
"...คดีการกระทำที่เสื่อมเสียต่อศักดิ์ตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงความเสียหายต่อดินแดนและอธิปไตยของประเทศ เพราะไม่ใช่คดีความมั่นคง แต่พิจารณาจากองค์ประกอบเพียงสองประการ คือ (1) การใช้อำนาจที่มิชอบ (abuse of power) โดยนำเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาปะปนกับผลประโยชน์ของรัฐ และ (2) การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนผลประโยชน์ของสาธารณะ (breach of public interest) การอ้างว่าการโทรศัพท์ส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหายจึงฟังไม่ขึ้น ประเด็นของคดีอยู่ที่การโทรศัพท์ส่วนตัวดังกล่าวเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียต่อศักดิ์ตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ต่างหาก..."
การที่จะวินิจฉัยว่าคนใดทำผิดกฎหมายหรือไม่? หลักกฎหมายทั่วไปถือว่า “ต้องมีการกระทำ” และ “การกระทำนั้นเป็นการกระทำที่กฎหมายขณะนั้นบัญญัติว่าเป็นความผิดและระบุโทษสำหรับความผิดนั้น” ถ้าเป็นความผิดอาญาก็ “ต้องมีเจตนา” เว้นแต่เป็นการประมาท และ “เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายโดยตรงอีกด้วย”
อย่างไรก็ตาม การกระทำความผิดไม่ได้มีเฉพาะทางอาญา ทางแพ่งหรือทางปกครอง ยังมีความผิดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ ได้แก่ คดีความผิดเนื่องมาจากการกระทำเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่ง สำหรับประเทศไทยเพิ่งนำมาใช้เมื่อ พ.ศ. 2564 โดยบัญญัติไว้ในประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564
บทความนี้จะนำหลักการของสหรัฐอเมริกามาอธิบายเปรียบเทียบกับ “คดีเทปเสียงโทรศัพท์รั่วระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา”
1. หลักการ impeachment ของสหรัฐอเมริกา
เมื่อผู้นำประเทศสหรัฐอเมริกาถูกกล่าวหาว่ากระทำการเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่ง เช่น คดีวอเตอร์เกต อันเป็นกรณีมีการดักฟังการวางแผนหาเสียงของพรรคฝ่ายตรงกันข้าม สายลับเอามาเปิดโปงร่วมกับนักหนังสือพิมพ์และอัยการ มีการกล่าวโทษไล่สายขึ้นไปจนถึงประธานาธิบดีนิกสัน การกระทำนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ประธานาธิบดีนิกสันถูก impeachment” ทว่าคดีดังกล่าวไม่ทันที่วุฒิสภาลงมติ นิกสันก็ชิงลาออกเสียก่อน
เจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ต้องการบัญญัติการกระทำที่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งให้แคบลงกว่าระบบกฎหมายอังกฤษ โดยวางหลักไว้ 5 ข้อ ได้แก่
(1) ใช้เฉพาะกับประธานาธิบดี รองประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่พลเรือน
(2) ใช้สำหรับการกระทำผิด 3 ฐาน ได้แก่ (1) การทรยศต่อชาติ (treason) (2) การรับหรือให้สินบน (bribery) และ (3) other high crimes and misdemeanors
(3) ใช้วิธีตัดสินความผิดโดยอาศัยเสียงสองในสามของวุฒิสภา
(4) การลงโทษจำกัดไว้เพียงการขับออกจากตำแหน่ง กับการมีคำสั่งให้ขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปในอนาคต
(5) ประธานาธิบดีที่ถูกลงโทษด้วยวิธีการ impeachment ไม่สามารถใช้วิธีขอโทษได้ เช่น เมื่อสภาล่างรับข้อกล่าวหาประธานาธิบดี และเสนอข้อกล่าวหาต่อวุฒิสภา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะแถลงขอโทษและเลิกกันไม่ได้ ข้อห้ามขอโทษนี้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา
สำหรับคำว่า “high crimes and misdemeanors” ในหลักการข้อ 2 นั้น คำว่า “misdemeanors” หมายถึง “การกระทำลหุโทษ” ตรงกับความหมายที่ใช้ในประเทศไทย แสดงว่าการกระทำที่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นโทษร้ายแรง (felony) แต่คำว่า “high crimes” มีความหมายเฉพาะว่าหมายถึง “การกระทำผิดทางการเมือง” (political crimes)
คำว่า “high crimes” หรือ “political crime” ดังกล่าวนี้ บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกามีเจตนาให้หมายถึงการกระทำผิดตามองค์ประกอบสองข้อ ได้แก่ (1) การใช้อำนาจที่มิชอบ (abuses of power) และ (2) ฝ่าฝืนต่อผลประโยชน์สาธารณะ (breaches of public interest)
การกระทำการเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งจึงมิใช่ความผิดทางอาญา ทางแพ่ง หรือทางปกครอง แต่เป็นความผิดทางการเมืองและมีโทษทางการเมือง คือ การขับออกจากตำแหน่งและการมีคำสั่งให้ขาดคุณสมบัติในอนาคต และใช้สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงของประเทศ
เพียงแต่มีความสัมพันธ์กันกับความผิดอื่น คือ ถ้ายิ่งผิดทางอาญา ก็ยิ่งมีโอกาสกระทำเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่ง หรือถ้าหากผิดทางแพ่งหรือทางปกครอง เช่น บริหารไม่ซื่อสัตย์ (maladministration) หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ (neglect of duty) ก็ยิ่งมีโอกาสกระทำเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุที่สหรัฐอเมริกามีมาตรฐานทางการเมืองสูง กระทำเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่ง ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงที่ขัดต่อระเบียบทางการเมืองของประเทศ มีค่าเท่ากับเป็นการทำลายความมั่นคงทางการเมืองของประเทศ
สำหรับการใช้อำนาจที่มิชอบ (abuses of power) เป็นพื้นฐานสำคัญของการกระทำเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่ง เช่น กรณีคดีวอเตอร์เกตของประธานาธิบดีนิกสันที่กล่าวมาแล้ว จึงกล่าวได้ว่าการเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งมีการใช้อำนาจที่มิชอบอยู่ด้วยเสมอ
ส่วนการประพฤติมิชอบ (misconduct) ถือว่าเป็นความผิดที่จำเป็นต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วย ดังนั้น การประพฤติมิชอบ เช่น คดี ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ของไทย ถ้าหากเป็นในสหรัฐอเมริกาหากเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง จะถือว่าเป็นกระทำเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งด้วย
ประเด็นสุดท้าย การตัดสินของวุฒิสภาที่ถอดถอนออกจากตำแหน่งกรณีนี้ให้เป็นที่สุด และให้ถือเป็นบทเรียนของประเทศที่จะต้องนำกลับไปทบทวนผลกระทบต่อความสมดุลของอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ ซึ่งอาจมีผลต่อการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ
2. กรณีของประเทศไทย
2.1 ข้อเท็จจริง
นายกรัฐมนตรีไทยโทรศัพท์ส่วนตัวไปหาฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผ่านล่าม เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ต่อมา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 มีคลิปเสียงรั่วออกมาสู่สาธารณะ คลิปแรกยาว 9 นาที และคลิปหลังยาว 17 นาทีเศษ โดยมีสาระสำคัญ คือ (อ้างอิงเนื้อหาจากสำนักข่าวอิศรา)
ประเด็นแห่งคดี ประเด็นที่หนึ่ง นายกรัฐมนตรีไทยขอความช่วยเหลือจากฮุน เซน มีใจความสำคัญว่า
นายฮุน เซนกล่าวผ่านล่ามกลับไปว่า ส่วนตัวขั้นตอนหนึ่ง อยากให้ชายแดนเปิดปกติ เหมือนตอนก่อนเกิดเหตุ นายกรัฐมนตรีไทยก็กล่าวตอบว่าโอเค ตรงกัน
นายฮุนเซนกล่าวต่อว่า จริง ๆ เหตุการณ์เรื่องปิดชายแดน ฝ่ายไทยเป็นคนเริ่มก่อน ฝ่ายไทยถอนคําสั่ง กัมพูชาก็ตามเลย เปิดปกติ
เพราะว่าเราก็มีความผิดหวังเรื่องที่ช่องบก เราก็พยายามตามที่ฝ่ายไทยต้องการ เราก็บอกว่า โอเคขอให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ว่าเราถอย เราปรับกําลังแล้ว แต่ฝั่งไทยยังเอาเรื่องด่าน มากดดันอีก
นายฮุนเซนกล่าวต่อว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีฝั่งไทยถอนเรื่องการปิดด่าน ถ้าถอนฝ่ายกัมพูชาจะถอนเรื่องการห้ามสินค้าเกษตร นำเข้าอะไร ทุกอย่างก็ถอน
นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวตอบกลับว่า ตอนนี้รัฐบาลโดนโจมตีหนักมาก เพราะว่าพอตอนสมเด็จฮุนเซนออกมาพูดกับ พล.อ.ฮุน มาเนต ที่บอกว่าจะตัด น้ำาตัดไฟ คืออันนั้น ต้องขอโทษด้วย เพราะจริงๆ ต่างประเทศ เขาแค่รายงานขั้นตอนว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ ต่อไปประเทศไทยจะทํายังไง คือเหมือนอธิบายขั้นตอนให้ฟัง ไม่ได้บอกว่าจะทํา แต่ตอนนี้เหมือนกับเริ่มตัดน้ำแล้ว
"จริงๆ ถ้าจะให้มันโอเคทั้ง 2 ฝ่าย เหมือนเรา ต้องพูดพร้อมกันว่าเราตกลงร่วมกันแล้ว รัฐบาลคุยร่วมกันแล้ว ว่าจะเปิดทุกอย่าง ให้กลับมาเป็นปกติได้ เหมือนว่า จะเอาเป็นอิงค์กับฮุน มาเนต เหมือนกับว่ามาคุยร่วมกัน แล้วก็อยากให้ทั้ง 2 ฝ่ายอยากให้เหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ"
ถึงตอนนี้ฝ่ายล่ามสอบถามว่าอยากให้ นายฮุนเซนโพสต์ข้อความใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่าใช่ จะโพสต์ยังไงก็ได้ ให้ฮุนเซนแนะนำก็ได้ แต่ว่าให้เหมือนกับว่าเป็นการตกลงร่วมกัน เพราะตอนนี้ฝ่าย น.ส.แพทองธารกำลังโดนหนักมาก
ผู้เขียนบทความนี้เห็นว่าคำพูดในการโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรีไทยไปหาฮุน เซน เป็นการขอความช่วยเหลือให้ฮุน เซนช่วยจัดฉากและสร้างภาพให้ และพูดว่า “ให้ฮุน เซน แนะนำก็ได้”
ตรงที่นายกรัฐมนตรีไทยพูดว่าขอให้เอานายกรัฐมนตรีไทยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเหมือนกับว่ามาคุยร่วมกัน แล้วให้เหตุการณ์กลับมาปกติ อันเป็นคำพูดที่มีความหมายว่าขอให้ฮุน เซน ช่วยบอกนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนตซึ่งเป็นลูกชายฮุน เซน ทำเป็นเหมือนกับว่ามาคุยร่วมกัน แล้วให้เหตุการณ์กลับมาปกติ หรือให้ฮุน เซน แนะนำอย่างไรก็ได้
แต่ความจริง เป็นการตกลงล่วงหน้าก่อนแล้วผ่านทางโทรศัพท์ส่วนตัวในขณะที่เจรจานี้ แล้วค่อยทำเหมือนว่ามาคุยกัน จึงมีค่าเท่ากับการขอให้ฮุน เซนช่วยจัดฉากสร้างภาพ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีไทยได้ประโยชน์ส่วนตัวจากการได้ภาพพจน์ที่ดีต่อประชาชนไทยว่าสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนและการปิดด่านได้สำเร็จ
ประเด็นแห่งคดี ประเด็นที่สอง การวิจารณ์ (criticize) หรือการลบหลู่ (denigrate) แม่ทัพภาค 2 และการไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติไทย
นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวว่า ต้องการอยากให้ทั้งสองประเทศสงบสุข และไม่อยากให้ทางพ่อ (นายฮุน เซน) ไปฟังฝั่งตรงข้ามกับเรา ซึ่งแม่ทัพภาค 2 เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ก็ไม่อยากให้ทางฝั่งนายฮุนเซนฟังแล้วรู้สึกโกรธ ไม่ชอบใจ เพราะไม่ใช่ความตั้งใจของเรา
โดยทางนั้นเขาอยากดูเท่ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่เราต้องการก็คือต้องการให้มีความสงบสุขเกิดขึ้นเหมือนกับตอนก่อนที่จะปะทะกันที่ชายแดน และอยากให้นายฮุนเซนเห็นใจหลานหน่อย เพราะตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่ให้ไปเป็นนายกรัฐมนตรีที่เขมรหมดแล้ว และถ้านายฮุนเซนอยากได้อะไร ให้บอกมาได้เลย เดี๋ยวจัดการให้
คำพูดตรงนี้ของนายกรัฐมนตรีไทย สื่อต่างประเทศทุกฉบับใช้คำภาษาอังกฤษว่านายกรัฐมนตรีไทย “criticize” แม่ทัพภาค 2 หรือไม่ก็ “denigrate” แม่ทัพภาค 2 ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “วิจารณ์” หรือ “ลบหลู่” แม่ทัพภาค 2 โดยเฉพาะที่นายกรัฐมนตรีใช้คำว่า “แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงกันข้าม” ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า “as an opponent” หมายถึงเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับนายกรัฐมนตรีไทยกับฮุน เซน
นักวิชาการไทยบางคน เช่น ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่าเป็นการประนีประนอมตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีอย่างลึกซึ้ง แต่เสียหายต่อประเทศไทย (อ้างจาก CAN, 20 Jun 2025)
ผู้เขียนยังเห็นว่า นอกจากเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับศักดิ์ตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว คำพูดดังกล่าวยังเป็นการไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติไทยด้วย เพราะการกล่าวว่าแม่ทัพภาค 2 เป็นคนของฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา แสดงว่า นายกรัฐมนตรีไทยกับฮุน เซน เป็นพวกเดียวกัน และเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับแม่ทัพภาค 2 มีค่าเท่ากับนายกรัฐมนตรีเข้าข้างฝ่ายกัมพูชา
2.2 การร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ต่อมา วุฒิสมาชิกเข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ และเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนนายกรัฐมนตรี โดยตั้งข้อหาว่านายกรัฐมนตรีไทยขาดคุณสมบัติ 2 ข้อ คือ (1) ไม่ซื่อสัตย์สุจริต และ (2) ขาดจริยธรรม (ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
สำหรับมาตรา 160 (5) นั้น เป็นเรื่องขาดจริยธรรมทางการเมืองตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการทางการเมือง พ.ศ. 2564 โดยเฉพาะข้อ 5 ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่ โดยอย่างน้อยต้องดำรงตน ดังต่อไปนี้
(1) ...ฯลฯ
(6) ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง
จริยธรรมข้อ (6) นี้เป็นความผิดเกี่ยวกับการกระทำที่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือกรณี impeachment ตามหลักการของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาที่กล่าวมาแล้ว
2.3 แนวทางพิจารณาคดี
หากกระบวนการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ผู้ร้องเข้าชื่อครบหนึ่งในสิบตามรัฐธรรมนูญ ตรวจสอบแล้วเป็นลายมือชื่อจริงของผู้ร้อง และอ้างอำนาจการร้องที่ชอบด้วยตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ
(1) ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะรับคำร้องไว้พิจารณา
(2) ประการต่อมา คือ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่เลยหรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญเห็นด้วยกับคำร้องสองข้อหาพร้อมกันหรือไม่ คือ คำร้องอ้างว่านายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติเพราะไม่ซื่อสัตย์สุจริตและไม่มีจริยธรรมทางการเมือง ถ้าศาลเห็นว่าอาจเข้าข้อหาใดข้อหนึ่งเพียงข้อเดียว ศาลอาจไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าศาลเห็นว่าเข้าทั้งสองข้อหา ศาลน่าจะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะเข้ามาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นกรณีที่หากให้นายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอาจยิ่งกระทำความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะโดยตรง
(3) ส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นประการใด ย่อมเป็นดุลพินิจโดยแท้ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาและลงมติ แต่ประเด็นแห่งคดีของการพิจารณาความเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวนี้ของศาลรัฐธรรมนูญตามหลัก Impeachment ของสหรัฐอเมริกาที่กล่าวมา มีเพียงสองประการ ประการแรก การพูดโทรศัพท์ส่วนตัวกับฮุน เซน ของนายกรัฐมนตรี เป็นการใช้อำนาจที่ชอบหรือไม่? และประการที่สอง ถ้อยคำที่ใช้ในการพูดโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนผลประโยชน์สาธารณะหรือไม่?
สำหรับผู้เขียน เห็นว่า การพูดโทรศัพท์ส่วนตัวกับฮุน เซน น่าจะเป็นการเข้าข่ายการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ (abuse of power) เพราะเป็นการสื่อสารโดยการอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี กับฮุน เซน และมีการขอร้องให้ฮุน เซนช่วยเหลือโดยให้ฮุน มาเนต มาจัดฉากสร้างภาพว่าทำความตกลงกันกับนายกรัฐมนตรี ส่วนการใช้คำพูดในทำนองวิจารณ์หรือลบหลู่แม่ทัพภาค 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามและอยากเท่ รวมทั้งมีการเสนอว่าฮุน เซน อยากได้อะไรขอให้บอก จะจัดการให้ นั้น นอกจากจะเป็นการใช้วิธีการทูตที่ผิดระเบียบแบบแผนของการต่างประเทศแล้ว ยังฝ่าฝืนต่อผลประโยชน์สาธารณะ (breach of public interest) อันได้แก่ การรักษาผลประโยชน์ของชาติจากการปิดชายแดน และการปะทะกันบริเวณช่องบกที่กัมพูชาได้เสริมกำลังทหารและอาวุธหนักตลอดชายแดนไทย-กัมพูชา
ส่วนข้อต่อสู้ของนายกรัฐมนตรีนั้น ยากที่จะรับฟังได้ เพราะประการแรก การขอโทษไม่ได้ทำให้ความผิดฐานนี้ได้รับการยกเว้นโทษตามหลักรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา และประการที่สอง การกล่าวอ้างว่าเป็นการพูดคุยส่วนตัว ที่ฮุน เซน เอามาเปิดเผยไม่ได้ ย่อมเป็นอีกการกระทำอีกกรรมหนึ่งซึ่งเป็นการกระทำความผิดของฮุน เซน ที่ต้องแยกออกไปจากการกระทำความผิดของนายกรัฐมนตรีไทย ประกอบกับการเปิดเผยคลิปเสียงของฮุน เซน ไม่ได้มีพยานหลักฐานว่าเกิดขึ้นโดยตัวฮุน เซน เอง และมิใช่การกระทำความผิดของฮุน เซนในประเทศไทย ฮุน เซน ได้แถลงผ่านทาง “Khmer Times” ว่านายกรัฐมนตรีไทยต่างหากที่เลือกใช้ช่องทางการเจรจาผิดเอง ทำไมนายกรัฐมนตรีไทยไม่เลือกช่องทางตามพิธีการทูตที่ถูกต้อง และทำไมนายกรัฐมนตรีไทยไม่ระมัดระวังคำพูดที่ผูกมัดตัวเองในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ ก็รับฟังได้ยากอีกเช่นกัน เพราะแม้แต่กฎหมายพยานหลักฐานคดีอาญาของไทย ปัจจุบันก็ให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะรับฟังได้แม้ว่าศาลจะเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบก็ตาม อีกทั้งการเร่งปิดด่านและอ้างว่ากัมพูชาเป็นแหล่งอาชญากรรมระดับโลก ก็เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยกระทำความผิดสำเร็จแล้ว ก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีแสดงเจตนาว่าต้องการให้เปิดด่านตามกัมพูชามาตลอด การปิดด่านในภายหลังและการอ้างว่ากัมพูชาเป็นแหล่งอาชญากรรม ยิ่งแสดงให้เห็นเจตนาว่านายกรัฐมนตรีต้องการที่จะนำเอาการเมืองระหว่างประเทศมากลบเกลื่อนการกระทำผิดของตัวเอง กัมพูชาตอบโต้ว่าเอาพยานหลักฐานมาจากไหนว่ากัมพูชาพึ่งรายได้จากอาชญากรรม 40% และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมเพิ่งมาปิดชายแดนเมื่อไม่กี่วันนี้
อนึ่ง คดีการกระทำที่เสื่อมเสียต่อศักดิ์ตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงความเสียหายต่อดินแดนและอธิปไตยของประเทศ เพราะไม่ใช่คดีความมั่นคง แต่พิจารณาจากองค์ประกอบเพียงสองประการ คือ (1) การใช้อำนาจที่มิชอบ (abuse of power) โดยนำเอาผลประโยชน์ส่วนตัวมาปะปนกับผลประโยชน์ของรัฐ และ (2) การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนผลประโยชน์ของสาธารณะ (breach of public interest) การอ้างว่าการโทรศัพท์ส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหายจึงฟังไม่ขึ้น ประเด็นของคดีอยู่ที่การโทรศัพท์ส่วนตัวดังกล่าวเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียต่อศักดิ์ตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ต่างหาก..
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา