
"...ความไว้วางใจต่อศาลเป็นความไว้วางใจต่อระบบตุลาการ (judicial system) เป็นรากฐานของการจัดระเบียบสังคม เพราะศาลทำหน้าที่รักษากฎหมายให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมและเที่ยงธรรม ระงับข้อพิพาท และทำให้คนทั้งหลายเกิดความมั่นใจในระบบตุลาการ เมื่อใดก็ตามที่ศาลทำหน้าที่ของตนได้ดีแล้ว ศาลเองก็ต้องการให้ประชาชนทั้งหลายมีความเชื่อถือและนับถือศักดิ์ศรีของตนด้วยเช่นกัน..."
1. ความสำคัญของความไว้วางใจสาธารณะ
ความไว้วางใจสาธารณะ (public trust) เป็นความเชื่อถือ (trustworthiness) ที่ประชาชนมอบให้รัฐบาลทำการปกครองประเทศ โดยเฉพาะในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลได้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง อันเป็นวิธีการแสดงออกซึ่งความยินยอม (consent) ของประชาชนตามทฤษฎีสัญญาประชาคม (social contract theories) ที่ถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ส่วนความไว้วางใจสาธารณะที่มีต่อนายกรัฐมนตรี (prime minister) ยิ่งมีความสำคัญ เพราะทำให้รัฐบาลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคนทั้งหลายยินยอมทำตามกฎหมายและนโยบายของรัฐบาลด้วยความเต็มใจ เชื่อมั่นต่อการพัฒนาประเทศและการนำนโยบายไปปฏิบัติ
นายกรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณะ ย่อมสร้างความเข้มแข็งให้สังคมมีความ เหนียวแน่นสมานฉันท์ และเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในทางกลับกัน เมื่อใดก็ตามที่ความไว้วางใจต่อนายกรัฐมนตรีถูกทำลายลง รัฐบาลย่อมขาดความชอบธรรม (legistimacy) เกิดความยุ่งยากต่อการปกครอง และเป็นไปได้มากว่าจะทำลายระบอบประชาธิปไตยทั้งหมดลง
2. ความไว้วางใจสาธารณะต่อศาล
ความไว้วางใจต่อศาลเป็นความไว้วางใจต่อระบบตุลาการ (judicial system) เป็นรากฐานของการจัดระเบียบสังคม เพราะศาลทำหน้าที่รักษากฎหมายให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมและเที่ยงธรรม ระงับข้อพิพาท และทำให้คนทั้งหลายเกิดความมั่นใจในระบบตุลาการ เมื่อใดก็ตามที่ศาลทำหน้าที่ของตนได้ดีแล้ว ศาลเองก็ต้องการให้ประชาชนทั้งหลายมีความเชื่อถือและนับถือศักดิ์ศรีของตนด้วยเช่นกัน
3. คดีความในศาลรัฐธรรมนูญ
คดีใหญ่ที่สาธารณะสนใจในศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน ได้แก่ คดีคลิปเสียงหลุดที่นายกรัฐมนตรีไทยคุยกับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นบิดาของฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อีกทั้งนายฮุน เซน ยังคงเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองอันดับหนึ่งของประเทศกัมพูชา
3.1 วัตถุแห่งการกระทำ (the object of act) คือ การที่นายกรัฐมนตรีไทยคุยกับนายฮุน เซน ซึ่งมีสาระสำคัญ 3 ประการ
ประการแรก ขอให้นายฮุน เซน ช่วยคุยกับนายฮุน มาเน็ต หาทางตกลงกับนายกรัฐมนตรีไทยต่อหน้าสาธารณะ โดยนายฮุน เซน จะใช้วิธีการใดก็ได้ สุดแท้แต่นายฮุน เซน
ประการที่สอง นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา ซึ่งหมายถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงกับข้ามกับนายกรัฐมนตรีไทยและนายฮุน เซน
ประการที่สาม หากนายฮุน เซน ประสงค์อยากได้อะไร ให้ติดต่อกับนายกรัฐมนตรีไทย ตัวของนายกรัฐมนตรีไทยจะจัดการให้แก่นายฮุน เซน
3.2 วัตถุแห่งคดี (the object of court proceedings)
การพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นประการใด ย่อมมีขอบเขตตามคำร้องของผู้ร้อง ได้แก่ บรรดาสว.ที่เข้าชื่อกันตามเกณฑ์ และเนื้อหาของคำร้องที่ขอให้ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีไทยเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริตและหรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
หากเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและหรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามคำร้องแล้ว ย่อมมีผลให้นายกรัฐมนตรีไทยพ้นจากตำแหน่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และมีผลให้บรรดารัฐมนตรีต่าง ๆ ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย
3.3 วัตถุแห่งคดียังรวมถึงบริบทที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของนายกรัฐมนตรี
เมื่อพิจารณาจากคำร้องและบริบทของการกระทำของผู้ถูกร้องแล้ว ย่อมมีประเด็นที่ศาลน่าจะต้องพิจารณา ดังนี้
ประการแรก การที่นายกรัฐมนตรีไทยขอให้นายฮุน เซน ช่วยคุยกับนายฮุน มาเน็ต หาทางตกลงกับนายกรัฐมนตรีไทยต่อหน้าสาธารณะ โดยนายฮุน เซน จะใช้วิธีการใดก็ได้ สุดแท้แต่นายฮุน เซน นั้น เป็นการกระทำที่น่าจะทำให้นายกรัฐมนตรีไทยได้รับประโยชน์โดยตรงจากการได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศ จากการตกลงกันทางลับกับนายฮุน เซน หรือไม่ และวิธีการได้มาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศจากความตกลงนี้กระทำตามครรลองของวิธีการเจรจาความเมืองกับต่างประเทศหรือไม่
หากฟังได้ว่านายรัฐมนตรีไทยมีเจตนาหวังใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตนเองกับนายฮุน เซน และอาศัยความเป็นพ่อลูกกันระหว่างนายฮุน เซนกับนายฮุน มาเนต ทำความตกลงกับไทยต่อสาธารณะ ซึ่งในขณะนั้นข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพชา ได้แก่ การที่กองทัพไทยเริ่มปิดด่านชายแดนบางส่วน จนกระทั่งลุกลามไปปิดทั้งหมด และเกิดสงครามห้าวันระหว่างไทยกับกัมพูชา
การยอมเปิดด่านตามนายฮุน เซน ย่อมเท่ากับนายกรัฐมนตรีมีเจตนาให้กัมพูชาได้ประโยชน์ ส่วนกองทัพย่อมเสียประโยชน์จากการขาดอำนาจต่อรองกับกัมพูชา
นายกรัฐมนตรีไทยย่อมเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ประการที่สอง การที่นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา ซึ่งหมายถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงกับข้ามกับนายกรัฐมนตรีไทยและนายฮุน เซน นั้น เป็นการดูหมิ่นดูแคลนแม่ทัพภาค 2 ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูงของประเทศไทยหรือไม่ เพียงใด
การดูหมิ่นดูแคลนนายทหารระดับสูงเช่นนั้น เป็นการทำร้ายและทำลายเกียรติยศของทหารไทยและเกียรติภูมิของกองทัพไทยหรือไม่ รวมทั้งแม่ทัพนายกองเหล่านั้นได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่ และถือว่าทหารดังกล่าวทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่
หากศาลฟังได้ว่าเป็นการเข้าข่ายทำลายเกียรติยศของทหารไทยและเกียรติภูมิของกองทัพไทย
นายกรัฐมนตรีไทยย่อมเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ประการที่สาม การที่นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวว่าหากนายฮุน เซน ประสงค์อยากได้อะไร ให้ติดต่อโดยตรงกับนายกรัฐมนตรีไทย ตัวของนายกรัฐมนตรีไทยจะจัดการให้โดยใช้อำนาจหน้าที่ของตน นั้น เป็นการเสนอให้ประโยชน์แก่ผู้นำประเทศกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นเป็นคู่พิพาทเขตแดนกับไทย หรือไม่
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่านายกรัฐมนตรีไทยได้มีการให้ประโยชน์แก่นายฮุน เซน ไปแล้ว ย่อมเข้าข่ายเป็นการเสนอสินบนเพื่อแลกรับกับประโยชน์จากความตกลงกับกัมพูชา ตรงกันข้าม หากไม่มีหลักฐานว่านายฮุน เซนและประเทศกัมพูชาได้รับประโยชน์อะไรเลย การเสนอเช่นนั้น ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบังคับให้หน่วยงานที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาทำตามที่นายฮุน เซน ต้องการ
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไทยย่อมเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเช่นกัน
3.4 เมื่อการพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลต้องคำนึงถึงบริบทของการกระทำของนายกรัฐมนตรีไทยประกอบด้วย ข้อเท็จจริงขณะที่เกิดเหตุนั้น ฟังได้ว่า
(1) ไทยกับกัมพูชามีข้อพิพาทชายแดนบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีของประเทศไทย โดยกัมพูชาเข้ามาขุดคูทำสนามเพลาะและตั้งรังปืนกลหันหน้าเข้าเขตไทย
(2) ต่อมาไม่นาน ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่กัมพูชาลอบมาฝังไว้ และทหารตรวจสอบแล้วเป็นระเบิดใหม่
(3) กองทัพไทยได้ตอบโต้กัมพูชาตามยุทธวิธี โดยการปิดด่านชายแดนบางส่วน
(4) นายกรัฐมนตรีไทยเข้าประชุมร่วมกับนายทหารระดับสูง และสอบถามทหารว่าทำอย่างไรให้การเปิด-ปิดด่านชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาตรงกัน อันเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายฮุน เซน แล้ว และนายกรัฐมนตรีได้รับปากกับนายฮุน เซน แล้วว่าจะหาทางเปิดด่านให้กัมพูชาตามที่นายฮุน เซน ต้องการ
การเข้าประชุมกับทหารและการขอให้ไทยเปิด-ปิดด่านให้ตรงกันกับกัมพูชาเป็นการกระทำที่สอดคล้องกันกับการที่นายกรัฐมนตรีไทยได้เจรจาลับทางโทรศัพท์กับนายฮุน เซน หรือไม่
หากสอดคล้องกัน นายกรัฐมนตรีไทยย่อมเข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเช่นกัน
3.5 ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของนักวิชาการบางคน
นักวิชาการบางคนพูดในรายการโทรทัศน์ว่า คดีนี้ตามข้อกฎหมายเอาผิดกับนายกรัฐมนตรีไทยไม่ได้ เพราะคลิปเสียงหลุดเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นักวิชาการท่านนี้อ้างข้อกฎหมายว่า กฎหมายอาญาไทยไม่ให้รับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ แต่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบไต่สวนสามารถรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบได้
ประเด็นที่น่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อน คือ ปัจจุบันประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/1 ให้ศาลอาญารับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบได้ หากเป็นพยานหลักฐานที่จำเป็นและมีคุณค่าแก่การพิสูจน์
อีกอย่างหนึ่ง คือ หากจะอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ ฝ่ายผู้ถูกร้องจะต้องมีคำร้องให้ศาลพิจารณาก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบอย่างไร และศาลจะรับฟังเป็นพยานได้หรือไม่ หากไม่มี ย่อมถือว่าผู้ถูกร้องไม่ติดใจเรื่องพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ
3.6 ข้อต่อสู้ของนายกรัฐมนตรีจากคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญฟังขึ้นหรือไม่
ประการแรก ข้อต่อสู้ของนายกรัฐมนตรีไทยอ้างเทคนิคการเจรจาต่อรองทำนองว่า ตนต้องเสแสร้งแกล้งเข้าข้างนายฮุน เซน เพื่อล้วงเอาความลับของนายฮุน เซน ออกมาว่า นายฮุน เซน ต้องการอะไร จึงแกล้งกล่าวว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนของฝ่ายตรงกันข้าม นั้น
ข้อต่อสู้ข้อนี้รับฟังได้ยาก เพราะนายกรัฐมนตรีไทยไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งเข้าข้างนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีไทยย่อมทราบความต้องการของนายฮุน เซนและประเทศกัมพูชาในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงของประเทศไทยก่อนการเจรจาแล้วว่า ความต้องการของเขา คือ ให้ประเทศไทยเปิดด่าน เขาพูดสำทับในการเจรจาอีกครั้งหนึ่งทำนองว่าเมื่อไทยเปิดด่านเมื่อใด เขาก็จะเปิดด่านตาม นายฮุน เซนยังพูดด้วยว่าความผิดของการปิดด่านเป็นของไทยเอง ไทยจึงต้องเปิดด่านก่อน
ประการที่สอง ข้อต่อสู้ที่ว่านายกรัฐมนตรีไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเจรจาความเมืองทางโทรศัพท์ นั้น ก็น่าจะรับฟังได้ยาก เพราะเนื้อหาการสนทนาปรากฏชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีขอให้นายฮุน เซน ไปทำอะไรก็ได้ให้นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชามาทำความตกลงเปิดด่านกับตน อันเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงเจตนาที่จะได้รับประโยชน์จากการทำความตกลง เพื่อหวังการได้ชื่อเสียงจากการเจรจานั่นเอง
ประการที่สาม ข้อต่อสู้ที่ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่มีเจตนาให้ประเทศไทยได้รับความเสียหาย และประเทศไทยไม่ได้รับความเสียหายนั้น ยิ่งเป็นข้อต่อสู้ที่รับฟังไม่ได้
เพราะการกระทำโดยสุจริต ภาษากฎหมายหมายถึงการไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่คดีนี้นายกรัฐมนตรีไทยรู้อยู่เต็มอกว่ากัมพูชาต้องการให้ไทยเปิดด่าน และการเปิดด่านเป็นไปเพื่อผลประโยชน์โดยตรงของกัมพูชา ขณะเดียวกันนั้นได้เซาะกร่อนบ่อนทำลายอำนาจต่อรองและศักดิ์ศรีในการปิดด่านตามยุทธวิธีของกองทัพไทย
การที่นายกรัฐมนตรีไทยมีเจตนาเปิดด่านเพื่อผลประโยชน์ของประเทศกัมพูชา จึงเป็นการกระทำที่มีผลโดยตรงให้กองทัพไทยเสียหายและเสียเกียรติภูมิ อันเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
4. ดีลลับ
การคาดคะเน (speculation) เกี่ยวกับผลของคดีความเป็นสิทธิโดยชอบที่นักกฎหมายจะทำได้ โดยเฉพาะคดีที่มีผลต่อสาธารณะ เพียงแต่การคาดคะเนถึงพิจารณาคดีของศาลจะต้องไม่พิจารณาถึงดีลลับ เพราะเป็นการทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของศาล ขัดต่อหลักนิติธรรม (rule of law) และความไว้วางใจสาธารณะที่มีต่อศาล ซึ่งเป็นการทำลายระบบตุลาการในตัวเอง
สำหรับการลือกันว่าสามารถวิ่งเต้นล้มคดีได้เป็นธรรมดา ส่วนใหญ่เป็นนายหน้าที่ได้ประโยชน์จากการวิ่งเต้น แต่ถ้ามีดีลลับจริงและมีการร้องไปที่คณะกรรมการศาลยุติธรรม หรือ ก.ต. คณะกรรมการดังกล่าวได้วินิจฉัยลงโทษผู้พิพากษาไปแล้วจำนวนไม่น้อยทั้งทางวินัยและทางอาญา ดังที่ปรากฏในเอกสารข่าวของการประชุมคณะกรรมการศาลยุติธรรม
ส่วนศาลรัฐธรรมนูญนั้น ในอดีตเคยมีการลือกันเรื่องบกพร่องโดยสุจริต ในคดี “ซุกหุ้น” โดยศาลยกคำร้องการซุกหุ้นของผู้ถูกร้อง โดยอ้างเหตุผลว่าผู้ถูกร้องมีทรัพย์สินมากมายจนจดจำไม่ได้ว่าฝากเงินและทรัพย์สินไว้กับใครบ้าง ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่น่าจะคลาดเคลื่อนในสายตาของนักกฎหมาย
ถึงขั้นลือกันว่าเป็นเพราะมีบางคนเป็นตัวแทนยก “กล่องลังแม่โขง” ไปให้ตุลาการบางท่าน
แต่เพียงการลือเท่านั้น ชื่อเสียงตุลาการบางคนที่ถูกลือ ก็ป่นปี้วอดวายกระเทือนไปยังลูกยังหลานจนปัจจุบัน บางคนบอกว่า “ถูกจารลงหนังหมา” ไว้เรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำลายความไว้วางใจสาธารณะที่มีต่อระบบตุลาการโดยรวม จนสะเทือนไปทั้งปฐพี
อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเรื่อง “กล่องลังแม่โขง” เกิดขึ้นนานมากแล้ว สมัยก่อนคนไทยยังขาดความตื่นตัวทางการเมืองและสื่อมวลชนไม่ได้มีบทบาทเข้มแข็ง อีกทั้งระบบศาลก็น่าจะยังไม่เปิดกว้างและโปร่งใสเท่ากับปัจจุบัน
ขณะนี้หลักนิติธรรมไทยน่าจะพัฒนาขึ้นมาไม่น้อย และการนำความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายกลับคืนมาเป็นหน้าที่ของศาล
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก moneyandbanking.co.th , thansettakij.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา