
"...ประเทศไทยยังไม่ได้ตัดอำนาจของศาลออกไปเหมือนอังกฤษ แม้ว่าหลายคนเห็นว่าการใช้อำนาจศาลตัดสินปัญหาทางการเมืองอาจยังไม่ยึดโยงกับประชาชนและเป็นการใช้ดุลพินิจที่กว้างขวางเกินไป รวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเองอาจเป็นต้นตอของปัญหาทางการเมือง..."
1. ความทั่วไป
อังกฤษหรือสหราชอาณาจักร เป็นประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (common law) มาช้านาน ดังนั้น ประเพณีการปกครองและการตัดสินคดีของศาลแต่ละคดี จึงเป็นทั้งกฎหมายและแนวทางการตัดสินคดี แต่มิได้หมายความว่า อังกฤษจะไม่มีพระราชบัญญัติ (Act) เหมือนประเทศไทยหรือประเทศอื่นที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ทางปฏิบัติ อังกฤษก็มีพระราชบัญญัติหลายฉบับซึ่งมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายและถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายจารีตประเพณีเช่นกัน
2. การยุบสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษ
จากเอกสารของสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ชื่อ “Dissolution of Parliament: resent development” โดยทอร์เรนซ์ (Torrance, 22 May 2025) ในหัวข้อ “By the King A Proclamation for Dissolving the Present Parliament and Declaring the Calling of Another”
อาจสรุปการยุบสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษได้ 3 ช่วง ดังนี้
2.1 ช่วงก่อน ค.ศ. 2011
อำนาจยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ (prerogative powers) โดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนคณะรัฐมนตรี และเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรี
ในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถวายคำแนะนำแก่พระมหากษัตริย์ในการยุบสภาผู้แทนราษฎร และพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจยุบสภา โดยประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา (royal decree)
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพระมหากษัตริย์จะไม่เคยใช้อำนาจยุบสภาด้วยพระองค์เอง มีหลักฐานดั้งเดิมว่าพระมหากษัตริย์ประกาศยุบสภาด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีครั้งสุดท้ายเมื่อ ค.ศ. 1835
แต่หลังจาก ค.ศ. 1835 แล้ว พระมหากษัตริย์ได้มีประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาโดยการถวายคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีมาตลอด
หลักการยุบสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษช่วงก่อน ค.ศ. 2011 มีสองข้อ ได้แก่
ข้อ 1 นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งที่มีคุณธรรมความสามารถใช้อำนาจบังคับบัญชาตามหลักความไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่าง (the confidence of the House of Commons) และตามปกติต้องได้รับการยอมรับว่าเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากจากสภา (normally be the accepted leader of the political party that commands the majority of the House of Commons)
ข้อ 2 พระมหากษัตริย์ต้องไม่ถูกดึงเข้าไปในการเมืองของพรรคการเมือง และความรับผิดชอบของพระมหากษัตริย์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการเมืองของพรรคการเมืองจะคงมีอยู่ ตามหลักการเป็นที่ปรึกษาหลักของพระมหากษัตริย์นั้น ความรับผิดชอบนี้ตกอยู่เฉพาะกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (this responsibility falls particularly on the incumbent Prime Minister)
2.2 ช่วง ค.ศ. 2011
ปี ค.ศ. 2011 เป็นปีที่อังกฤษออกพระราชบัญญัติรัฐสภากำหนดวาระการดำรงตำแหน่งตายตัว (The Fixed-term Parliaments Act 2011) ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปตามระยะเวลาที่กำหนดล่วงหน้า โดยการกำหนดว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีแรกของเดือนพฤษภาคมของทุก ๆ ห้าปี การเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด (the early election) ระยะเวลาห้าปีจะมีได้เฉพาะสองเงื่อนไข คือ
ข้อแรก ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งก่อนกำหนดด้วยเสียงข้างมากพิเศษจำนวนอย่างน้อยสองในสามของสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร
และข้อที่สอง หากรัฐบาลไม่ได้รับความไว้วางใจจากการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจและไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายใน 14 วัน
ผลของพระราชบัญญัติกำหนดวาระตายตัว ค.ศ. 2011 จึงทำให้อังกฤษไม่มีการยุบสภา เท่ากับเป็นการตัดพระราชอำนาจยุบสภาของพระมหากษัตริย์และตัดพระราชอำนาจวินิจฉัยกรณีที่นายกรัฐมนตรีเสนอพระราชกฤษฎีให้ยุบสภา ต่อมา อังกฤษใช้พระราชบัญญัติ ค.ศ. 2011 นี้ทำการเลือกตั้งทั่วไปสามครั้ง โดยไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้น
ส่วนการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งสุดท้ายของอังกฤษก่อนพระราชบัญญัติ ค.ศ. 2011 นั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2010
2.3 ตั้งแต่ ค.ศ. 2022 จนถึงปัจจุบัน
ต่อมา ค.ศ. 2022 อังกฤษได้แก้กฎหมายยุบสภาใหม่ โดยทำการรื้อฟื้นพระราชอำนาจยุบสภาของพระมหากษัตริย์ โดยการยกเลิกพระราชบัญญัติกำหนดวาระตายตัว ค.ศ. 2011
กฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมาแทนนี้มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติยุบสภาและการเรียกประชุมรัฐสภา 2022” (the Dissolution and Calling of Parliament Act 2022) สาระสำคัญ คือ ให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจยุบสภาได้ โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีเหมือนก่อน ค.ศ. 2011
ในทางปฏิบัติเกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
(1) นายริชชี สุหนัก (Rishi Sunak) นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำให้ยุบสภาแก่พระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2024
(2) พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยให้ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2024 เวลา 11.57 นาฬิกา ประกาศยุบสภาลงนามและรับรองโดยที่ประชุมสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (a Privy Council meeting) เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2024
(3) ประกาศให้วันที่ 4 กรกฎาคม 2024 เป็นวันเลือกตั้งตามกำหนดระยะเวลา 25 วันหลังจากมีประกาศยุบสภา
ผลกฎหมายยุบสภาฉบับ ค.ศ. 2022 มีประเด็นเพิ่มเติมจากกฎหมายฉบับ ค.ศ. 2011 ที่สำคัญ ได้แก่
(1) การตัดอำนาจการตรวจสอบของศาล (Ouster Clause and Judicial Review) ในกฎหมายยุบสภาฉบับ ค.ศ. 2022 นั้น บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า ศาลไม่อาจตรวจสอบการตัดสินใจยุบสภาได้ ถือว่าการยุบสภาเป็นการตัดสินใช้อำนาจที่พ้นจากขอบเขตการกลั่นกรองของฝ่ายตุลาการ หลักการตัดอำนาจการตรวจสอบของศาลนี้มุ่งหวังที่จะสนับสนุนหลักอำนาจสูงสุดของรัฐสภาและมุ่งหวังให้รัฐสภาใช้อำนาจอย่างซื่อตรงด้วยตัวเอง
(2) วางหลักการยุบสภาผู้แทนราษฎร (dissolution of Parliament Principles) ไว้สามข้อ ได้แก่
ข้อ 1 สภาจะสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติเมื่อครบวาระ 5 ปีนับจากวันที่เริ่มประชุมสภาครั้งแรก เว้นแต่จะมีการยุบสภาก่อนหน้านั้น
ข้อ 2 นายกรัฐมนตรีสามารถให้คำแนะนำในการยุบสภาได้เพื่อเร่งให้มีการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดไว้ หากเชื่อว่าตนได้สูญเสียความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร การยุบสภาปกติกระทำหลังจากที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ หรือเมื่อนายกรัฐมนตรีคาดหมายว่าจะสูญเสียเสียงสนับสนุนในสภา
ข้อ 3 พระมหากษัตริย์มีบทบาทในการรักษาความเป็นกลางทางการเมือง
มีข้อสังเกตว่าพระมหากษัตริย์ของอังกฤษยึดหลักพระราชอำนาจสามข้อ ได้แก่
ข้อ 1 พระมหากษัตริย์ใช้พระราชอำนาจส่วนใหญ่ตามคำแนะนำของรัฐมนตรี (The King acts on ministerial advice for most prerogative power)
ข้อ 2 รัฐมนตรีรับผิดชอบต่อการกระทำภายใต้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ (Ministers are responsible for the actions taken under the King’s prerogative)
ข้อ 3 คำแนะนำของรัฐมนตรีที่เป็นทางการมีผลผูกพันตามรัฐธรรมนูญ (Formal advice from ministers is constitutionally binding)
ในประเทศอังกฤษ พระราชอำนาจยุบสภาตั้งแต่ ค.ศ. 2022 มีขอบเขตแคบลดลง แต่ยังคงมีความสำคัญ อีกนัยหนึ่งขอบเขตของพระราชอำนาจได้หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจอย่างครอบคลุม
เมื่อนายกรัฐมนตรีเสนอมาอย่างไร พระมหากษัตริย์จะเห็นชอบไปตามนั้น ไม่ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น
3. การนำหลักการยุบสภาของอังกฤษมาใช้กับประเทศไทยในปัจจุบัน
คนไทยถกเถียงกันในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่สมมติเอาไว้ล่วงหน้า เพียงแต่คาดคะเนว่าอาจเป็นปัญหาได้ เนื่องจากเกิดปัญหาทางการเมืองและเป็นกรณีการยกเหตุผลมาถกเถียงกันทางวิชาการ ดังนี้
ข้อ 1 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนวินิจฉัย และตามมาตรา 71 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 บัญญัติให้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนวินิจฉัยมีผลใช้บังคับไม่เกินหกสิบวัน
หากศาลรัฐธรรมนูญจะให้คำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมีผลต่อไปโดยไม่ยกเลิกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาและวินิจฉัยภายในระยะเวลาหกสิบวันด้วย
คนทั่วไปจึงคาดหมายว่า การวินิจฉัยคดีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะใช้เวลาไม่นาน
สมมติว่าในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงมีคำถามตามมาว่าหลังจากที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งแล้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการแทนนายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาต่อพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 103 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้หรือไม่
ในเงื่อนไขที่สมมติอีกว่าเมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งแล้ว มีแนวโน้มว่าสภาผู้แทนราษฎรจะไม่เลือกนายชัยเกษม นิติสิริ ผู้มีรายชื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นอันดับสามของพรรคเพื่อไทย ต่อจากนายเศรษฐา ทวีสิน และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ตามลำดับ แต่สภาผู้แทนราษฎรจะรวบรวมเสียงข้างมากเลือกผู้มีรายชื่อของพรรคอื่นแทน เช่น เลือกนายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี
เนื่องจากเสียงในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบันของฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน มีใกล้เคียงกัน และรัฐธรรมนูญไทยไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้สมาชิกพรรคฝ่ายค้านไปลงคะแนนสนับสนุนพรรคฝ่ายรัฐบาล หรือกลับกันห้ามฝ่ายรัฐบาลมาลงคะแนนเสียงสนับสนุนฝ่ายค้าน หลายคนจึงกลัวว่าเวลาให้สภาผู้แทนราษฎรโหวดเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น จะมีการซื้อเสียงกันขนานใหญ่
สมมติว่ารัฐบาลอาจเห็นว่าตนจะสูญเสียเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อตนไม่ได้เป็นรัฐบาลต่อไป ก็ต้องเลือกยุบสภา เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตนเสียเปรียบ
ข้อ 2 ต้องย้ำอีกครั้งว่า ปัจจุบันนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังไม่ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นผิด กรณีที่ถกเถียงกันในข้อแรกย่อมไม่เกิดขึ้น หรือถ้าหากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งแล้ว สภาผู้แทนราษฎรยังน่าจะโหวตเสียงส่วนมากให้แก่นายชัยเกษม นิติสิริ การยุบสภาก็ยังคงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
นอกจากนั้นยังสมมติว่าขณะที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่โดยที่ยังไม่พ้นจากตำแหน่งนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้คิดยุบสภาเช่นกัน ปัญหาที่ว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่อยู่ แล้วนายภูมิธรรม เวชยชัย แอบไปเสนอขอยุบสภาแทน จึงไม่เกิดขึ้น
ข้อ 3 สมมติว่าเข้าเงื่อนไข คือ (1) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง (2) สภาผู้แทนราษฎรแสดงท่าทีไม่เลือกนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี
ประเด็นที่ถกเถียงกัน คือ ขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย จะเสนอพระราชกฤษฎีกาขอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรต่อพระมหากษัตริย์ได้หรือไม่
สาเหตุที่คนถกเถียงกันนั้น เป็นเพราะมีข่าวว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันได้นำเรื่องนี้เข้าไปหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่มีมติไม่ให้บันทึกรายงานการประชุมไว้เป็นหลักฐาน
ตามข่าวและต่อมาเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้โพสต์เฟสบุ๊คยืนยัน เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกหลักการยุบสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษช่วงก่อน ค.ศ. 2011 มากล่าวอ้างว่า (1) นายกรัฐมนตรีมาจากหลักความไว้วางใจของสภาผู้แทนราษฎร (the confidence of the House of Commons) และ (2) ตามปกติต้องได้รับการยอมรับว่าเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากจากสภา (normally be the accepted leader of the political party that commands the majority of the House of Commons)
ดังนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาได้ เพราะไม่ใช่หัวหน้าพรรคเสียงข้างมากตัวจริง เป็นเพียงรักษาการแทนและไม่ได้รับความไว้วางใจให้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อำนาจรักษาการแทนของนายภูมิธรรม เวชยชัย จึงไม่รวมถึงอำนาจการเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภา
ปัญหาต่อมา คือ ถ้านายภูมิธรรม เวชยชัย ไม่สามารถเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภา แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคเสียงข้างมากต้องการให้ยุบสภา เพราะสมมติเหตุการณ์ว่า นายชัยเกษม นิติสิริ จะไม่ได้รับเสียงข้างมากจากสภา หากให้สภาผู้แทนราษฎรโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะไม่ได้คนจากพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย ควรจะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไรจึงจะมีความสมเหตุสมผลตามทฤษฎีทางเลือกที่สมเหตุสมผล (rational choice theory)
เพราะตามหลักกฎหมายทั่วไปแล้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี อยู่ในฐานะมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีตัวจริงพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
คำตอบตามแนวของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา มีว่า ถึงอย่างไร นายภูมิธรรม เวชยชัยก็ต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ประสงค์ที่จะให้ยุบสภา จึงค่อยเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภา อีกทีหนึ่ง
ความเห็นตามแนวของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกานี้จึงดูย้อนแย้งและขัดต่อหลักความจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทั้งไม่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่เป็นไปในทางที่ทำให้นายภูมิธรรม เวชยชัย และพรรคเพื่อไทยเสียเปรียบ เพราะรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจะไม่เลือกคนของพรรคตนเป็นนายกรัฐมนตรี
ปัญหาที่ถกเถียงกันทางวิชาการที่ตามมาตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาตามหลักการยุบสภาของอังกฤษ จึงได้แก่
หลักการยุบสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษช่วงก่อน ค.ศ. 2011 นำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้มากน้อยเพียงใด
เพราะตาม“พระราชบัญญัติยุบสภาและการเรียกประชุมรัฐสภา 2022” (the Dissolution and Calling of Parliament Act 2022) ได้วางหลักการในข้อ 2 ว่า “นายกรัฐมนตรีสามารถให้คำแนะนำในการยุบสภาได้เพื่อเร่งให้มีการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดไว้ หากเชื่อว่าตนได้สูญเสียความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร การยุบสภาปกติกระทำหลังจากที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ หรือเมื่อนายกรัฐมนตรีคาดหมายว่าจะสูญเสียเสียงสนับสนุนในสภา”
หากนำหลักการยุบสภาของอังกฤษ ค.ศ. 2011 ที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกายกขึ้นมาเทียบกับหลักการยุบสภาของอังกฤษ ค.ศ. 2022 แล้ว
การยุบสภาของไทยควรยึดหลักใดระหว่าง (1) หลักความไว้วางใจของสภา (the confidence of the House of Commons) เมื่อ ค.ศ. 2011 กับ (2) หลักการสูญเสียความไว้วางใจจากสภา (the losing confidence of the House of Commons) เมื่อ ค.ศ. 2022 เพราะหลักสองหลักนี้มองเวลาการมีอำนาจของนายกรัฐมนตรีอังกฤษแตกต่างกัน หลักแรกมองการยุบสภาจากฐานการคิดในขณะ “ขาเข้าสู่อำนาจ” ขณะที่หลักที่สองมองในฐานการคิดในขณะ “ขาลงจากอำนาจ”
ข้อ 4 การยุบสภาของไทยสามารถนำหลักการยุบสภาของอังกฤษมาใช้เทียบเคียงได้มากน้อยเพียงใด
เหตุผลสำคัญที่สุดอยู่ที่นายกรัฐมนตรีของอังกฤษไม่เคยถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และต่อมา นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังไม่เคยถูกศาลสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง การเมืองของอังกฤษจึงไม่เคยมีปัญหาว่า “รักษาการแทน” นายกรัฐมนตรีสามารถเสนอพระราชกฤษฎียุบสภาหรือไม่
ในประเทศอังกฤษตั้งแต่เมื่อพระราชบัญญัติยุบสภา ค.ศ. 2022 ยกเลิกพระราชบัญญัติกำหนดวาระตำแหน่งตายตัว ค.ศ. 2011 นั้น ได้รื้อฟื้นพระราชอำนาจในการยุบสภาของพระมหากษัตริย์กลับคืนมา แต่ได้ตัดอำนาจการตรวจสอบของศาลเกี่ยวกับการตัดสินใจยุบสภาออกไปทั้งหมด เพราะถือว่าการยุบสภาเป็นการตัดสินใจของสภาผู้แทนราษฎรโดยแท้ โดยที่ศาลไม่สามารถตรวจสอบได้
นอกจากนั้น การใช้พระราชอำนาจในการยุบสภาของอังกฤษยังจำกัดขอบเขตแคบลงเรื่อย ๆ
สำหรับประเทศไทย การถกเถียงกันว่า “รักษาการแทน” นายกรัฐมนตรีจะเสนอพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ ยังไม่เป็นที่ยุติ
ความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายล้วนน่ารับฟังและมีผู้สนับสนุนแตกต่างกัน
การมีความเห็นทางกฎหมายที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ยังไม่มีการชี้ขาดย่อมไม่มีฝ่ายใดถูกหรือฝ่ายใดผิด
ประเทศไทยยังไม่ได้ตัดอำนาจของศาลออกไปเหมือนอังกฤษ แม้ว่าหลายคนเห็นว่าการใช้อำนาจศาลตัดสินปัญหาทางการเมืองอาจยังไม่ยึดโยงกับประชาชนและเป็นการใช้ดุลพินิจที่กว้างขวางเกินไป รวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเองอาจเป็นต้นตอของปัญหาทางการเมือง
กระนั้นก็ตาม ปัจจุบันยังไม่ได้มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นองค์กรที่ชี้ขาดอำนาจในการเสนอพระราชกฤษฎีกาขอให้พระมหากษัตริย์ใช้พระราชอำนาจยุบสภา หากเข้าเงื่อนไขที่กล่าวมา อาจมีผู้เสนอคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจนได้ข้อยุติก็เป็นได้ ซึ่งเป็นการวางแนวปฏิบัติทางการเมืองต่อไปในอนาคต..
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา