
"...คนที่มาร้านคาเฟ่ไม่ใช่แค่มานั่งดื่มกาแฟ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรมระหว่างที่ดื่มกาแฟ อย่างเช่นร้านคาเฟ่ที่พวกเธอทำงาน เป็นร้านที่เจ้าของร้านบอกว่าไม่ได้ขายกาแฟ แต่ขายประสบการณ์ใหม่ของการดื่มกาแฟในรูปแบบของ “ม็อกเทล” ที่ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แบบ “ค็อกเทล” และมีฮาลาล เพื่อให้คนมุสลิมได้เปิดประสบการณ์รูปแบบการดื่มแบบใหม่ หรือบรรยากาศของร้านเป็นการสร้างบรรยากาศบาร์โรงแรม ทั้งหมดนี้เป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ไม่เฉพาะคนมุสลิม แต่รวมถึงวัยรุ่นทุกศาสนาในสามจังหวัดชายแดนใต้..."
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ล่วงเลยมานานกว่า 2 ทศวรรษ โดยยังไม่มีคำตอบของหนทางแห่งความสันติสุข แต่ทว่าระหว่างของการแสวงหาสันติสุขนั้น ยังมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตที่เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่ได้รับฟังเรื่องราว ความขัดแย้ง รับรู้ความรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาเหล่านั้นยังคงสร้างพื้นที่ใหม่สำหรับการแสวงหาคำตอบเพื่อพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองที่มียังมีมนต์ขลังของความเป็นเมืองน่าอยู่ สถานที่ที่ถูกเรียกว่า “สภากาแฟ”
21 เหตุการณ์ความไม่สงบสู่การเติบโตของคนหนึ่งคน
ในยุคที่คนรุ่นใหม่เยาวชนในพื้นที่ยังเป็นเด็กเล็กในช่วงแรกเริ่มของสถานการณ์ความไม่สงบปี 2547 หากจะนับตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาสเป็นเด็กคนหนึ่ง ในวันนี้ก็มีอายุครบ21ปีบริบูรณ์แล้ว คนรุ่นใหม่เหล่านี้อาจไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ จนเมื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆจึงรู้และเข้าใจมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ระหว่างทางเดินของการศึกษาเรียนรู้คนรุ่นใหม่เหล่านี้อาจมีสับสนและได้รับข้อมูลที่แตกต่างและหลากหลายต่อสถานการณ์ แต่เมื่อคนรุ่นใหม่เหล่านี้เรียนจบไม่ว่าจะระดับไหนก็ตาม ชีวิตของการเสาะแสวงหางานใกล้บ้านเช่นเดียวกับคนในภาคอีสาน เหนือ ใต้ จึงเริ่มต้นขึ้น ในงานวิจัยเราแสงหาคำตอบและความหมายการรับรู้ความเข้าใจของพื้นที่บ้านเกิดของพวกเขา และได้พบและพูดคุยกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จบปริญญาตรีที่หลากหลายมากมายทั้ง 3 จังหวัดที่ต่างก็กลับมาอยู่ในพื้นที่ของตนเอง มีทั้งที่จบปริญญาโท ปริญญาตรี อาชีวศึกษา มีทั้งที่เป็นทายาทเจ้าของธุรกิจจนถึงสามัญชนคนธรรมดาลูกหลานชาวสวนรับจ้าง แต่สิ่งที่ทีมวิจัยค้นพบและน่าสนใจคือพื้นที่แห่งหนึ่งที่กลายเป็นศูนย์รวมของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ทั้งเจ้าของพื้นที่ พนักงานและผู้ใช้บริการที่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ สถานที่ที่ชื่อว่า “สภากาแฟ”
จากสภากาแฟชาวบ้านสู่สภากาแฟพรีเมียม
บรรยากาศที่ร้าน สภากาแฟพรีเมียม ไม่เพียงแต่จะเป็นร้านกาแฟเท่านั้น หากแต่ยังมีบรรยากาศของแกลเลอรี่ร่วมด้วย คุณโอ เจ้าของร้านสภากาแฟพรีเมี่ยม เล่าที่มาที่ไปของการทำร้านสภากาแฟแห่งนี้ว่า นอกจากส่วนตัวที่ชอบดื่มกาแฟแล้ว อยากให้คนพื้นที่ได้ดื่มกาแฟดีๆในราคาที่จับต้องได้ ที่สำคัญคือต้องการสร้างธุรกิจที่มีคุณภาพและสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ ซึ่งจะทำให้คนภายนอกมองพื้นที่เปลี่ยนไป
“เราคือคนปัตตานี เราอยากให้ปัตตานีดูเศรษฐกิจดี ดูคึกคัก ดูไม่ล้าหลัง เพราะภาพของ 3 จังหวัดในสายตาคนส่วนใหญ่มักจะมองว่าไม่มีการพัฒนา หรือไม่เจริญ แต่เมื่อมีร้านแบบนี้ทำให้คนจะคิดว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนภาพหรือสื่อที่ออกไป”
เจ้าของร้านยังได้ขยายความด้วยว่า คำว่า “เศรษฐกิจที่ดี” ไม่ได้หมายถึงเพียงรายได้ แต่รวมถึงโอกาสที่ “คนรุ่นใหม่”สามารถเริ่มต้นธุรกิจและเติบโตได้รวมถึงมีอาชีพ
ที่น่าสนใจคือนอกจากจะเป็นร้านกาแฟแล้ว สภากาแฟพรีเมียมยังมี แกลเลอรี่ภาพต่างๆที่สื่อถึงอัตลักษณ์วัฒนธรรมในพื้นที่ เจ้าของร้านบอกว่า
“ผมพยายามสร้างเรื่องเล่าเรื่องใหม่ ๆ ของปัตตานีให้กับคนข้างนอกได้รับรู้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตนถึงทำแกลอรี่ เพราะมีคำพูดที่ว่า “ที่ไหนมีแกลลอรี่ ที่นั่นบ่งบอกถึงความเจริญทางวัฒนธรรมในทางด้านสติปัญญา”
เป็นคำพูดที่สะท้อนให้เห็นถึงนัยยะและความเข้าใจในการสื่อสารบริบทในพื้นที่ของตนเองเพื่อให้คนในยังคงหวงแหนและภาคภูมิใจในอัตลักษณ์วัฒนธรรมของตนเองและให้คนนอกได้เรียนรู้และเห็นภาพความสวยงามของ “เมืองน่าอยู่”แห่งนี้

ระหว่างพูดคุยทีมวิจัยได้สังเกตุว่ามีผู้คนหมุนเวียนเข้าออกอยู่ตลอดเวลาและแน่นอน ไม่ใช่เพียงคนมุสลิมเท่านั้นแต่ยังมีคนพุทธเข้ามาภายในร้าน ต่างช่วงอายุกัน ที่น่าสนใจคือ มีกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาในร้านกาแฟกันจำนวนมากมานั่งพูดคุยกันตลอดเวลา สะท้อนให้เห็นว่า ร้านกาแฟในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ไม่แตกต่างจากในเมืองใหญ่ๆเช่นเดียวกันและกลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
คนรุ่นเก่าเกิดและเติบโตในยุคสมัยของ“สภากาแฟ”ที่มีภาพความทรงจำก็คือพื้นที่ “ถกเถียงทางการเมือง” มีโต๊ะกลม กาน้ำชาตั้งอยู่ข้างๆ แก้วกาแฟที่มีนมข้นหวานกองอยู่ที่ก้นแก้ว ที่ชงกาแฟที่เป็นถุงผ้า ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ชายแดนใต้ที่เกิดและเติบโตไม่ทันได้นั่งสภากาแฟของคนรุ่นเก่า แต่ทว่าภาพร้านกาแฟของคนรุ่นใหม่ก็มีเจตนารมย์ที่ไม่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า เป็นความตั้งใจของคนในพื้นที่ที่ต้องการไม่ให้เป็นเพียงร้านขายกาแฟจึงตั้งชื่อที่มีคำว่า “สภากาแฟ”
สภากาแฟที่ไม่แบ่งแยกต้นแบบการอยู่ร่วม
นาตาชา(นามสมมติ)หนึ่งในเยาวชนหญิงมุสลิมในชุดแต่งกายของร้านสภากาแฟพรีเมียมพร้อมผ้าคลุมผม(ฮิญาบ) ที่ทีมวิจัยขอสัมภาษณ์ ทำงานอยู่ที่ร้านสภากาแฟพรีเมี่ยมมาตั้งแต่เปิดร้านได้ไม่นาน เราสังเกตุเห็นรอยยิ้มและความสดใส นาตาชาเล่าว่า นอกจากแกลลอรี่แล้ว สำหรับเครื่องดื่มที่นี่ไม่ใช่ขายแค่กาแฟ แต่ยังมี “ม็อคเทล” ที่คล้ายๆค็อกเทลแต่ไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแนวคิดของเจ้าของร้านที่บอกเราตั้งแต่เข้ามาทำงานเพราะต้องการให้คนในพื้นที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมการดื่มในรูปแบบใหม่ๆที่เคยเห็นโดยเฉพาะคนมุสลิมที่ไม่สามารถดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ด้วย
“คนที่มาร้านคาเฟ่ไม่ใช่แค่มานั่งดื่มกาแฟ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรมระหว่างที่ดื่มกาแฟ อย่างเช่นร้านคาเฟ่ที่พวกเธอทำงาน เป็นร้านที่เจ้าของร้านบอกว่าไม่ได้ขายกาแฟ แต่ขายประสบการณ์ใหม่ของการดื่มกาแฟในรูปแบบของ “ม็อกเทล” ที่ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แบบ “ค็อกเทล” และมีฮาลาล เพื่อให้คนมุสลิมได้เปิดประสบการณ์รูปแบบการดื่มแบบใหม่ หรือบรรยากาศของร้านเป็นการสร้างบรรยากาศบาร์โรงแรม ทั้งหมดนี้เป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ไม่เฉพาะคนมุสลิม แต่รวมถึงวัยรุ่นทุกศาสนาในสามจังหวัดชายแดนใต้”

ความน่าสนใจของร้านสภากาแฟพรีเมียมถูกออกแบบไว้อย่างน่าสนใจไม่เฉพาะเพียงชื่อร้านเท่านั้นแต่ยังลงรายละเอียดเพื่อการเรียนรู้แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ตั้งแต่เครื่องดื่ม ไปจนถึงแกลลอรี่ไปจนถึงพนักงานที่รับเข้ามาทำงานที่มีทั้งคนพุทธและมุสลิม
นาตาชา เล่าว่า ไม่เฉพาะแต่ลูกค้าที่เป็นทั้งคนพุทธและคนมุสลิม มาเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ที่ร้านคาเฟ่แห่งนี้ แต่พนักงานร้านที่มีมากกว่า 20 คนมีทั้งคนพุทธ คนมุสลิมได้มาแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรมกัน อยู่กันแบบครอบครัวเดียวกัน
“การที่คนมุสลิมจะไปดื่มกาแฟของร้านที่มีเจ้าของที่เป็นคนพุทธก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาเพราะเรื่องนี้อยู่ที “บุคคล” บางคนที่เคร่งก็จะเคร่งไปเลย”
นราธิวาสร้านกาแฟที่แตกต่างอย่างเข้าใจ
การเปิดร้านกาแฟคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่การทำความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ต่างหากที่น่าสนใจ ทีมวิจัยพบกับร้านกาแฟของคนรุ่นใหม่ร้านหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ร้าน “kawagu”(ร้านเพื่อนฉัน) ที่เจ้าของร้านมีการศึกษาบริบทของพื้นที่ในมิติต่างๆที่แตกต่างจาก สภากาแฟพรีเมียม
เจ้าของร้านเล่าให้ทีมวิจัยฟังว่า พื้นที่นราธิวาสเป็นจังหวัดที่คนมุสลิมสูงที่สุดในบรรดาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแม้ว่าจะเป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สวยงามทั้งทะเลและภูเขา แต่นักท่องเที่ยวยังคงมาท่องเที่ยวน้อยหากเทียบกับอีกสองจังหวัดคือยะลา และปัตตานี รวมถึงองค์ประกอบของความเป็นเมืองที่มีห้างสรรพสินค้าหรือโมเดิร์นเทรด ความเข้าใจในพื้นที่จึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการเปิดร้านกาแฟสำหรับที่นราธิวาส
“นราธิวาสเป็นคนมุสลิมถึง 99% ส่วนใหญ่คนในจังหวัดนราธิวาสมักจะเดินทางไปปัตตานี ยะลา เพราะมีห้าง หากจะทำให้บรรยากาศนราธิวาสคึกคักก็ต้องมีธุรกิจเข้ามา นราธิวาสหากทำร้านให้ดูหรูเกินไป คนจะไม่กล้าเข้า เหมือนร้านของผมเขาใส่ผ้าถุงมา เขาก็สามารถเข้าได้ เพราะมันกันเอง เข้าถึงง่าย”

กลุ่มเป้าหมายของร้านอาจจะดูต่างจากสภากาแฟพรีเมียม แต่ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือการเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและอื่นๆ ทีมวิจัยสังเกตการเข้ามาของของลูกค้าในร้านกาแฟพบว่า มีทั้งคนพุทธและมุสลิม มีคนหลากหลายช่วงอายุทั้งวัยทำงานและคนรุ่นใหม่จำนวนมากจนแน่นร้าน บรรยากาศที่เป็นกันเองแบบง่ายๆเสียงพูดคุยกันระหว่างโต๊ะอาจดังข้ามถึงกัน แต่ทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านต่างมีรอยยิ้มเสียงหัวเราะ ทักทายเจ้าของร้านแบบเป็นกันเอง เจ้าของร้านบอกว่า การที่เจ้าของร้านเป็นมุสลิมไม่ส่งผลต่อการเข้ามาใช้บริการ
“ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวมุสลิม 80% และพุทธ 20% เนื่องจากบริเวณนี้มีคนมุสลิมอาศัยอยู่เยอะ ถึงอย่างนั้นการที่เจ้าของเป็นพุทธหรือมุสลิมก็ไม่ส่งผลต่อการเข้าใช้บริการ เพราะลักษณะนิสัยการบริโภคก็ไม่แตกต่างกัน คนที่นี่ของกินกาแฟชาเป็นวัฒนธรรมอยู่แล้ว คนรุ่นใหม่ก็เช่นกัน”
เมืองน่าอยู่ในสายตาคนรุ่นใหม่
คำถามที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ เหตุผลของการกลับมาอยู่ในพื้นที่แทนที่จะไปทำงานต่างพื้นที่สำหรับคนรุ่นใหม่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วอาจไม่แตกต่างจากคนรุ่นใหม่ในพื้นที่อื่นๆ คือ ความต้องการกลับมาอยู่กับครอบครัว และความคุ้นชินกับพื้นที่ แต่ที่แตกต่างอาจเป็นเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบที่แม้จะคลี่คลายไปบ้างแล้วแต่ยังคงอยู่
ทีมวิจัยถามคำถามนี้กับนาตาชาและเพื่อนพนักงานอีก 3คนในร้านสภากาแฟพรีเมียมทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เมืองปัตตานีเป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าท่องเที่ยว มีอาหารที่อร่อย วันนี้ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ผ่านมา อีกทั้งคนในพื้นที่ก็อยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัว สิ่งนี้คือสิ่งทำให้คิดว่าปัตตานีน่าอยู่ คือความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีวัฒนธรรมที่มีการแลกเปลี่ยนกัน ที่สำคัญคือคนในพื้นที่ไม่ถือตัวเพราะส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันแบบครอบครัว ไม่แบ่งแยก ตัวอย่างเช่นร้านกาแฟ
“ก่อนหน้านี้ตนเคยไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียได้รับเงินเดือนประมาณเดือนละ 9,000 ตกวันละ 300 บาท แต่ก็เลือกที่จะกลับมาเพราะอยากกลับมาอยู่บ้าน เพราะเบื่อโลกที่ต้องทำงานแล้วกลับมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ใช้ชีวิต …แม้ว่าช่วงที่พวกตนเติบโตมาจะมีสถานการณ์ความรุนแรงโดยเฉพาะปี 2547 แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกับการเติบโตขึ้นมาในวันนี้ หากจะพูดถึงเหตุการณ์ความไม่สงบตอนนี้ก็ยังคงมีอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่โฟกัสไปที่จุดนั้นแล้ว บางคนเมื่อได้เข้ามาในพื้นที่จริง ๆ ก็ไม่สนใจเรื่องนั้นไปเลย”
บทส่งท้าย:สภากาแฟ จุดเริ่มต้นพื้นที่สันติสุข
สภากาแฟที่คนรุ่นใหม่สร้างขึ้นคงไม่ใช่เครื่องมือหลักที่ทำให้เกิดสันติสุขในพื้นที่ได้ หากแต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากการกระทำของคนรุ่นใหม่ที่ชัดเจนคือ คนรุ่นใหม่ของพื้นที่ชายแดนใต้มองไปไกลมากกว่า เป้าหมายของการเกิดสันติสุขเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขากำลังมองไปที่การสร้างพื้นที่หรือบ้านของพวกเขาให้มี “ความสุข” คือมีพื้นที่ในการพื้นที่พูดคุย มี “ความหมาย”คือการแสดงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของพื้นที่ มี “ความทันสมัย” คือมีร้านกาแฟที่ไม่แตกต่างจากเมืองใหญ่ และที่สำคัญคือ มีความยั่งยืนและสวยงาม นั่นคือจุดเริ่มต้นพื้นที่สันติสุขที่ยั่งยืน
บทความโดย :
ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป(นิพนธ์)
อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยแวรุงมลายูกับเรื่องเล่าใหม่: น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ได้รับทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยทีมวิจัยประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์ ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิพล เอื้อจรัสพันธุ์ โดยใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์เชิงลึก (indepth interview)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา