"...ประเทศเหล่านี้ แทนที่จะเอาจุดเด่นที่ตัวเองมีอยู่แสดงออกมาให้โลกได้เห็นและยกระดับความด้อยของตัวเองให้ทัดเทียมกับผู้อื่น แต่กลับเอาจุดเด่นของประเทศอื่นมาเป็นความทุกข์และความเจ็บปวดของตัวเองจนกลายเป็นความอิจฉา เราจึงเห็นคลิปมากมายที่ประเทศกัมพูชาเอาความเป็นไทยไปสร้างคลิปเพื่อเคลมว่าเป็นของตัวเองแล้วนำมาเผยแพร่ให้ผู้คนในโลกออนไลน์สับสน แม้กระทั่งดินแดนตลอดจนปราสาทต่างๆยังเอาไปเคลมว่าเป็นของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย จนนำไปสู่การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาครั้งล่าสุดเมื่อ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา..."
เคยมีคนพูดว่า มนุษย์เลือกเพื่อนได้ แต่เลือกเพื่อนบ้านไม่ได้ (You can choose your friends but not your neighbours) ซึ่งน่าจะเป็นประโยคที่ไม่เกินความจริงและสามารถใช้กับเพื่อนบ้านทั่วไปที่มีบ้านเรือนใกล้ชิดติดกันหรือเพื่อนบ้านที่เป็นประเทศมีพรมแดนติดกัน หลายคนได้พบกับเพื่อนบ้านที่มีมิตรไมตรี อยู่ร่วมกันด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัยและมีความจริงใจที่จะคบกัน แต่มีเพื่อนบ้านจำนวนไม่น้อยเกิดความระหองระแหงระหว่างกันและกลายเป็นศัตรูกันตั้งแต่ยุคพ่อแม่และไม่เลิกเป็นศัตรูกันจนถึงยุคลูกหลาน ความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีทั้งเพื่อนบ้านทั่วไปและประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นปัจจัยแห่งความสงบสุขที่มนุษย์ทุกคนในโลกต้องการ
ประเทศไทยมีดินแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ที่ถูกแบ่งด้วยเขตแดนทางบกและทางน้ำ
เขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีความยาวประมาณ 5,656 กิโลเมตร แยกเป็นเขตแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 798 กิโลเมตร ไทย-ลาวประมาณ 1,810 กิโลเมตร ไทย-เมียนมาประมาณ 2,401 กิโลเมตร และไทย-มาเลเซียประมาณ 647 กิโลเมตร
การแบ่งเขตแดนดังกล่าวเป็นผลจากการตกลงกำหนดเขตแดนในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจเจ้าอาณานิคม และไทยต้องเสียอาณาเขตซึ่งเคยเป็นหัวเมืองประเทศราชมาช้านานให้แก่ประเทศทั้งสองเพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกราชและเพื่อให้ได้คืนมาซึ่งอธิปไตยทางศาล
โดยหลักการแล้ว ประเทศไทยเคารพพันธกรณีตามสนธิสัญญาที่ได้จัดทำขึ้นในอดีต และยึดถือว่าเส้นเขตแดนระหว่างกันเป็นไปตามที่ได้ปักปันกันไว้แล้ว อย่างไรก็ดี โดยที่เขตแดนส่วนใหญ่เป็นไปตามสันปันน้ำกับร่องน้ำลึกซึ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและแม้จะกล่าวได้ว่ามีการสำรวจและปักปันเขตแดนกันทั้งหมดแล้วในอดีต แต่วิชาการในด้านภูมิศาสตร์ตลอดจนเทคนิคในการสำรวจและการจัดทำแผนที่ในขณะนั้นยังไม่ก้าวหน้าเพียงพอที่จะทำให้ได้เส้นเขตแดนที่แน่ชัดเท่าที่ควร จึงทำให้จำเป็นต้องดำเนินการให้ทราบเขตแดนที่แน่ชัดระหว่างกัน
ความไม่แน่ชัดด้านเขตแดนซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการวางยาของมหาอำนาจชาติตะวันตก ทำให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างกันอยู่บ่อยครั้ง จึงต้องมีการทำข้อตกลงในระดับต่างๆเพื่อรักษาความสงบเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศกัมพูชาซึ่งแม้ว่าจะมีการทำบันทึกช่วยจำ(MOU)ระหว่างกันไว้ แต่ฝ่ายกัมพูชากลับละเมิดบันทึกช่วยจำที่เรียกว่า MOU-2543 จำนวนมากถึง 651 ครั้ง และเข้าใจว่าฝ่ายไทยได้มีการประท้วงตลอดมา ประเทศกัมพูชาจึงน่าจะเป็นประเทศที่สร้างปัญหารบกวนเกี่ยวกับเขตแดนมากที่สุดในบรรดาเพื่อนบ้านทั้ง 4 ประเทศ แม้กระทั่งเหตุปะทะที่ผ่านมาก็เริ่มต้นจากฝั่งกัมพูชาเช่นกัน
ทฤษฎีเพื่อนข้างบ้าน
มิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านเป็นความละเอียดอ่อน นอกจากความใกล้ชิดแล้วยังมี ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆอีกที่พัฒนาไปสู่มิตรภาพ เป็นต้นว่า ระยะเวลาที่มีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน พฤติกรรมและลักษณะนิสัยของเพื่อนบ้าน การแสดงออกทางอารมณ์ของเพื่อนบ้านและการยอมรับต่อความเปราะบางของแต่ละฝ่าย ฯลฯ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดให้ความเห็นว่ามิตรภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่ความสุขยิ่งกว่าการแต่งงานเสียอีก มิตรภาพระหว่างเพื่อนบ้านและระหว่างประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นปัจจัยแห่งความสุขของผู้คนที่ผู้นำแต่ละประเทศต้องตระหนักเพื่อคงไว้ซึ่งความสุขของคนทั้งสองประเทศ
เมื่อปี 1976 มีนักจิตวิทยาทางสังคมสองคนจากมหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ได้ศึกษาถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้าน จากผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ในเมืองเออร์ไวน์(Irvine) ในแคลิฟอร์เนีย เพื่อดูว่า ความใกล้ชิดทางกายภาพ(Physical proximity) มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้คนในคอนโดมิเนียมแห่งนั้นมากน้อยเพียงใด โดยได้ทำการศึกษาจากผู้อยู่อาศัยจำนวน 200 คน ด้วยคำถามเกี่ยวกับ การมีปฏิสัมพันธ์(Interaction) และความสัมพันธ์(Relationship) กับเพื่อนบ้าน เช่น ใครคุยกับใคร ใครหลีกเลี่ยงไม่คุยกับใคร ใครชอบใคร ใครไม่ชอบใคร เป็นต้น พวกเขาพบว่า ยิ่งผู้อยู่อาศัยอยู่ใกล้กันมากเท่าใด โอกาสที่พวกเขาจะกลายเป็นเพื่อนกันจะมีมากขึ้น พวกเขายังพบด้วยว่า ยิ่งผู้อยู่อาศัยอยู่บนชั้นที่สูงมากเพียงใด พวกเขายิ่งจะมีความใกล้ชิดกันมากกว่า ความใกล้ชิดของผู้อยู่อาศัยที่อยู่ชั้นต่ำลงไปใกล้กับพื้นดิน ซึ่งหมายความว่าลักษณะทางกายภาพของที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความใกล้ชิดกันของเพื่อนบ้าน การค้นพบนี้สอดคล้องกับสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า ผลกระทบของความใกล้ชิด (Proximity effect)
อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยายังพบว่าความใกล้ชิดไม่ได้นำไปสู่ความมีมิตรภาพต่อกันเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่ความเป็นศัตรูกันอีกด้วย ที่น่าสนใจคือข้อมูลอ้างว่า ความใกล้ชิดมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความเป็นศัตรูกันมากกว่าความเป็นเพื่อนกันเสียอีก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามีความใกล้ชิดกับใครก็ตามเราก็ยิ่งเห็นธาตุแท้ของคนผู้นั้นมากขึ้นจาก พฤติกรรม นิสัยใจคอ รสนิยม และทัศนคติ และกลายเป็นความไม่สบอารมณ์จาก สภาวะแวดล้อมเป็นพิษจากคนรอบข้าง (Environmental spoiling) ซึ่งสามารถอธิบายถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังมีปัญหาต่อกัน ความใกล้ชิดจึงเป็นเหมือนเหรียญสองด้านที่สามารถสร้างสัมพันธ์สู่ความเป็นมิตรและสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นศัตรูกันได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ความใกล้ชิดระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้แก่ ไทย-ลาว ไทย-เมียนมา ไทย-มาเลเซีย และไทย-กัมพูชา มีลักษณะทางกายภาพ ภาษา วัฒนธรรม ฯลฯ ที่คล้ายกันและแตกต่างกันความสัมพันธ์จึงไม่ได้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน ไม่ได้ราบรื่นและไม่ได้มีความเป็นมิตรกันเสมอไป เพราะไม่มีวันที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดจะแสดงความเป็นเพื่อนที่ดี หากมีผลประโยชน์และมีแรงจูงใจทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงมักถูกประเทศรอบข้างหันมาแว้งกัดเราในบางช่วงเวลาเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งของประเทศนั้น
เพื่อนบ้านขี้อิจฉา
ความใกล้ชิดทำให้มนุษย์มักเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นเสมอและหลายครั้งแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาในความพรั่งพร้อมของเราในขณะที่ตัวเองมีไม่เท่า พฤติกรรมความอิจฉาเพื่อนบ้านใกล้ชิดมักแสดงออกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เป็นต้นว่า
- ชอบวิพากษ์วิจารณ์เรา
- เลียนแบบทุกสิ่งทุกอย่างจากเรา
- เมินเฉยต่อความสำเร็จของเรา
- ทำตัวเย็นชาและห่างเหิน
- ข่มเราเพื่อให้ตัวเองดูเหนือกว่า
- นินทาหรือเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับเรา
- แสดงความก้าวร้าวแบบแอบแฝง
- แสดงออกในเชิงแข่งขันกับเราทุกอย่างแม้แต่เรื่องเล็กน้อย
-โอ้อวดความสำเร็จของตัวเองจนเกินจริง
- จับตาดูพฤติกรรมการใช้ชีวิตและยุ่มย่ามในชีวิตของเรามากจนเกินไป
- ทำให้เกิดข้อพิพาทจุกจิกเล็กๆน้อยๆอยู่ตลอดเวลาและมักยกระดับให้เป็นเรื่องใหญ่
- มักหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม เมินเฉย แสดงท่าทีห่างเหินจากเรา
- แสดงความคิดเห็นในลักษณะเสียดสีหรือชมเชยเราแต่แฝงไว้ด้วยการเสียดสีหรือริษยา
- พยายามทำลายความเป็นตัวเราทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม (ทำลายความมีชื่อเสียง ทำลายกิจกรรมที่เรามีส่วนร่วม ฯลฯ)
พฤติกรรมจากประเทศเพื่อนบ้านที่แสดงต่อประเทศไทยก็ไม่ต่างกัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาคนไทยมักเห็นพฤติกรรมที่จะเรียกว่าเกิดจากความอิจฉาก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศข้างเคียงที่อยากเหมือนกับเราแต่ยังเทียบกับเราไม่ได้ นอกจากความเจริญทางเศรษฐกิจและทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่เหมาะเจาะแล้ว การเป็นชาติเก่าแก่ที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคมเหมือนกับอีก 4 ประเทศรอบบ้าน อีกทั้งยังเคยเป็นผู้ครอบครองเขตแดนของประเทศเพื่อนบ้านในอดีตของประเทศไทย จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เชื่อได้ว่าทำให้เกิดปมด้อยแก่ประเทศเหล่านั้นและพวกเขามักแสดงออกด้วยความอิจฉาจนสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยหรือแม้แต่กับประเทศตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
ประเทศเหล่านี้ แทนที่จะเอาจุดเด่นที่ตัวเองมีอยู่แสดงออกมาให้โลกได้เห็นและยกระดับความด้อยของตัวเองให้ทัดเทียมกับผู้อื่น แต่กลับเอาจุดเด่นของประเทศอื่นมาเป็นความทุกข์และความเจ็บปวดของตัวเองจนกลายเป็นความอิจฉา เราจึงเห็นคลิปมากมายที่ประเทศกัมพูชาเอาความเป็นไทยไปสร้างคลิปเพื่อเคลมว่าเป็นของตัวเองแล้วนำมาเผยแพร่ให้ผู้คนในโลกออนไลน์สับสน แม้กระทั่งดินแดนตลอดจนปราสาทต่างๆยังเอาไปเคลมว่าเป็นของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย จนนำไปสู่การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาครั้งล่าสุดเมื่อ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังเตรียมนำประเด็นข้อพิพาทที่ช่องบกยกระดับเล่นใหญ่ไปถึงศาลโลกที่กัมพูชาเคยทำสำเร็จมาแล้วในกรณีเขาพระวิหารเมื่อ 63 ปีก่อน แถมยังได้น้ำเลี้ยงจากประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่รับปากจะช่วยหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเขตแดนเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในศาลโลกยิ่งเพิ่มความฮึกเหิมให้กับสองพ่อลูกผู้นำกัมพูชามากขึ้นไปอีก คนไทยจึงมักได้ยินคำพูดที่พูดต่อกันมาช้านานว่า “อย่าไว้ใจเขมร” ซึ่งเป็นคำพูดที่ยังคงเป็นความจริงจนถึงทุกวันนี้
ความอิจฉาไม่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งความจริงเท่านั้น แต่ความอิจฉายังกลายเป็นส่วนหนึ่งในโลกโซเชียลมีเดียอีกด้วย นักวิชาการชาวเยอรมันพบว่า คนที่ใช้ เฟซบุ๊ก มากเกินไปมักทำให้เกิดพฤติกรรมที่เรียกว่า การเติบโตของความอิจฉา (Rampant nature of envy) ซึ่งมีต้นเหตุมาจาก ความรู้สึกขาดแคลนบางสิ่งและต้องการสิ่งที่ผู้อื่นครอบครองนั้นมาเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างจากความอิจฉาโลกแห่งความเป็นจริง ดังนั้นใครก็ตามที่เข้าไปอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดียมักจะได้พบกับความรู้สึกในทางลบ(Negative feeling) มากกว่าความรู้สึกในทางบวก(Positive feeling) ทั้งจากความอิจฉาและความไม่สบอารมณ์อย่างอื่นจนกระทั่งไปทำลายความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ไปจนหมด การใช้โซเชียลมีเดียแบบไม่ลืมหูลืมตาจึงส่งผลกระทบแก่อารมณ์ของผู้นั้นรวมทั้งสร้างผลกระทบอื่นๆตามมา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาๆหรือระดับผู้นำประเทศก็ตาม
นักจิตวิทยาเรียกสื่อโซเชียลมีเดียว่า เครื่องจักรไร้ความเห็นใจ(Anti-empathy machine) เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนผ่านโซเชียลมีเดีย เราสามารถแสดงออกโดยไม่ต้องสบตาหรือเผชิญหน้ากับใคร ไม่ต้องแคร์ต่อความรู้สึกของผู้คนรอบข้าง มีความรู้สึกว่ากำลังอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่ใช่โลกแห่งความจริง จนกล้าที่จะทำในสิ่งที่เราไม่กล้าทำในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งในที่สุดพฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ความเห็นอกเห็นใจที่เราเคยปฏิบัติในโลกแห่งความจริงค่อยๆหายไป จากการใช้โซเชียลมีเดียที่มากเกินความจำเป็น
โซเชียลมีเดีย เพิ่มเพื่อน ทำลายมิตร สร้างศัตรู
โซเชียลมีเดียคือกระบอกเสียงชั้นดีของผู้นำ ดังนั้นผู้นำของโลกทุกคนจึงมักใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับผู้คน เกี่ยวกับ นโยบายของรัฐบาล การแสดงจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง การปรากฏตัวในกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะโซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้คนได้ง่าย รวดเร็ว กว้างขวาง และสามารถสื่อสารได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ ที่สำคัญคือทำให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองได้สื่อสารออกไป ยิ่งผู้นำใช้ภาษากระตุ้นอารมณ์และปลุกเร้าแล้วโซเชียลมีเดียคือเครื่องมือที่ตอบโจทย์ที่สุดยิ่งกว่าสื่อใดๆและทำให้คอนเทนต์ที่สื่อออกไปกลายเป็นไวรัลได้อย่างรวดเร็ว ในบรรดาโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆที่ผู้นำใช้งาน ดูเหมือนว่า เฟซบุ๊ก จะมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของคนส่วนใหญ่และเป็นที่นิยมของผู้นำมากที่สุด
แม้ว่าอดีต นายกรัฐมนตรี ฮุน เซน แห่งกัมพูชาจะก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเหลือเพียงตำแหน่งประธานวุฒิสภาเพียงตำแหน่งเดียวก็ตามแต่อำนาจสูงสุดในกัมพูชายังอยู่ในมือของเขา ฮุน เซน มักใช้เฟซบุ๊กในการสร้างกระแสทางการเมืองและแสดงถึงความมีอำนาจเต็มเกี่ยวกับนโยบายต่างๆในกัมพูชาอยู่เสมอๆ จากการสำรวจเมื่อปี 2023 บัญชีเฟซบุ๊กของ อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน มีผู้ติดตามมากกว่า 14 ล้านคน เป็นบัญชีที่มีผู้ติดตามเป็นอันดับ 3 ของผู้นำโลก ขณะที่ผลการสำรวจในปี 2024 ผู้นำคนใหม่ของกัมพูชา นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต มีผู้ติดตามราว 1.4 ล้านคน
การโพสต์ข้อความใดๆของผู้นำกัมพูชามักสร้างแรงกระเพื่อมภายในประเทศและระหว่างประเทศอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะบัญชีเฟซบุ๊กของ ฮุน เซน ที่มีการโพสต์ข้อความในช่วงเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ผ่านมา ที่มักไม่แคร์ต่อความรู้สึกของคนไทยจนถูกทัวร์ลงและต้องปิดกั้นไม่ให้คนไทยได้เห็นโพสต์บนเฟซบุ๊กของเขาไปช่วงเวลาหนึ่ง
โดยทั่วไป ผู้นำของประเทศต่างๆที่ใช้สื่อประเภทโซเชียลมีเดียในการสื่อสาร มักเลือกใช้ภาษาอย่างระมัดระวังในการแสดงความเห็นหรือให้ข้อมูลที่มีความอ่อนไหวต่ออารมณ์ของผู้คน แต่อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซนกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม เขาเลือกใช้ภาษาที่กระตุ้นอารมณ์บนเฟซบุ๊ก จนทำให้สถานการณ์ระหว่างประเทศตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีกและคงเป็นความตั้งใจของผู้นำกัมพูชาเองที่ต้องการใช้โซเชียลมีเดียตอบโต้กับรัฐบาลไทยและตีกระทบไปยังกองทัพ รวมทั้งต้องการให้นานาชาติได้เห็นว่ากัมพูชาคือผู้ถูกรังแก
การที่ผู้นำฝ่ายไทยเลือกที่จะไม่ใช้โซเชียลมีเดียตอบโต้กับกัมพูชาที่ ฮุน เซน แสดงการข่มขู่ด้วยความก้าวร้าวตลอดมาบนเฟซบุ๊ก จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า ฝ่ายไทยต้องการใช้วิธีสื่อสารด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่ต้องการให้เกิดสงครามน้ำลายผ่านโลกออนไลน์ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีกและต้องการรักษาความเป็นผู้นำที่มีวุฒิภาวะและมิตรภาพระหว่างกันเอาไว้โดยไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยที่ตอบโต้ช้าจนเกินไปและไม่สมน้ำสมเนื้อเท่าที่ควรโดยให้ชาวเน็ตและสื่อต่างๆละเลงกันไปตามอารมณ์จึงทำให้รัฐบาลถูกมองว่าอ่อนแอ สงวนท่าทีจนเกินไปและไม่ทันเกม ฮุน เซนกับลูกชายที่กำลังฟ้องชาวโลกอยู่ทุกวันว่าเราคือ ผู้สร้างปัญหา
การที่ฮุน เซนใช้โซเชียลมีเดียซึ่งเป็นสื่อแบบเปิดกว้างและเป็นพื้นที่ที่ไม่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ในลักษณะก้าวร้าวและหลายครั้งอ้างว่าไทยคือผู้รุกรานจึงเป็นข้อความล่อเป้าและขยายสถานการณ์ให้เกินกว่าความเป็นจริงจนทำให้เกิดการตอบโต้จากชาวเน็ตฝั่งไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะคงไม่มีชาวเน็ตไทยคนไหนยอมให้ถูกข่มขู่อยู่ฝ่ายเดียว
การใช้เฟซบุ๊กของผู้นำกัมพูชาต่อกรณีพิพาทเกือบตลอดเวลาและยังไปเปิดศึกกับชาวเน็ตที่ ฮุน เซนอ้างว่าเป็นกลุ่มหัวรุนแรงในไทยที่ท้าทายเขานั้น นอกจากผู้นำทั้งคู่จะไม่เข้าใจหรือทำทีไม่เข้าใจในธรรมชาติของโซเชียลมีเดียแล้ว อาจมีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ เพราะโดยหลักการแล้วผู้นำประเทศที่ดีควรให้ความสำคัญในการเจรจาระหว่างผู้นำกับผู้นำกันเองผ่านช่องทางการทูตและนำมาเผยแพร่ความคืบหน้าบนโซเชียลมีเดียในภายหลัง แต่ ฮุน เซนกับลูก กลับออกมาสร้างกระแสบน เฟซบุ๊ก เป็นรายชั่วโมง แถมยังทะเลาะกับชาวเน็ตของไทยซึ่งเป็นเสียงจากคนต่างชาติที่มองไม่เห็นตัวตนและเป็นการแสดงความเห็นจากจากอารมณ์และความรู้สึกบนสื่อสาธารณะในฐานะคนไทยที่กำลังมีกรณีพิพาทกันและเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีใครห้ามได้ถ้าพวกเขาอยากตอบโต้
การที่ผู้นำกัมพูชาเลือกใช้ใช้โซเชียลมีเดียตอบโต้กับประเทศไทยจึงเป็นปัจจัยแทรกที่ทำให้มิตรภาพที่เปราะบางตามธรรมชาติของเพื่อนบ้านที่ไม่ชอบหน้ากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้เลวร้ายลงไปอีกและยังพิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่โซเชียลมีเดียถูกนำมาใช้ในเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านถูกทำลายลงจนกลายเป็นศัตรูกันโดยไม่ต้องรอให้มีการปะทะทางทหารรอบที่สอง โซเชียลมีเดียจึงสามารถทำให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันและก่อให้เกิดมิตรภาพ แต่จะกลายเป็นเป็นเชื้อไฟที่ทำลายมิตรภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านได้ตลอดเวลาหากถูกใช้ด้วย ความไม่รู้ ไม่รอบคอบและมีเจตนาอื่นแอบแฝง
บทความโดย :
พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร