
"...และแล้ว เมื่อ 30 มิถุนายน 2518 ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทย-จีน ได้เปิดขึ้นให้เห็น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทย กับนายโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ได้ลงนามข้อตกลงเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ยุติสภาพแห่งความเป็นศัตรูนานนับ 4 ทศวรรษ กลายเป็นมิตรสนิทที่จะสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เอกอัครราชทูตไทยคนแรกประจำกรุงปักกิ่งคือ ม.ร.ว.เกษมสโมสร เกษมศรี นั่นเอง..."
นับถึง 30 มิถุนายน 2568 เป็นเวลาครบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ
ใครอ่านประวัติศาสตร์ไทยจีน ก็รับรู้ว่า จีนกับไทยสัมพันธ์ทางการค้ากันมายาวนานกว่า 700 ปี ไทยเคยส่งเครื่องบรรณาการไปยังราชวงศ์หยวนของจีนหลายครั้ง และจีนก็เดินทางมาไทยหลายครั้งโดยเรือสำเภา
ลูกจีนในเมืองไทยจำนวนมาก มีอากง อาม่า ที่อพยพมาจากซัวเถา จากไหหลำ จากกวางตุ้ง กวางเจา ของจีน มาตั้งรกรากในเมืองไทย จนกลายเป็นคนไทยไปแล้ว พระเจ้าตากสินมหาราชก็เป็นลูกจีน ยังมีอนุสรณ์สถานอยู่ที่ซัวเถา สัมพันธ์ไทยจีนสืบสายมานานยาวมาก
เมื่อปี 2500 ศิลปินประชาชน นำโดย คุณสุวัฒน์ วรดิลก พร้อมด้วยคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี และคุณสุเทพ วงศ์กำแหง กับคณะศิลปินไทยรวม 50 ชีวิต ได้เดินทางไปตาม คำเชิญของทางการจีน ได้เปิดการแสดงจินตลีลา เรื่อง “มนต์รักนวลจันทร์” ที่หลายเมืองในจีน
คุณสุวัฒน์ พูดว่า “เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับจีน เพราะความสัมพันธ์ไทยกับจีนขาดตอนไปเป็นเวลานาน การไปครั้งนี้เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”
ปรากฏว่า คณะศิลปินได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งจากประธานเหมา เจ๋อตง และนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล
เป็นความกล้าหาญยิ่งของคณะศิลปินในเวลานั้น เพราะทางการไทยคาดโทษหนัก ใครที่ไปยุ่งเกี่ยวกับประเทศหลังม่านเหล็ก (รัสเซีย) หรือประเทศหลังม่านไม้ไผ่ (จีน) จะต้องโทษข้อหาคอมมิวนิสต์
พอกลับมาถึงสนามบินดอนเมือง ทั้งคุณสุวัฒน์ วรดิลก และคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี ถูกจับกุมในข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ ในยุคที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนคนอื่นๆ ได้รับการประกันตัวออกไป

กลับมาที่เหตุการณ์ เมื่อ 50 ปีก่อน
“คุณอานันท์....กลับไปอเมริกาคราวนี้ ให้เจรจากับผู้แทนจีนเพื่อหยั่งท่าที และเตรียมตัวเดินทางไปเยือนจีน” พลตรีชาติชาย ชุณหะวัน พูด
นี่คือคำสั่งของ รมว.การต่างประเทศของไทย เมื่อครั้งที่นายอานันท์ถูกเรียกตัวกลับไทยชั่วคราวเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อสหรัฐฯ ในกรณี “ชิงเรือมายาเกซ” ของนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการโดยพลการ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2518
“เป็นนโยบายของรัฐบาลแน่ชัดแล้วหรือครับ” นายอานันท์ถาม
“นายกฯ คึกฤทธิ์ให้ความเห็นชอบแล้ว” รัฐมนตรีตอบ
“แล้วสภาความมั่นคงแห่งชาติ (ส.ม.ช.) เห็นด้วยหรือไม่ครับ” นายอานันท์ถามต่อ
“ไม่ต้องถามเขาหรอก ขืนถามไปก็ถูกคัดค้านแน่” รัฐมนตรีตอบ
ที่ต้องถามเช่นนี้ เนื่องจากว่าในเวลานั้น ส.ม.ช. ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแทนฝ่ายทหารที่ผูกโยงกับการช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ โดยใช้ “ภัยคอมมิวนิสต์” เป็นคาถาสำเร็จรูปมาโดยตลอด ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะเป็นอิสระบนพื้นฐานผลประโยชน์ของประเทศชาติ
หลังจากรับคำสั่งจากพลตรีชาติชาย รมว.การต่างประเทศแล้ว นายอานันท์ได้ขออนุมัติตั้งกลุ่มทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ ประกอบด้วย นายชวาล ชวณิชย์ รองอธิบดีกรมการเมือง นายเตช บุนนาค หัวหน้ากองเอเชียตะวันออก นายสุจินดา ยศสุนทร เลขานุการโท กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นายคนิด อัครสุดา เลขานุการตรี กองเอเชียตะวันออก เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และยกร่างความตกลงปรับสัมพันธ์เพื่อเตรียมเจรจากับจีน โดยผ่านนายฮวงหัว ผู้แทนถาวรของจีนประจำสหประชาชาติ
หลังจากนั้น นายอานันท์ ปันยารชุน เดินทางกลับไปนิวยอร์กเพื่อจะพบผู้แทนจีน ณ องค์การสหประชาชาติ
ความจริงก่อนหน้านั้น พ.อ. ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีต่างประเทศในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นอนาคตแล้ว หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าแทนที่สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในสหประชาชาติ เมื่อเดือนตุลาคม 2514 พ.อ. ถนัดจึงขอให้นายอานันท์ ปันยารชุน เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกาและประจำสหประชาชาติ ให้เจรจาพูดคุยอย่างไม่เปิดเผยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
นายอานันท์ ชี้แจงว่า
“ผมทำตามคำสั่ง ผมพบกับทูต Huang Hua ผู้แทนถาวรจีน 3- 4 ครั้งๆละไม่ถึงชั่วโมง ใช้ห้องประชุมชั้นล่างใต้ดินที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ มีล่ามภาษาอังกฤษจากฝ่ายจีน ฝ่ายเรามีผมคนเดียว เจตนาของฝ่ายเราคือรื้อฟื้นช่องทางการติดต่อระหว่างกันโดยไม่พูดกันถึงเนื้อหาสาระ เช่นเรื่องการก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในไทย เป็นต้น ผมพยายามดูว่าฝ่ายจีนเขามีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเราจะติดต่อสัมพันธ์กันอย่างไรในอนาคต เป็นเรื่องของการหยั่งดูท่าที และทำความรู้จักกันและกัน ไม่ใช่เป็นการเจรจาสงบศึกอย่างแน่นอน เป็นอย่างที่เรียกกันให้เพราะหูว่า “การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ (Confidence Building)” เป็นเรื่องของการทำความเข้าใจในทัศนะของกันและกัน เราไม่ไปขุดคุ้ยเรื่องในอดีต แต่มองไปข้างหน้า และก็บอกให้เขารู้ถึงข้อกังวลของเรา”
(จากหนังสือ นักสู้อานันท์ โดยวิทยา เวชชาชีวะ)

ตลอดปี 2517 ซึ่งเป็นช่วงแห่งการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน เพื่อปูทางสู่ความ สัมพันธ์ระยะยาว ขณะที่นายฮันเนียนหลง รมช.การต่างประเทศของจีนมาเยือนไทย นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ รองนายกรัฐมนตรีของไทยก็ได้ไปเยือนจีน
ในขณะที่รัฐบาลไทยมีข้อขัดข้องเรื่องจีนสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ไทย แต่รัฐบาลไทยก็จำต้องมีแนวโน้มที่จะยอมรับฐานะของจีนตามกระแสโลก
6 ธันวาคม 2517 สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเอกฉันท์ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 53 ซึ่งกำหนดห้ามการค้าขายระหว่างไทยกับจีน นายจรูญพันธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว. การ ต่างประเทศ แถลงว่า
“นับจากเวลานี้ไป ไทยกับจีนจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน อันจะนำไปสู่การเปิดความสัมพันธ์ระหว่างชาติ แม้จะมีผู้ไม่เห็นพ้องด้วย แต่การมีความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
หนังสือชื่อ เอกบุรุษชาติอาชาไนย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ฉบับพิมพ์เนื่องในวันเกิด 5 เมษายน 2540 บันทึกไว้ตอนหนึ่ง เหตุเกิด ณ มหานครนิวยอร์ก เมื่อตุลาคม 2517 ว่า
“เราตรงไปที่รถที่จอดไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย คุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นคนขับ ผมนั่งมากับคุณอานันท์สองคนเท่านั้น
มาถึงสถานทูตจีน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ขณะนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว
เมื่อเราเข้าไปในสถานทูตจีน มีเจ้าหน้าที่มารับเราเข้าไปพบ นายเฉากวงหัว (รมว.การต่างประเทศจีน) ซึ่งนั่งอยู่คนเดียวเท่านั้น แต่บนโต๊ะรับแขกที่นายเฉากวงหัวอยู่นั้น ที่เขี่ยบุหรี่มี ก้นยาประมาณ 20 ชิ้น ก็แสดงว่า นายเฉากวงหัว รอเราอยู่ด้วยความกระวนกระวายพอสมควร เพราะวันนี้เป็นวันที่เราจะมาส่งข่าวว่า รัฐบาลไทยได้ตกลงใจอย่างแน่นอนแล้วที่จะเปิดสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน”
19 มีนาคม 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่า
“จะเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตขั้นปกติกับสาธารณรัฐประชาชนจีน”
ต่อมา นายอานันท์นำคณะทำงานดังกล่าวเดินทางไปจีน เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2518 เพื่อเริ่มการเจรจาเป็นทางการ
และแล้ว เมื่อ 30 มิถุนายน 2518 ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทย-จีน ได้เปิดขึ้นให้เห็น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทย กับนายโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ได้ลงนามข้อตกลงเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ยุติสภาพแห่งความเป็นศัตรูนานนับ 4 ทศวรรษ กลายเป็นมิตรสนิทที่จะสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เอกอัครราชทูตไทยคนแรกประจำกรุงปักกิ่งคือ ม.ร.ว.เกษมสโมสร เกษมศรี นั่นเอง

เครดิต ข้อมูลและภาพ
1. หนังสือ นักสู้อานันท์ กล้าคิด กล้าทำ กล้าเสี่ยง โดยวิทยา เวชชาชีวะ - 2565
2. หนังสือ อานันท์ ปันยารชุน ชีวิต ความคิด และการงาน ของอดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัย โดย ประสาร มฤคพิทักษ์ และคณะ - 2541
3. ภาพ นสพ. มติชน / ศิลปวัฒนธรรม

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา