
"...การอภิปรายในรัฐสภาเป็นปรากฏการณ์ที่มีหลายมิติ ครอบคลุมทั้งความขัดแย้งและความร่วมมือ ทั้งวาทศิลป์และสาระ ทั้งกฎเกณฑ์และความสุภาพ และที่สำคัญคือความเป็นมืออาชีพ มิติทั้งห้าที่นำเสนอ ประกอบด้วย การใช้ถ้อยคำเผชิญหน้า การใช้วาทศิลป์และโวหาร การอภิปรายเชิงสาระตามกติกา การสื่อสารอย่างสุภาพเพื่อให้ข้อมูล และการอภิปรายอย่างมืออาชีพ อาจเป็นกรอบแนวทาง เป็นกระจกที่สะท้อนการอภิปรายจริงที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมานี้..."
“บางครั้งการเมืองก็เหมือนละครสดที่ไม่รู้ตอนจบ การนั่งหน้าจอดูการอภิปรายในสภา ไม่เพียงแต่ทำให้เห็นการอภิปรายแบบเรียลไทม์ แต่ยังช่วยให้เข้าใจมุมมอง ความขัดแย้ง และวาทศิลป์ของสมาชิกแต่ละคนอย่างใกล้ชิด บทความนี้เกิดขึ้น หลังนั่งหน้าจอ ดูการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาในวาระการแถลงนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยติดตาดูการอภิปราย หลากมิติ ตั้งแต่การเผชิญหน้า การใช้วาทศิลป์ การอภิปรายเชิงสาระ ความสุภาพ ไปจนถึงความเป็นมืออาชีพของสมาชิกรัฐสภา”
โดยที่การอภิปรายในรัฐสภาเป็นกลไกสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย มิได้ทำหน้าที่เพียงเป็นเวทีเชิงสถาบันสำหรับการตัดสินใจทางนิติบัญญัติเท่านั้น หากยังเป็นพื้นที่ที่แนวคิด อัตลักษณ์ และยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ถูกนำเสนอและแข่งขันกัน ลักษณะของการอภิปรายถูกกำหนดโดยวัฒนธรรมทางการเมือง กติกาสถาบัน และทักษะทางวาทศิลป์ของสมาชิกรัฐสภา โดยภาพรวม การอภิปรายในรัฐสภา ที่เห็นในสองวันที่ผ่านมาของการแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ สามารถจำแนกออกเป็น 5 มิติหลัก ได้แก่ การใช้ถ้อยคำเผชิญหน้า การใช้วาทศิลป์และโวหาร การอภิปรายเชิงสาระตามกติกา การสื่อสารอย่างสุภาพเพื่อให้ข้อมูล และการอภิปรายอย่างมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและดึงดูดผู้ฟัง
1. การใช้ถ้อยคำเผชิญหน้าและไม่สุภาพ (Confrontational and discourteous discourse) บางครั้งการอภิปรายในรัฐสภามีลักษณะการปะทะคารมและการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความเป็นการเมืองที่แบ่งขั้วสูง ซึ่งสมาชิกบางส่วนมุ่งเน้นการใช้ถ้อยคำเพื่อกระตุ้นอารมณ์และการโจมตีส่วนบุคคล มากกว่าการอธิบายเชิงเหตุผล แม้ว่าการอภิปรายในลักษณะนี้อาจดึงดูดความสนใจของสื่อและสาธารณชน แต่ก็มักบั่นทอนคุณภาพของการอภิปรายและทำให้สถาบันรัฐสภาสูญเสียความน่าเชื่อถือ มีสมาชิกสภาที่ท่าทีก้าวร้าว กดดันเกินควร บางคนออกแนวท้าทาย เช่น บอกให้ออกไปพบกันนอกห้อง การขัดขวางการอภิปราย การประท้วงถี่เกินไป ซ้ำซาก ขาดเหตุผลที่มากพอ การใช้ท่าทีลักษณะดังกล่าว ทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้น ตื่นเต้น แต่ก็คงชั่วคราว และไม่ได้เกิดผลเชิงสร้างสรรค์

2. การใช้วาทศิลป์ สำนวน และโวหาร (Employment of rhetoric, idiomatic expressions, and figurative language) อีกมิติที่โดดเด่นของการอภิปรายในรัฐสภาคือการใช้วาทศิลป์ สำนวน และโวหาร ซึ่งมิได้เป็นเพียงการตกแต่งภาษา แต่มีบทบาทในการโน้มน้าว สร้างภาพทางการเมือง และกระตุ้นความรู้สึกของสาธารณชน มิตินี้สะท้อนให้เห็นว่าการอภิปรายในรัฐสภาไม่ได้เป็นเพียงเวทีทางเทคนิคเพื่อกำกับนโยบาย กำกับการบริหารและการออกกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีการแสดงเชิงการเมืองที่สมาชิกสามารถสร้างเรื่องเล่าและสื่อสารกับสังคมวงกว้างได้ จะเห็นได้ว่าในครั้งนี้มีการใช้เทคนิคเพาอแสดงว่า ผู้นำทางการมีผู้นำที่เหนือกว่า โดยการผสมชื่อ ระหว่างผู้นำทางการกับผู้นำจิตวิญญาณ ของผู้นำรัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐบาลปัจจุบัน มุ่งให้มีสีสัน มีการเกทับกันไปมาจากการเปลี่ยนรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งว่าเป็นผลเสียที่ต้องมาแก้ ในขณะที่อีกฝ่ายบอกว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น มีการยกเรื่องที่เคยคุยกันไว้ส่วนตัวมาเปิดเผย ในลักษณะว่าทำไมวันก่อนเคยพูดไว้วันนี้ทำไมเปลี่ยนไป ลืมแล้วหรือ การตั้งชื่อว่าเป็น ฝ่ายค้าน ฝ่ายค้ำ ฝ่ายแค้น เป็นการพยายามเปรียบเปรย ในการใช้วาทะ โวหาร ถ้าใช้พอประมาณก็พอรับได้ หากมากเกินไปและขาดสาระข้อเท็จจริง แม้จะปลุกเร้าผู้ฟัง เมื่อไม่สมเหตุสมผลก็จะไม่ได้รับการตอบรับจากสาธารณชน
3. การอภิปรายเชิงสาระภายใต้กรอบเวลาและกติกา (Substantive deliberation with adherence to time management and procedural rules) อีกลักษณะหนึ่งของการอภิปรายที่มีคุณภาพคือการเน้นเนื้อหาสาระ โดยสมาชิกมุ่งเน้นประเด็นเชิงนโยบาย เหตุผลที่มีหลักฐานรองรับ และการสนทนาเชิงสร้างสรรค์ ทั้งหมดนี้หากอยู่ภายใต้การกำกับของกรอบเวลาและกติกาของรัฐสภา การเคารพเวลาและกติกามีบทบาทในการสร้างความยุติธรรม ความเป็นระเบียบ จะเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการธำรงความน่าเชื่อถือของกระบวนการอภิปราย มีสมาชิกสภาจำนวนไม่น้อยที่อภิปรายเป็นแบบอย่าง นำสาระที่ได้จากการค้นคว้าศึกษามานำเสนอ ในการนำเสนอมีการลำดับเรียบเรียงเป็นขั้นตอน ใช้ตรรกะที่สมเหตุผล ชวนติดตาม และ ไม่เอาเปรียบเกินเวลา มีข้อสังเกตว่า สมาชิกสภารุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยจะมีการอภิปรายในลักษณะดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นความหวังต่อไปในอนาคตการเมืองไทย

4. การสื่อสารอย่างสุภาพและมุ่งให้ข้อมูล (Courteous, respectful communication aimed at providing information) มิติที่สร้างสรรค์ที่สุดของการอภิปรายคือการสื่อสารที่มีความสุภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และยึดหลักการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง การอภิปรายเช่นนี้ช่วยส่งเสริมการยอมรับระหว่างสมาชิก เสริมสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการอภิปรายเชิงสร้างสรรค์ และสร้างความไว้วางใจของสาธารณชนต่อสถาบันรัฐสภา การเน้นความสุภาพและความถูกต้องของข้อมูลยังมีส่วนทำให้การอภิปรายเป็นแหล่งความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ผู้นำที่เป็นสมาชิกสภาของพรรคหลักบางพรรคมีการตระเตรียมการมาดีมาก นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรแบ่งเวลา แบ่งประเด็นในการแจกแจงให้กับสมาชิกพรรคร่วมกัน ในการอภิปราย ทั้งการอภิปรายนโยบายที่มีสาระว่า “ตามที่รัฐบาลแถลงนั้นสามารถแก้ปัญหาตามนโยบายหรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรตามมา ทำได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในเวลาที่จำกัด” ในส่วนการอภิปรายตัวบุคคลที่มาเป็นรัฐมนตรีนั้น ผู้อภิปรายบางท่านใช้การอนุมานมากเกินจริง ทำให้ไม่สมเหตุผลในการกล่าวว่าบุคคลนั้นไม่เหมาะสม ในขณะที่ สมาชิกสภาหลายท่านทำได้ดี ชวนตั้งโจทย์ต่อรัฐมนตรีหลายท่าน ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ทำให้เห็นว่า แม้วันนี้ อาจยังพิสูจน์ความจริงไม่ได้ ก็เป็นยาป้องกันป้องปรามที่ดี เพราะ รัฐบาลและรัฐมนตรีมีเวลาจำกัด จะทำอะไรไม่ดีก็มีหน่วยเฝ้าระวังอยู่ ทำให้ทำสิ่งไม่เหมาะไม่ควรได้ยากขึ้น รัฐมนตรีสามสี่ท่านที่ถูกอภิปรายอย่างมากในการแถลงนโยบายจึงกลายเป็นเป้าหมายในช่วงสี่เดือนก่อนยุบสภาที่จะถูกจับตาอย่างเข้มข้นต่อไป

5. การอภิปรายอย่างมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและดึงดูดชวนติดตาม (Skillful, attractive, and professional performance) อีกมิติหนึ่งที่กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น คือ ความเป็นมืออาชีพของการอภิปรายในรัฐสภา ซึ่งหมายถึงการอภิปรายที่มีทักษะการสื่อสารที่ชัดเจน ดึงดูดใจ และแสดงออกอย่างมีอำนาจแท้จริงจากพลังของข้อมูลในการอภิปราย สามชิกสภาที่มีทั้งความเชี่ยวชาญและความสามารถในการถ่ายทอดสามารถทำให้ประเด็นนโยบายที่ซับซ้อนกลายเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ การอภิปรายมืออาชีพอาศัยความเข้าใจกติกาของสภา ความรับผิดชอบทางจริยธรรม และความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังที่หลากหลาย โดยไม่ลดทอนความถูกต้องหรือความจริง การอภิปรายในลักษณะนี้ช่วยเพิ่มคุณค่าและภาพลักษณ์ของรัฐสภาให้เป็นสถาบันทันสมัย มีความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับในระดับสากล ในการอภิปรายครั้งนี้ นักการเมืองรุ่นใหม่ในสภาหลายท่านมีลักษณะที่น่าสนใจ เป็นที่น่ายินดีว่าเนื่องจากวัยวุฒิน้อยก็จะยังมีโอกาสทำงานต่อเนื่อง จะพบว่า หลายคนที่เป็นสมาชิกสภาที่เชี่ยวชาญข้อมูล การวิเคราะห๋ การนำเรื่องราวที่ซับซ้อนมาแยกแยะลำดับความ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอกลุ่มที่น่าจะทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น สแกมเมอร์ และ กิจการสีเทาสีดำอื่นๆ การพยายามนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยและธุรกิจไทยอย่างน่าสงสัย การอภิปรายว่าเหตุเหล่านี้อาจส่งเสริมการครอบงำทางการเมืองด้วยผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทาสีดำที่กล่าวถึง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องมีมาตรการที่เข้มแข็งเชิงป้องกันในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ นอกจากนี้ การนำเสนอของรัฐมนตรีหลายท่าน เกี่ยวกับแนวทางที่จะตอบสนองนโยบายโดยเฉพาะรัฐมนตรีคนนอกบางท่าน ถือได้ว่ามีความเป็นมืออาชีพ พูดได้น่าสนใจเช่นกัน
การอภิปรายในรัฐสภาเป็นปรากฏการณ์ที่มีหลายมิติ ครอบคลุมทั้งความขัดแย้งและความร่วมมือ ทั้งวาทศิลป์และสาระ ทั้งกฎเกณฑ์และความสุภาพ และที่สำคัญคือความเป็นมืออาชีพ มิติทั้งห้าที่นำเสนอ ประกอบด้วย การใช้ถ้อยคำเผชิญหน้า การใช้วาทศิลป์และโวหาร การอภิปรายเชิงสาระตามกติกา การสื่อสารอย่างสุภาพเพื่อให้ข้อมูล และการอภิปรายอย่างมืออาชีพ อาจเป็นกรอบแนวทาง เป็นกระจกที่สะท้อนการอภิปรายจริงที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมานี้
มิติดังกล่าวที่กล่าวถึง สะท้อนให้เห็นว่าการอภิปรายในรัฐสภาเป็นทั้งเวทีแข่งขันทางการเมืองและกลไกการพิจารณาเชิงประชาธิปไตย ความเหมาะสมและความสมดุลระหว่างมิติเหล่านี้ไม่เพียงกำหนดประสิทธิภาพของการอภิปรายเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อความชอบธรรมและความมีชีวิตชีวาของระบอบประชาธิปไตยในสายตาของสาธารณชน และที่สำคัญคือ คำถามว่า “การแถลงนโยบายของรัฐบาลและการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาดังกล่าวจะสามารถส่งผลประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนไทยได้จริงหรือไม่”.
บทความโดย :
วิทยา กุลสมบูรณ์
1 ตุลาคม 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา