มูลค่า 1.57 แสนล้านบาทเพิ่มเข้ามาอีก
คอร์รัปชัน - รั่วไหล - ไม่คุ้มค่า เกิดขึ้นได้เสมอ!! ..
เมื่อพูดถึงงบฉุกเฉินจำเป็น คนทั่วไปมักนึกถึงงบภัยพิบัติ งบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ งบแก้ปัญหาน้ำท่วม งบฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำท่วม งบสู้ภัยแล้ง งบป้องกันไฟป่า งบแก้ปัญหาศัตรูพืชระบาด ฯลฯ แต่ความจริงงบก้อนนี้ยังรวมถึงงบราชการลับ งบปลูกป่าปลูกต้นไม้ โครงการขุดลอกคูคลอง/ท่อ ฯลฯ
สองเรื่องนี้ บอกอะไรได้บ้าง ..
เรื่องแรก ในปี 2565 รัฐบาลได้อนุมัติงบกลาง 2 พันล้านบาท ให้ “โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม เพื่อสร้างมูลค่าและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน” ตามที่นักการเมืองดังและอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีและที่ปรึกษารองนายกฯ ขอมา งบประมาณถูกกระจายไปให้ 4 มหาวิทยาลัยในภาคอีสานทำโครงการวิจัยลักษณะเดียวกัน ปัจจุบันผู้เกี่ยวข้องกับเงินก้อนนี้กำลังถูกดีเอสไอดำเนินคดีทุจริต
เรื่องที่สอง งบเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานเร่งเสนอโครงการด่วนมาก ทำให้นึกย้อนบทเรียนความเสียหายเมื่อครั้งโครงการไทยเข้มแข็งและโครงการเราไม่ทิ้งกัน เพราะด้วยเวลาที่จำกัดทำให้หน่วยงานต่างๆ ไม่มีเวลาคิดจึงงัดเอาแฟ้มโครงการที่ตนไม่กล้าเสนอเข้าสภา และ “โครงการที่ถูกตัดทิ้ง” ในการพิจารณางบประมาณประจำปี มาตัดแต่งแล้วยัดกลับมาใหม่ พวกนี้มักเป็นโครงการฟุ่มเฟือย หละหลวม ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์คุ้มค่า หรือไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงาน
มีตัวอย่างโครงการที่นักวิจัยของทีดีอาร์ไอตั้งคำถามว่า กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงไหม ถึงมือประชาชนจริงหรือไม่ เช่น จังหวัดระยอง เสนองบ 50 ล้านบาทสร้างซุ้มตรวจการและรั้ว ภายใต้ชื่อ “โครงการปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สมเด็จพระเจ้าตากฯ” และอีกโครงการเป็นการติดตั้งเสาไฟบนถนนอ่างดอกราย งบ 5.7 ล้านบาท เป็นต้น
บทสรุป
เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐในยามจำเป็น กรมบัญชีกลางมักออกมาตรการเร่งรัดการจัดซื้อฯ เช่น ลดเวลาการดำเนินขั้นตอนจัดซื้อฯ และผ่อนปรนเงื่อนไขการประกวดราคา แต่เจตนาดีเช่นนี้กลับทำให้พวกคนโกงมีข้ออ้างหลบเลี่ยงมากขึ้น
การใช้งบกลางมีเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเกิดคอร์รัปชัน แม้ว่าโครงการจะเข้าสู่ระบบตรวจสอบปรกติเมื่อเริ่มใช้เงินแล้ว แต่การประเมินผลว่าโปร่งใส คุ้มค่าเงินหรือไม่ ยังเป็นเรื่องยากตลอดมา เพราะอิทธิพลตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องและกระบวนการดำเนินการภายใต้ข้ออ้างว่าฉุกเฉินเร่งด่วน
ทางออกร่วมกันคือ ต้องทำให้การอนุมัติและการดำเนินโครงการที่ใช้งบกลางมีเท่าที่จำเป็น ทุกขั้นตอนดำเนินการต้องเปิดเผยแบบทันทีและตรวจสอบย้อนหลังได้ เปิดให้สื่อมวลชนและประชาชนร่วมตรวจสอบได้โดยเสรี
บทความโดย :
มานะ นิมิตรมงคล
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
4 มิถุนายน 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา