
"...วัฒนธรรมพลเมือง ไม่ใช่ความดีงาม เชิงศีลธรรมส่วนบุคคล แต่หมายถึงระบบพฤติกรรม ความเชื่อ และโครงสร้างที่ทำให้ คนธรรมดา ตระหนักว่าตนเองคือเจ้าของประเทศ และพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน..."
ผมได้รับเชิญไปเป็นประธานเปิดงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง การพัฒนาธรรมาภิบาลในสังคมไทย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2568 ที่มหาวิทยาลัยบูรพา ผมได้มีโอกาสวิเคราะห์ถึงสถานะการณ์ปัจจุบันของประเทศไทย ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และเราจะมีจุดเปลี่ยนให้ประเทศเราดีขึ้นได้อย่างไร
“ เราเปลี่ยนรัฐบาลมาแล้วหลายครั้ง เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้วกว่าสามสิบคน เรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ มีรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จถึง 13 ครั้ง แต่เรายังไม่สามารถเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นจริง เพราะเรายังไม่เคยเปลี่ยนคนไทยให้เป็น พลเมืองที่มีวินัย มีหิริโอตตัปปะ และมีจิตสาธารณะ ”
ประเทศไทยวนเวียนอยู่กับวัฏจักรของความหวังและความผิดหวังทางการเมืองมานานแม้จะเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เกือบจะครบร้อยปีแล้ว แต่มาตรวัดความเจริญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรม ความเท่าเทียม หรือคุณภาพของผู้นำ กลับไม่พัฒนาตาม
คำถามสำคัญที่เราต้องกล้าถามคือ : เรากำลังพยายามแก้ไขโครงสร้างของประเทศโดยไม่เคยเปลี่ยน “เนื้อใน” ของพลเมืองเลยหรือไม่?
หัวใจของปัญหา คือ วัฒนธรรมคนไทยไม่เอื้อต่อประชาธิปไตย
เรามีกฎหมาย แต่ไม่มีใครเคารพ
เรามีค่านิยมสังคมชอบเอาตัวรอด
เราส่งลูกหลานไปโรงเรียน แต่ไม่เคยสอนให้รักส่วนรวม
สิ่งที่เราขาดซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญ คือ “วัฒนธรรมพลเมือง” ไม่ใช่ความรู้ทางการเมือง แต่คือจิตสำนึกของคน คนธรรมดาทุกคนที่พร้อมจะทำสิ่งถูกต้องแม้ไม่มีใครเห็น และพร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมแม้ไม่มีผลตอบแทน
คำตอบใหม่ หิริโอตตัปปะ วินัย และจิตสาธารณะ
การเปลี่ยนประเทศ ไม่สามารถเกิดจากการแก้รัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่ง หรือ เกิดจากการเลือกตั้ง หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารระดับสูง ถ้าเราอยากได้ผู้นำที่ดี มีความซื่อตรง มีประเทศที่มั่นคง ต้องเปลี่ยนจากข้างในของพวกเราทุกคน ต้องปลูกฝังคุณธรรมร่วมทั้งชาติ โดยเฉพาะ
- หิริโอตตัปปะ ความละอาย และเกรงกลัวต่อการทำบาป ทำความผิด แม้ไม่มีใครจับได้
- วินัย ความรับผิดชอบ ต่อตนเองและสังคม ไม่ทำตามใจตนโดยละเลยผลกระทบ
- จิตสาธารณะ ความเต็มใจที่จะร่วมมือช่วยเหลือ และเสียสละเพื่อส่วนรวม
หากคนไทยส่วนใหญ่มีทั้งสามสิ่งนี้ เราจะไม่ต้องพึ่งกฎหมายที่สลับซับซ้อน หรือ ผู้นำที่แข็งกร้าว แต่ประเทศไทยจะเปลี่ยนได้ด้วยพลังของพลเมืองอย่างแท้จริง
ถึงเวลา “ปลูกฝัง ไม่ใช่แค่ปฏิรูป”
เราต้องเริ่มต้นจากโรงเรียน ครอบครัว วัดและชุมชน ไม่ใช่แค่จากรัฐสภา หรือ กระทรวงใหญ่ๆ
ต้องให้เด็กไทยได้เรียนรู้การเป็นพลเมืองดี ไม่ใช่แค่เรียนแต่ความรู้ ต้องให้ผู้นำประเทศมีจิตสำนึก ไม่ใช่แค่มีอำนาจ และต้องให้ประชาชนรู้สึกว่า “ประเทศไทยเป็นของเรา” ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง
ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเหมือนประเทศญี่ปุ่น เยอรมัน สิงคโปร์ จีน หรือเกาหลี แต่เราต้อง “เป็นตัวของตัวเองที่มีคุณธรรม” ถ้าเรามีพลเมืองดี เราจะมีนักการเมืองที่ดี มีข้าราชการที่ซื่อตรง และมีชาติที่มั่นคง โดยไม่ต้องมีปฏิวัติอีกเลย
เปลี่ยนประเทศ เริ่มได้จากการเปลี่ยนตัวเรา
เปลี่ยนวัฒนธรรมพลเมือง เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้
วัฒนธรรมพลเมือง ไม่ใช่ความดีงาม เชิงศีลธรรมส่วนบุคคล แต่หมายถึงระบบพฤติกรรม ความเชื่อ และโครงสร้างที่ทำให้ “คนธรรมดา” ตระหนักว่าตนเองคือ “เจ้าของประเทศ” และพร้อมที่จะ “รับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน”
การปลูกฝังวัฒนธรรมพลเมือง ต้องทำทั้งในระดับ
- จิตใจ - หิริโอตตัปปะ
- พฤติกรรม - มีวินัย จิตสาธารณะ
- โครงสร้าง - นโยบายและสถาบันที่ส่งเสริม
กลไกสำคัญ เริ่มต้นจากโรงเรียน ขยายสู่ระบบราชการและการเมือง
การเปลี่ยนแปลงต้องไม่เริ่มจากกฎหมาย แต่เริ่มจากเด็ก โดยจัดตั้งโครงการ “ วัฒนธรรมพลเมืองไทย ” โดยเลือกชุมชนต้นแบบ ให้มี
- หลักสูตร “ พลเมืองคุณภาพ ” สำหรับโรงเรียน
- โครงการ “ หิริโอตตัปปะ ” ในห้องเรียน
- การประเมินจิตสาธารณะผู้ที่จะเข้ารับราชการ
- การเปิดเผยพฤติกรรมจริยธรรมของนักการเมือง
ปัจจัยสู่ความสำเร็จ - ไม่ใช่แค่รัฐ แต่ต้องเป็น “ ชาติ ”
- ภาคประชาชน ต้องมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง
- ครู ต้องเป็น “ผู้ปลูกจิตสำนึก” ไม่ใช่แค่สอนเนื้อหา
- พระภิกษุ ต้องกลับมาทำหน้าที่ ฝึกหิริโอตตัปปะให้แก่ประชาชน
- สื่อมวลชนต้องเป็น “กระจกสะท้อนจริยธรรม” ของสังคม
- ผู้นำทางเศรฐกิจต้องมีจิตสาธารณะมากกว่าผลประโยชน์
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
1. ตั้ง “สภาวัฒนธรรมพลเมืองแห่งชาติ” เป็นองค์กรอิสระ
2. บรรจุหัวข้อ “จิตสาธารณะ” และ “วินัยพลเมือง” ในระบบการประเมินบุคลากรของรัฐ
3. พัฒนาแบบทดสอบ “หิริโอตตัปปะ ทางพฤติกรรม” ในระบบการศึกษา
4. ใช้ “จังหวัดต้นแบบ” เป็นสนามการเรียนรู้ร่วมรัฐ-ประชาชน
5. ประเมินผล ด้วยดัชนีความไว้ใจ ระดับความร่วมมือในชุมชน และอัตราการทุจริต
ไม่ใช่โครงสร้างทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงประเทศ แต่คือ “คนธรรมดาที่มีวัฒนธรรมพลเมือง” ที่จะทำให้ประเทศเปลี่ยนได้จริง
ถ้าไม่เปลี่ยนวัฒนธรรมพลเมืองวันนี้ ประเทศไทยจะไม่มีวันเปลี่ยน
บทความโดย :
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุรพล อิสรไกรศีล
นายกราชบัณฑิตยสภา และที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา