
"...ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดยเฉพาะมีการเลือกตั้ง แล้วก็มีการรัฐประหารอยู่ไม่หยุดหย่อน ไทยเราจึงรับเอาหลักรัฐธรรมนูญนิยมของเยอรมันใช้ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันกับเยอรมัน คือ การใช้รัฐธรรมนูญเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย แต่ดังกล่าวแล้วว่าพื้นฐานจริง ๆ ของหลักรัฐธรรมนูญนิยมมาจากสหรัฐอเมริกา คนไทยจึงเข้าใจเหมือนเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่สองว่า “ถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นประชาธิปไตยอย่างฉับพลันทันด่วน” ทว่า ความเข้าใจดังกล่าวกลับก่อให้เกิดปัญหาย้อนแย้งและสับสน โดยเฉพาะขัดกับหลักรัฐธรรมนูญนิยม..."
1. หลักรัฐธรรมนูญนิยมสหรัฐอเมริกา
หลักรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) เกิดในสหรัฐอเมริกา ชื่อเต็มจึงเรียกว่า “The American Constitutionalism” คนคิด ชื่อ อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง เมื่อ ค.ศ. 1788 ในเอกสารรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า “The Federalist”
แฮมิลตันเป็นคนแรกในโลกที่วางหลักรัฐธรรมนูญนิยม 2 ข้อ คือ (1) หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ (the doctrine of the supremacy of the constitution) และ (2) หลักผู้พิพากษาเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (the doctrine of judge as guardians of the constitution)
แฮมิลตันเห็นว่ารัฐธรรมนูญต้องจำกัดอำนาจมลรัฐ โดยเฉพาะอำนาจการออกกฎหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญ แฮมิลตัน เขียนในเอกสารต้นฉบับ ว่า
“Limitations of this kind can be preserved in practice no other way than through the medium of court of justice, whose duty it must be, to declare all acts contrary to the manifest tenor of the constitution, void. Without this, all the reservations of particular rights or privilege would amount to nothing” (Cited in Brewer-Carias, 2023, Judicial Review in Comparative Law)
ข้อความข้างต้นมีความหมายทำนองว่าศาลยุติธรรมต้องรักษาความสูงสุดของรัฐธรรมนูญเอาไว้ตามหน้าที่ โดยการประกาศว่ากฎหมายฉบับที่ขัดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ฐานะพิเศษของรัฐธรรมนูญซึ่งหมายถึงความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีความหมาย
ในทางปฏิบัติสภาคองเกรสออกกฎหมายองค์กรตุลาการ ค.ศ. 1789 (the judiciary act of 1789) ให้อำนาจศาลวินิจฉัยกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต่อมา ศาลรัฐบาลกลางประกาศว่ากฎหมายของมลรัฐเป็นโมฆะเพราะต่อต้านรัฐบาลกลางและขัดต่อรัฐธรรมนูญกลาง ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1795 และครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ. 1800 ตามลำดับ
เหตุผลที่แฮมิลตันวางหลักรัฐธรรมนูญนิยมเอาไว้ เพราะขณะนั้นสหรัฐอเมริกาเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและต้องถือกฎหมายอังกฤษเป็นกฎหมายสูงสุด ศาลสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นศาลอาณานิคมจึงไม่สนใจที่จะตัดสินว่ามีกฎหมายใดขัดต่อกฎหมายอังกฤษหรือไม่
ส่วน “อำนาจอธิปไตยของประชาชน” ตามหลักรัฐธรรมนูญนิยมของสหรัฐอเมริกาที่แฮมิลตันอธิบายนั้น ถือว่า “รัฐธรรมนูญเป็นคำประกาศเจตนารมณ์ของประชาชน” ซึ่งเป็นการแสดงอำนาจอธิปไตยของประชาชนแล้ว
สหรัฐอเมริกาจึงไม่ได้มีปัญหาต้องถกเถียงกันว่า ส.ส.เป็นตัวแทนปวงชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทั้งฉบับเหมือนประเทศไทย เพราะรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาคือประชาธิปไตยอยู่แล้วในตัวเอง ตรงกันข้ามกับปัญหาของไทยที่รัฐธรรมนูญไทยมาจากการร่างจากการรัฐประหาร และส.ส. เห็นว่าต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้เป็นประชาธิปไตย
หลักรัฐธรรมนูญนิยมของสหรัฐอเมริกา จึงถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หลักรัฐธรรมนูญนิยมที่เป็นประชาธิปไตย” (democratic constitutionalism) ซึ่งมีความหมาย 2 ประการ ประการแรก คือ รัฐธรรมนูญก็คือความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในตัวเอง และประการที่สอง คนอเมริกันให้ความเคารพ “รัฐธรรมนูญ” มาเป็นเวลายาวนานมากและเป็นไปโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องบังคับให้เคารพเหมือนกรณีของออสเตรียและเยอรมัน
ด้วยเหตุนี้ หลักรัฐธรรมนูญนิยมของสหรัฐอเมริกาจึงมีบทบาทสำคัญอันหนึ่ง ซึ่งน่าจะไม่มีในประเทศอื่น คือ บทบาทในฐานะเป็นอุดมการณ์แห่งชาติ สามารถหล่อหลอมคนอเมริกันที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ ให้เกิดความกลมกลืนได้เป็นเวลานานกว่าสองร้อยปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาข้อขัดแย้งกันก็หาทางออกโดยอาศัยฐานอ้างอิงจากข้อความที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือถ้าจำเป็นก็บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมลงไปในรัฐธรรมนูญ
2. หลักรัฐธรรมนูญนิยมของเยอรมัน
หลักรัฐธรรมนูญนิยมของเยอรมันนำเข้ามาจากออสเตรีย คือ ออสเตรียมีศาลรัฐธรรมนูญก่อนใครในยุโรปเมื่อ ค.ศ. 1920 ส่วนเยอรมันมีรัฐธรรมนูญเมื่อ ค.ศ. 1949 โดยนำเข้าศาลรัฐธรรมนูญและนำหลักรัฐธรรมนูญนิยมมาจากออสเตรีย ทั้งหมดนี้ก็ลอกแบบมาจากสหรัฐอเมริกา
แต่ทว่าหลักรัฐธรรมนูญนิยมของเยอรมันกลับถูกส่งออกไปทั่วโลก กลายเป็นแม่แบบของหลักรัฐธรรมนูญนิยมทั่วโลก จึงเรียกว่า “International Constitutionalism”
หลักรัฐธรรมนูญนิยมของเยอรมัน เป็นหลักรัฐธรรมนูญนิยมประเภทบังคับให้เป็นประชาธิปไตยเพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้เกิดมาพร้อมกับประชาธิปไตยเหมือนสหรัฐอเมริกา แต่ถูกใช้บังคับเพื่อเข้าไปจัดการกับเผด็จการ เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างฉับพลันทันด่วนให้เป็นประชาธิปไตย
ดังที่เราทราบกันดีว่าช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันตกอยู่ใต้อำนาจของฮิตเลอร์และพรรคนาซี ซึ่งได้นำลัทธิชาตินิยมมาใช้และทำลายประชาธิปไตยของเยอรมันจนพังพินาศ
รัฐธรรมนูญจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะรื้อฟื้นประชาธิปไตยกลับคืนมา
หลักรัฐธรรมนูญนิยมของเยอรมันยังเป็นพื้นฐานของหลักรัฐธรรมนูญนิยมระหว่างประเทศ ข้อความคิดหลัก คือ สิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นทั่วโลกและสามารถส่งผ่านข้ามพรมแดน จึงสัมพันธ์กับกฎหมายระหว่างประเทศและมีอำนาจเหนือรัฐชาติ เช่น รัฐธรรมนูญของสหภาพยุโรปเกิดขึ้นโดยอาศัยหลักรัฐธรรมนูญนิยมระหว่างประเทศ
3. ปัญหาหลักรัฐธรรมนูญนิยมไทย
ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยครึ่ง ๆ กลาง ๆ โดยเฉพาะมีการเลือกตั้ง แล้วก็มีการรัฐประหารอยู่ไม่หยุดหย่อน ไทยเราจึงรับเอาหลักรัฐธรรมนูญนิยมของเยอรมันใช้ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันกับเยอรมัน คือ การใช้รัฐธรรมนูญเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย แต่ดังกล่าวแล้วว่าพื้นฐานจริง ๆ ของหลักรัฐธรรมนูญนิยมมาจากสหรัฐอเมริกา
คนไทยจึงเข้าใจเหมือนเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่สองว่า “ถ้าแก้รัฐธรรมนูญแล้ว ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นประชาธิปไตยอย่างฉับพลันทันด่วน” ทว่า ความเข้าใจดังกล่าวกลับก่อให้เกิดปัญหาย้อนแย้งและสับสน โดยเฉพาะขัดกับหลักรัฐธรรมนูญนิยม ยกตัวอย่างเช่น
(1) อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
บางคนอ้างว่ารัฐธรรมนูญไทยฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2560 มาตรา 3 บัญญัติให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ดังนั้น เมื่อ ส.ส.เป็นตัวแทนปวงชน ส.ส.จึงสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยการเปลี่ยนไปเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. ได้
ทั้งที่ตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติให้แก้ไขเฉพาะ “การแก้ไขเพิ่มเติม” ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่อาจอ้างข้อความที่ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” ไปแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้
อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของรัฐธรรมนูญ ถ้าหากจะแก้ ก็ต้องบัญญัติ “กฎ” ขึ้นมาใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้แก้ได้ยากกว่าการแก้ไขเพิ่มเติมเดิมที่บัญญัติไว้
หากไม่ยึดหลักรัฐธรรมนูญนิยม รัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่กฎหมายสูงสุด กลายเป็นกฎหมายธรรมดา ฐานะของความเป็นรัฐธรรมนูญก็หายไป
เมื่อรัฐธรรมนูญกลายเป็นกฎหมายที่แก้ได้ง่าย เมื่อกลุ่มนี้แก้ได้ กลุ่มอื่นในภายภาคหน้าก็แก้อีก กลับไปกลับมาหรือเป็นวงจรวนไปวนมา
(2) รัฐธรรมนูญฉบับเดิมมาจากการรัฐประหาร
บางคนอ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาจากการรัฐประหาร ไม่ยึดโยงกับประชาธิปไตยและไม่เป็นประชาธิปไตย จำเป็นต้องแก้โดยการตั้ง ส.ส.ร.
ข้อนี้ถูกทีเดียวตรงที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาจากการรัฐประหาร ซึ่งฐานที่มาของ “อำนาจร่าง” รัฐธรรมนูญมาจากเผด็จการ
แต่น่าจะไม่ถูกตรงประเด็นการแก้ไข เพราะว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการตั้ง ส.ส.ร.นั้น เปรียบเสมือน “การตีเช็คเปล่า” ให้แก่ใครก็ไม่รู้ เพราะเราไม่รู้เลยว่า ส.ส.ร.จะเป็นใครและเขาแก้ไขอะไร ในความเป็นจริง ส.ส.ร. ที่ผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่มาจากระบบพรรคพวก (partisanship)
ตามหลักรัฐธรรมนูญนิยม ยังถือว่าวิธีการตั้งส.ส.ร.มาแก้รัฐธรรมนูญ เป็นแท็กติกส์การแก้รัฐธรรมนูญสองชั้น (double amendment tactics) เพราะอำพรางประเด็นที่ต้องการแก้ไขเอาไว้ และมีการเมืองเกิดขึ้นในการตั้งส.ส.ร. เพราะถ้าใครคุมส.ส.ร. คนนั้นก็คุมการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
ทั้งยังมีปัญหาตามมาอีกว่าการแก้รัฐธรรมนูญต้องใช้นักเทคนิคที่เป็นมืออาชีพหรือไม่ หรือว่าคนทั่วไปก็สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าใช้นักเทคนิค ก็มีปัญหาว่านักเทคนิคเข้ามาครอบงำ ดังที่ไทยมีปัญหา “เนติบริกร” ส่วนถ้าใช้คนธรรมดาสามัญทั่วไป ก็คงถกเถียงกันวุ่นวาย สะเปะสะปะ เพราะรัฐธรรมนูญต้องอาศัยความรู้พอสมควร อย่างน้อยก็ต้องรู้เรื่องหลักรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) และอำนาจการตรวจสอบของตุลาการ (judicial review)
ใจจริง ส.ส. คงอยากให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ หรือยกเลิกการเลือก สว. หรือยกเลิกมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง ดังที่ปรากฏในการอภิปรายต่อสาธารณะว่าต้องการให้สภาควบคุมกันเอง และไม่ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญมายุบพรรค เพราะเป็นการทำให้การพัฒนาพรรคการเมืองหยุดชะงัก ในขณะที่ทางทฤษฎีการเมืองถือว่าการพัฒนาพรรคการเมืองคือการพัฒนาสถาบันทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งก็มีส่วนถูกอีกเช่นกัน
แต่ก็เหมือนที่ผ่านมา สถาปนิกทางการเมืองต่าง ๆ เคยคิดฝันกันมาก่อน เมื่อตั้ง ส.ส.ร.แล้ว เราคิดว่าเขาจะทำตามที่เราคิดฝัน แต่ความจริงอาจไม่ใช่ เขาอาจร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แฝงไว้ด้วยผลประโยชน์ของหมู่คณะเหมือนเดิม
ยกตัวอย่าง การร่างที่มาของสว.ชุดปัจจุบัน ที่จริงก็เป็นความฝันอันบรรเจิดของผู้ร่างในขณะนั้นว่าจะได้สว.ที่เป็นกลางและปลอดจากการเมือง รวมทั้งมาจากตัวแทนกลุ่มวิชาชีพ
(3) การแก้รัฐธรรมนูญสามารถแก้ปัญหาตึกสตง.ถล่มได้
บางคนไปไกลมาก อ้างว่าการแก้รัฐธรรมนูญสามารถแก้ปัญหาตึกถล่มอย่างเช่น ตึก สตง. ได้ เพราะปัจจุบัน เมื่อตึกสตง.ถล่มนั้น เจ้าหน้าที่ข้าราชการก็ไม่ได้รับผิดอะไร หรือปัญหาองค์กรอิสระ เช่น กกต. ปัจจุบัน ไม่จับใครทุจริตก็ไม่เป็นไร หรือป.ป.ช. เอาคดีไปดองไว้ หรือศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีมีคุณค่าการเมือง หรือปัญหาองค์กรศาล เช่น ศาลปกครองใช้เวลาพิจารณาคดีเป็นสิบปี จนกลายเป็นความยุติธรรมที่ล่าช้า เท่ากับไม่อาจแสวงหาความยุติธรรมให้แก่ใคร และไม่ต้องรับผิดต่อใคร
คนเหล่านี้คิดว่าเมื่อแก้รัฐธรรมนูญแล้ว หน่วยงานและองค์กรอิสระ หรือองคืกรศาลเหล่านี้จะมีความพร้อมรับผิด (accountability) มากขึ้น ซึ่งก็น่าจะมีส่วนถูก ทว่าปัญหาดังกล่าวขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญอย่างเดียวหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราคงต้องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นเอกสารเล่มหนาเตอะ เต็มไปด้วยบทมาตรามากมาย
ปัญหาที่ตามมา ยังมีอีกว่าการบังคับใช้จะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้จริงหรือไม่ หรือว่าขึ้นอยู่กับกฎหมายลูก หรือว่าขึ้นอยู่กับการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ หรือว่าขึ้นอยู่กับความหย่อนยานของกฎหมายบ้านเมืองและปัญหาคุณภาพและจิตสำนึกสาธารณะของคน ฯลฯ
(4) รัฐธรรมนูญห้ามรัฐประหารได้
บางคนมีความฝันอันบรรเจิดว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างผลพวงของการรัฐประหารและป้องกันการรัฐประหารได้ เขาเห็นว่าปัญหาของบ้านเมืองทุกวันนี้มาจากการรัฐประหาร ดังนั้น หากบัญญัติการห้ามทำรัฐประหารเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็จะมีผลบังคับไม่ให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ
ความคิดที่จะอาศัยกลไกรัฐธรรมนูญบังคับเช่นนี้ หลายคนไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหน เพียงใด เพราะการป้องกันการรัฐประหารน่าจะมาจากกระบวนการประชาธิปไตย (democratic process) ในประเทศ เมื่อใดก็ตามที่ทหารยึดรัฐและนายทุนยึดรัฐ โดยที่ขาดการรวมตัวกันของประชาชนเป็นภาคที่สาม ขาดการกระจายอำนาจและขาดการขยายสิทธิเสรีภาพของพลเมืองอย่างกว้างขวาง การรัฐประหารก็ยังคงเกิดขึ้นได้อยู่ดี
อีกทั้งการรัฐประหารไทย มักอ้างว่าปัญหามาจากส.ส.และพรรคการเมืองที่ขาดคุณภาพ ไร้อุดมการณ์และคอร์รัปชัน การรัฐประหารแต่ละครั้ง คนไทยจำนวนไม่น้อยก็เห็นคล้อยตาม ปัญหาการรัฐประหารของไทยน่าจะขึ้นอยู่กับการยอมตามของคนไทยด้วยหรือไม่ เพียงใด
(5) ปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญไทย
ปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญไทยในปัจจุบันที่ไม่มีใครพูดถึง คือ ตามหลักรัฐธรรมนูญนิยมนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่ฉวยโอกาสแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองและพรรคพวก
โดยเฉพาะการแสวงหาคะแนนนิยมจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น การเร่งรีบแก้ไขให้ทันการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อให้พรรคตนได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่ผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย อันจะนำมาซึ่งชื่อเสียงและคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง
ในบริบทสากล การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือแก้ไขปรับปรุงใหม่เกือบหมดนั้นเป็นการแก้ “กฎ” ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ “กฎ” ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องระวังไม่ให้ถูกกล่าวหาว่ากระทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง ดังตัวอย่างเช่น กรณีของปัญหาที่เกิดขึ้นฮังการีและตุรกี และกรณีที่ศาลสูงของอินเดียเข้ามาวางหลักว่าห้ามแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ
วิธีการหลักที่หลายประเทศระวังจึงได้แก่ การเพิ่มเกณฑ์การแก้ “กฎ” การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สูงขึ้นก่อนที่จะลงมือแก้จริง เช่น กรณีของอาฟริกาใต้และแคนาดาเพิ่มขั้นตอนการแก้ไขให้มากขึ้น นอกจากนั้นต้องกำหนดระยะเวลาด้วยว่าไม่ให้ใช้บังคับในปัจจุบัน แต่ต้องทอดเวลาออกไป เช่น นอรเวย์ใช้ระยะเวลาในการแก้ “กฎ” ของการแก้รัฐธรรมนูญ 5 ปี เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้แก้เพื่อตัวเอง
ถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแสวงหาคะแนนนิยม ก็เป็นการกระทำเพื่อพรรคพวกตัวเอง และเป็นการจงใจทำลายคุณค่าความเป็นกฎหมายสูงสุดและการวางรากฐานในฐานะเป็นบรรทัดฐานของการปกครอง (normative character) ซึ่งเป็นคุณค่าสำคัญของรัฐธรรมนูญ
เมื่อเกิดปัญหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญก็จำเป็นเข้ามาพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามหน้าที่ที่แฮมิลตันวางหลักไว้อยู่ดี เมื่อถึงวันนั้นในประเทศไทยก็มักมีปัญหาโต้แย้งและวิจารณ์ว่าศาลใช้คุณค่าทางการเมืองวินิจฉัยคดี
ที่ถูกนั้น ถ้าจะเอาด่วนก็เอาตาม “กฎ” การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดิม ส.ส.และสว. ควรระบุการแก้รัฐธรรมนูญไปเลยว่าจะเอายังไง ถ้าอยากจะยุบศาลรัฐธรรมนูญ ก็กำหนดประเด็นแก้ไขว่า “ให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ” และให้ประชาชนลงประชามติไปเลย จะได้รู้เรื่องเด็ดขาดเป็นประเด็น ๆ ไป
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา