ขณะที่กำลังถังแตก สันติ หนุ่มนักลงทุนไฟแรงก็พยายามคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา โดยหวังว่าจะประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย จนกระทั่งเขาพบโอกาสที่อาจเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง
ซีรีส์ไทยเรื่อง "สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn) " เป็นผลงานดราม่าธุรกิจที่สร้างจากเรื่องจริงของ Thunder Express สตาร์ทอัพด้านการจัดส่งที่กลายเป็นยูนิคอร์นแห่งแรกของประเทศไทย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มาจากชนบทเพื่อท้าทายอำนาจของเจ้าสัวผู้ทรยศ
จุดเด่นของ สงคราม ส่งด่วน คงจะเป็นในส่วนของเนื้อเรื่องที่เป็นวัตถุดิบที่ดูน่าสนใจมาตั้งแต่แรกแล้ว อย่างการนำเรื่องราวของคุณ คมสันต์ แซ่ลี มาดัดแปลงแต่งเติมใหม่ เพื่อความบันเทิง ไม่ใช่เรื่องราวชีวประวัติ แบบที่หลายๆ เรื่องชอบทำกัน ผลของมันที่ออกมาก็ต้องยอมรับว่า ซีรีส์ ว่ากันตามตรงตัวของผมเอง อาจไม่ใช่คนที่ชอบดูซีรีส์ยาวๆ มากเท่าไหร่ เนื่องจากต้องเสียเวลาดูมากๆ แต่เรื่องนี้สามารถทำให้ผมติดหนึบได้ตั้งแต่ตอนแรกที่ดูจนมารู้ตัวอีกทีก็คือตอนจบไปซะแล้ว
สงคราม ส่งด่วน ใช้เวลาสองตอนแรกในการทำความรู้จักกับตัวละคร สันติ แซ่ลี ตั้งแต่เหตุผล นิสัยใจคอ และเป้าหมายของตัวละคร ทั้งหมดถูกเล่าออกมาด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่อง โดยไม่จำเป็นต้องออกมาพูดว่าตัวละครเป็นคนอย่างไรแต่ก็สามารถทำให้ผู้ชมเข้าใจได้ ด้วยการพาตัวละครเรื่องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะพาเราไปรู้จักตัวละครนี้ได้ค่อนข้างจะลึกซึ้งพอสมควร ทำให้ สงคราม ส่งด่วน ค่อนข้างที่จะมีพื้นฐานของตัวละครเอกที่ค่อนข้างจะแข็งแรงภายใน 2 ตอนแรก
ในตอนที่ 3 จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เปลี่ยนไปจาก 2 ตอนแรก ด้วยการเพิ่มรสชาติที่ดูจัดจ้านขึ้นกว่าเดิม พร้อมนำตัวละครเสริมมามีส่วนช่วยให้กับตัวเอก ทั้ง รุ่ยเจี๋ย และ เสี่ยวหยู ถึงแม้ทั้งสองจะดูมีนิสัยที่เข้ากันไม่ได้กับ สันติ แม้แต่น้อย แต่สามคนนี้ต่างมีจุดร่วมกันคือ ความล้มเหลวของชีวิต จึงทำให้ตัวละครทั้งสามกลายเป็นเคมีที่เข้ากันไปอย่างลงตัว
สิ่งที่ผมชอบที่สุดของเรื่องคงหนีไม่พ้น ตัวละครคู่ปรับของเรื่องอย่าง เจ้าสัว คณิน ที่ได้กลายเป็นทั้งผู้สร้างสันติ และทำลายสันติลงเช่นกัน ความสัมพันธุของสองตัวละครนี้ ได้ส่งผลให้ตัวละครเอกของสันติไม่อยากทำในแบบวิธีการของ นายทุนหน้าเลือดของคณิน แต่แล้วเมื่อวันที่เขาต้องตัดสินใจ ระหว่างความสัมพันธ์ของเขากับคนรอบด้าน และธุรกิจของเขา จนอาจทำให้เขากลายเป็นนายทุนหน้าเลือดแบบที่ตัวเองเกลียด ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงความเป็นมนุษย์ของตัวละครได้มากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ทั้งหมดที่ว่ามาถูกผูกรวมกันเพื่อมาเป็นพื้นให้กับตอนสุดท้ายของเรื่อง ที่กลายเป็นการเดิมพันแบบหมดหน้าตักแบบชนิดที่ว่า จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะทั้งหมดเดิมพันด้วยอนาคตของบริษัทและเหล่าพนักงานทั้งหมดแล้ว ถึงแม้ว่าอาจจะจบด้วยชัยชนะก็ตาม แต่ สงคราม ส่งด่วน เลือกจะเล่าเรื่องตอนจบให้อยู่กับความเป็นจริง แม้จะมีพล็อตโรแมนติกที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ใส่มาให้คนดูลุ้นกันมาบ้าง แต่ตัว ซีรีส์ ก็เลือกจะจบแบบไม่ได้เอาใจคนดูมากเท่าไหร่ ซึ่งต้องขอชื่นชมที่เลือกที่จะจบแบบนี้จริงๆ ครับ
แน่นอนว่าในแง่ของการแสดง ผมคิดว่าคงไม่มีใครจะมาติ ไอซ์ซึ ในบทบาทของสันติ อย่างแน่นอน แต่เอาเข้าจริงแล้วทุกคนในเรื่องค่อนข้างที่จะแสดงออกมาในระดับดีมากเลยทีเดียว บวกกับงานภาพและงานโปรดักชั่นต่างๆ ที่ถูกสร้างออกมาอย่างดี จึงไม่ยากที่ผู้ชมจะสามารถเชื่อในโลกที่ผู้กำกับอย่าง คุณ ณฐพล บุญประกอบ ได้อย่างง่ายได้
สุดท้ายแล้ว สงคราม ส่งด่วน ก็คงเรียกได้เต็มปากว่า นี่เป็น ซีรีส์ ที่สามารถยกระดับให้ไปสู่สากลได้อย่างไม่อายปากเลยแม้แต่น้อย เพราะหากคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่เพียง ซีรีส์ ที่มากล่อมคุณตอนก่อนนอน จนทำให้ไม่ได้เปิดดู คุณอาจจะพลาดเรื่องราวดีๆ ที่ครบรส ทั้ง การต่อสู้ทางธุรกิจ ความระทึกขวัญ ความรัก ความสูญเสีย และการเดิมพันกับชัยชนะที่น้อยคนจะกล้าเหมือนยูนิคอร์น
ภาพจาก : Netflix