
เรื่องราวของหนึ่งในซูเปอร์ฮีโร่ผู้เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ที่ต้องพยายามผสานความเป็นชาวดาวคริปตันและด้านที่เป็นมนุษย์โลกของตัวเองเข้าด้วยกัน
“Look! Up in the sky! It’s a bird! It’s a plane! It’s Superman!”
วลีในตำนาน ที่มาจากรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์ ในช่วงยุค 1940s–1950s และกลายเป็นประโยคเปิดตำนานที่แฟนซูเปอร์ฮีโร่ทั่วโลกรู้จักกันดี ผู้เป็นสัญลักษณ์ของ "ความหวัง" ชื่อนั้นคือ ซูเปอร์แมน ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว ซูเปอร์แมน ถูกผลิตมาเป็นหนังมาทั้งคนแสดง แอนิเมชันและสื่ออื่น ๆ คงมากกว่าเกินกว่าที่จะนับได้ ถึงแม้จะมีมาเยอะมากก็ตาม แต่ว่ากันตามตรง ผมไม่เคยอินกับตัวละครนี้เลย ได้แต่มีมุมมองที่ว่า ซูเปอร์แมน คือฮีโร่จากดาวห่างไกลจากโลกนามว่า คริปทอน ที่แตกสลายไปแล้ว และจุดอ่อนของเค้าคือ แร่ที่ชื่อว่าคริปโตไนต์

มาในครั้งนี้ด้วยฝีมือการกำกับของ เจมส์ กันน์ ผู้กำกับจากหนังที่หลายๆคนรักอย่าง Guardians of the Galaxy ทั้ง 3 ภาค ต้องบอกเลยว่าอันนี้น่าจะเป็นภาคแรกที่สามารถทำให้ผมอินและเข้าใจความรู้สึกของตัวละครอย่าง คลาร์ก เค้นต์ หรือ ซูเปอร์แมน ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ อาจจะดูเหมือนเชยที่ต้องใช้คำว่า หนังเรื่องนี้สามารถถ่ายทอดความรู้สึกความเป็นมนุษย์ของ ซูเปอร์แมนได้อย่างลึกซึ้ง โดยผ่านการแสดงของ เดวิด คอเรนสเว็ต ได้อย่างดีมากๆ จนอาจทำให้มีบางฉากถึงกับหลั่งน้ำตาออกมากันเลยทีเดียว แม้แค่ฉากช่วยชีวิตคนง่ายๆก็ยังสามารถทำออกมาให้ดูยิ่งใหญ่ได้

ไม่เพียงแต่มีตัวเอกที่ดีเท่านั้นแต่ ตัวร้ายของเรื่องอย่าง เล็กซ์ ลูเธอร์ ที่แสดงโดย นิโคลัส เฮาลต์ ที่สามารถมอบการแสดงถึงความรู้สึกของ ลูเธอร์ที่มีต่อซูเปอร์แมนได้อย่างลึกซึ้ง และยังมอบบทบาทตัวร้ายที่สมน้ำสมเนื้อกับซูเปอร์แมนได้อย่างไม่มีที่ติ นับว่าเป็นตัวร้ายอีกตัวที่น่าจดจำเป็นอย่างมาก บวกกับเหล่าตัวละครเสริมของเรื่อง ไม่มีตัวไหนเลยที่ไม่จำเป็นกับเรื่องราวของ ซูเปอร์แมน ทั้ง กรีนแลนเทิร์น มิสเตอร์เทอริฟิก ฮอว์คเกิร์ล หรือแม้แต่ตัวละคร อย่าง ลูอิส เลน แฟนสาวของ ซูเปอร์แมน ก็ได้ทำหน้าที่สมกับการเป็นแฟนสาวของบุรุษผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทุกตัวละครต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบมากๆ

ในการเล่าเรื่องของ Superman (2025) มีวิธีการเล่าที่ค่อนข้างจะแปลกจากหนังฮีโร่เปิดจักรวาลโดยทั่วไปพอสมควร จนเกิดเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเรื่อง นั้นคือการเล่าเรื่องแบบที่การมีอยู่ของ เมต้าฮิวแมน (ผู้มีพลัง) เป็นเรื่องปกติไปแล้ว จนทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นหลายๆครั้งเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามถึงที่มาของสิ่งประหลาดเหล่านี้ เพราะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถ้าหากจะพูดถึงข้อเสียของ Superman (2025) คงหนีไม่พ้นจังหวะในการเล่าเรื่องที่เหมือนแทบไม่มีจังหวะพักให้กับเรื่องเลย แต่ก็เป็นข้อเสียที่ไม่ได้มีผลมากเท่าไหร่
สรุปแล้ว Superman (2025) เป็นหนังที่เปิดจักรวาลใหม่ของ DC ที่น่าสนใจและดีกว่าที่คาดมาก ไม่เพียงแต่มอบความบันเทิงให้กับผู้ชมอย่างเดียว แต่ยังสามารถตีความเรื่องของ " ความหวัง " ออกมาให้ผู้มเข้าใจและอินไปกับหนังได้อย่างไม่มีข้อกังขา
ภาพจาก : Warner Bros. Pictures


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา