
"...แม้ความมั่นคงยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ทุนเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่ทำให้สามจังหวัดชายแดนใต้แตกต่างและมี “ข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์” พื้นที่นี้เป็น “ประตูการค้าเชื่อมมาเลเซีย” และต่อยอดสู่ตลาดมุสลิมกว่า 1,600 ล้านคนทั่วโลก ความโดดเด่นด้านอาหารและผลิตภัณฑ์ ฮาลาล จึงไม่ใช่เพียงเรื่องวัฒนธรรมทางศาสนา แต่เป็น “ตลาด” ที่มีศักยภาพมหาศาล..."
จากภาพข่าวความไม่สงบ สู่คำถามเรื่อง “เมืองน่าลงทุน”
ทุกครั้งที่ชื่อของ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ปรากฏบนหน้าสื่อกระแสหลัก ภาพที่ผู้คนคุ้นตาคือความรุนแรง ความสูญเสีย และการพูดถึง “พื้นที่สีแดง” ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ความไม่สงบ การปะทะ และความสูญเสีย ทว่าลึกลงไปภายใต้ภาพจำนี้ ชุมชนจำนวนมากกำลังดิ้นรนสร้างเศรษฐกิจของตนเองด้วยภูมิปัญญา วัฒนธรรม และทรัพยากรที่มีอยู่
แต่หากเราถอยออกจากเลนส์ของสื่อ และมองเข้าไปในชีวิตจริงของผู้คน จะพบภาพที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในทุกเช้า ชาวบ้านยังคงออกไปกรีดยาง เก็บเกี่ยวผลไม้ ลงเรือหาปลา หรือเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ตามถนนสายหลัก เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ในสนามฟุตบอลกลางชุมชนยังดังเคียงข้างเสียงอาซานจากมัสยิด เรื่องเล่าเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่ค่อยถูกหยิบขึ้นมาเล่า แต่สะท้อนว่า ชีวิตในพื้นที่มิได้หยุดนิ่งตามภาพข่าวความรุนแรง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ เศรษฐกิจชุมชนที่ยังเติบโตอย่างเงียบงาม ผู้คนใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและทุนทางวัฒนธรรมสร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเลี้ยงครอบครัว ผลผลิตการเกษตรยังส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และความพยายามพัฒนาสินค้าท้องถิ่นยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาพเหล่านี้แทบไม่เคยถูกเล่าในวงกว้าง แต่กลับเป็นรากฐานที่สำคัญของ “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ”
ความย้อนแย้งนี้เองที่นำมาสู่คำถามสำคัญว่า — ทำไมพื้นที่ที่ถูกตีตราว่าเปราะบางมาตลอด จึงเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นในฐานะ “เมืองน่าลงทุน”? เพื่อหาคำตอบ บทความนี้หยิบยกข้อมูลและข้อค้นพบจากงานวิจัย เรื่อง “แวรุงมลายูกับเรื่องเล่าใหม่: น่าลงทุนในสามจังหวัดชายแดนใต้” มาวิเคราะห์ต่อ งานชิ้นนี้ชี้ว่า แม้ปัจจัยความมั่นคงยังเป็นโจทย์ใหญ่ แต่สามจังหวัดกลับมีทุนทางเศรษฐกิจและสังคม-วัฒนธรรมมหาศาล ที่สามารถพลิกภาพลักษณ์ของพื้นที่จาก “สมรภูมิ” ให้กลายเป็น “เศรษฐกิจแห่งโอกาส” ได้ หากรู้จักออกแบบและสื่อสาร “เรื่องเล่าใหม่” อย่างทรงพลัง
ฉากหลัง: ความท้าทายของภาพจำและความมั่นคง
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา การลงทุนในสามจังหวัดชายแดนใต้ถูกบั่นทอนด้วยปัจจัยด้านความมั่นคงอย่างชัดเจน จากผลการวิจัยยืนยันว่า “ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน” เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อการตัดสินใจลงทุนของนักธุรกิจและประชาชน ความไม่สงบที่ยืดเยื้อมานาน ได้สร้าง “ช่องว่างการรับรู้” (perception gap) ระหว่างศักยภาพทางเศรษฐกิจจริงกับภาพลบที่ยังฝังแน่นในใจคนนอกพื้นที่
นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมองว่าสามจังหวัดเป็น “พื้นที่เสี่ยง” ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง และเต็มไปด้วยอุปสรรคเชิงระบบ เช่น นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น หรือปัญหาคุณภาพแรงงานที่ยังไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมใหม่ ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเล่าที่เผยแพร่ผ่านสื่อมักเน้น “ความขัดแย้ง” มากกว่าความสำเร็จ ทำให้แม้จะมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น ระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล (Halal Economic Corridor) หรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนใต้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะเปลี่ยนภาพจำในสายตาผู้ลงทุนต่างถิ่นได้ทันที
กระนั้น ความท้าทายก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมองข้ามโอกาส คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะวัยทำงานช่วงอายุ 26–40 ปีที่มีการศึกษาสูง กลับมีเจตนารมณ์ในการลงทุนมากกว่ากลุ่มอื่น และพวกเขาเลือกเปิดรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อดิจิทัล เช่น Facebook และ TikTok มากกว่าสื่อดั้งเดิม
สิ่งนี้สะท้อนว่าภาพลักษณ์และ “เรื่องเล่า” ที่ถูกส่งผ่านสื่อออนไลน์อาจเป็นกุญแจสำคัญในการปรับการรับรู้ของสังคมภายนอก
ศักยภาพที่ซ่อนอยู่: เมื่อวัฒนธรรมกลายเป็นทุนเศรษฐกิจ
แม้ความมั่นคงยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ทุนเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่ทำให้สามจังหวัดชายแดนใต้แตกต่างและมี “ข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์” พื้นที่นี้เป็น “ประตูการค้าเชื่อมมาเลเซีย” และต่อยอดสู่ตลาดมุสลิมกว่า 1,600 ล้านคนทั่วโลก ความโดดเด่นด้านอาหารและผลิตภัณฑ์ ฮาลาล จึงไม่ใช่เพียงเรื่องวัฒนธรรมทางศาสนา แต่เป็น “ตลาด” ที่มีศักยภาพมหาศาล
จังหวัดปัตตานีมีศักยภาพในการพัฒนาสู่การเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาล ส่วนยะลามีศักยภาพด้านโลจิสติกส์ ขณะที่นราธิวาสเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและการประมงที่ยังสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปได้อีกมาก แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ทุนวัฒนธรรมมลายู ที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นภาษามลายู อาหารการกิน สถาปัตยกรรม หรือดนตรี ศิลปะการแสดง สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงบ่งบอกอัตลักษณ์ แต่ยังกลายเป็น “เรื่องเล่า” ที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ กรณีของ บาราโหมบาซาร์ คือบทพิสูจน์ วัฒนธรรมที่ถูกสานต่อด้วยความคิดสร้างสรรค์สามารถกลายเป็นกิจการที่สร้างงานและรายได้ หากมองในมิติการลงทุน สิ่งเหล่านี้คือ “เศรษฐกิจเชิงอัตลักษณ์” ที่ทำให้พื้นที่สามจังหวัดแตกต่างจากเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น ๆ ในประเทศไทย
เสียงจากผู้คน: เมื่อความหวังยังมีแม้ท่ามกลางความเสี่ยง
นักลงทุนจากภายนอกจำนวนมากยังคงเห็นภาพพื้นที่ในมิติความเสี่ยงและความไม่สงบ ขณะที่คนในพื้นที่กลับมองเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เสียงจากนักธุรกิจท้องถิ่นรายหนึ่งเล่าว่า “ถ้าเราเอาแต่เล่าความไม่สงบ นักลงทุนก็ไม่กล้ามา แต่ถ้าเล่าเรื่องคนรุ่นใหม่ที่กลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น หรือเรื่องเกษตรแปรรูปที่ส่งออกไปมาเลเซีย มันจะเปลี่ยนความรู้สึกของคนภายนอกได้” คำพูดนี้สะท้อนแนวคิดที่เรียกว่า “Proof-First Communication” หรือการเล่าเรื่องผ่านหลักฐานจริงและความสำเร็จที่พิสูจน์ได้
อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการในพื้นที่จำนวนไม่น้อยสะท้อนความรู้สึกที่คล้ายกันว่า “สิ่งที่เราทำอยู่มันดี แต่ไม่มีใครรู้” คำพูดสั้น ๆ นี้สะท้อนโจทย์ใหญ่ของการสื่อสาร — แม้จะมีธุรกิจที่ยืนได้ด้วยตนเอง แต่หากไม่ถูกเล่าออกไปสู่โลกภายนอก โอกาสการลงทุนก็แทบไม่เกิดขึ้น
ในขณะเดียวกัน ผลสำรวจยังเผยให้เห็นพลวัตใหม่ที่น่าสนใจของคนวัย 26–40 ปีซึ่งมีการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไป ไม่ได้ใช้สื่อเพียงเพื่อรับข้อมูลการลงทุน แต่ใช้มันเป็นพื้นที่ต่อรองและสร้างความมั่นใจทางอารมณ์ การที่ Facebook และ TikTok ถูกเลือกมากกว่าสื่อดั้งเดิม จึงสะท้อนว่าช่องทางดิจิทัลไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสื่อสาร แต่คือเวทีที่เปลี่ยน “เรื่องเล่าแห่งความเสี่ยง” ให้กลายเป็น “เรื่องเล่าแห่งโอกาส”
สิ่งนี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ไม่ได้มองบ้านเกิดเป็น “ดินแดนที่น่าหวาดกลัว” แต่เป็น “ดินแดนที่น่าลงทุน” หากสามารถเล่าเรื่องได้อย่างถูกวิธี
การออกแบบ “เรื่องเล่าใหม่”: จากตลาดชุมชนสู่ความมั่นใจนักลงทุน
ที่ตลาดชุมชนเล็ก ๆ ในอำเภอยะลา กลุ่มแม่ค้ากำลังขายอาหารพื้นบ้าน เช่น นาซิกาบูลี และ โรตีกรอบ ขณะที่อีกมุมหนึ่งนักวิชาการกำลังพูดถึง “ยุทธศาสตร์การสื่อสาร” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ความแตกต่างนี้อาจดูห่างไกล แต่แท้จริงแล้วเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น โดยงานวิจัยเสนอว่า หากต้องการเปลี่ยนการรับรู้ (perception) ของนักลงทุนจาก “ลังเล” ไปสู่ “พร้อมลงทุน” สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐานหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่คือ “เรื่องเล่าใหม่” ที่ทำให้ภาพของพื้นที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ
Proof-First Communication: หลักฐานมาก่อน
แทนที่จะพูดเพียงว่า “พื้นที่ปลอดภัยขึ้นแล้ว” การใช้ ข้อมูลเชิงประจักษ์ มาพร้อมกับเรื่องจริง เช่น สถิติความรุนแรงที่ลดลง ความคืบหน้าโครงการถนน-ท่าเรือ หรือเรื่องราวของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ
การเล่าเรื่องแบบนี้ช่วยลดสิ่งที่เรียกว่า Perceived Risk — ความเสี่ยงที่นักลงทุน “รู้สึก” ว่ามี แม้ความจริงอาจไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด ตัวอย่างเช่น หากบอกเล่าเรื่องโรงงานแปรรูปผลไม้ฮาลาลที่ปัตตานีสามารถส่งออกไปมาเลเซียได้สำเร็จ เรื่องเล่านี้ย่อมมีพลังมากกว่าการอ้างเชิงนโยบายลอย ๆ
4Ps Partnership: สร้างกลไกความร่วมมือ
อีกข้อเสนอสำคัญคือการสร้างกลไก Public–Private–People–Partnership (4Ps) เพื่อให้ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และชุมชนในพื้นที่ มีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน การตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการลงทุน และการแต่งตั้ง “ทูตการลงทุน” จากคนในท้องถิ่น เป็นวิธีที่จะทำให้เสียงจากพื้นที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ลองจินตนาการว่า หากนักลงทุนจากกรุงเทพฯ ได้ยินเรื่องราวจากชาวบ้านที่ทำธุรกิจสำเร็จในนราธิวาส ผ่านคลิปสั้นบน TikTok หรือได้พบ “ทูตการลงทุน” ที่เล่าประสบการณ์ตรง ความไว้วางใจจะเกิดขึ้นมากกว่าการฟังคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่รัฐเพียงฝ่ายเดียว
Place-Based Policy: นโยบายที่ตอบโจทย์พื้นที่
สามจังหวัดไม่ได้เหมือนกันทุกมิติ นโยบายเฉพาะพื้นที่ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น
- ยะลา → ศูนย์กลางโลจิสติกส์
- ปัตตานี → อุตสาหกรรมฮาลาล
- นราธิวาส → เกษตรแปรรูปและประมง
การกำหนด “จุดขายเฉพาะจังหวัด” แบบนี้ ทำให้การลงทุนมีภาพที่จับต้องได้ และลดการซ้ำซ้อนกับโครงการพัฒนาที่ล้มเหลวในอดีต
วัฒนธรรมกับเศรษฐกิจ: เมื่อ “เรื่องเล่า” คือทุน
น่าสังเกตว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายยข้างต้นทั้งหมด ไม่ได้พูดถึงเพียง “เศรษฐกิจเชิงตัวเลข” แต่ยังให้ความสำคัญกับ ทุนทางวัฒนธรรม ด้วย วัฒนธรรมมลายูไม่เพียงเป็นรากฐานของชุมชน แต่ยังเป็น “สินทรัพย์” ที่สร้างความแตกต่างทางตลาด การผสมผสานนโยบายเศรษฐกิจเข้ากับเรื่องเล่าทางวัฒนธรรม คือการยืนยันว่า สามจังหวัดชายแดนใต้ไม่ควรถูกมองแค่ในฐานะ “พื้นที่ความมั่นคง” แต่ควรถูกเล่าใหม่ว่าเป็น “พื้นที่เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
ผลกระทบต่ออนาคต: เมื่อการรับรู้ (perception) อาจเปลี่ยนเส้นทางการลงทุน
หากข้อเสนอเชิงนโยบายและการสื่อสารที่เสนอถูกนำไปใช้จริง สามจังหวัดชายแดนใต้จะไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงพื้นที่ชายขอบของประเทศ แต่จะกลายเป็น “เขตเศรษฐกิจแห่งอนาคต” ที่เชื่อมโยงทั้งไทยและภูมิภาคมุสลิม
การเปลี่ยนการรับรู้ (perception) = การเปิดประตูสู่ทุนใหม่
ปัจจุบันนักลงทุนจำนวนไม่น้อยอยู่ในสภาวะ “สนใจสูง แต่ลังเล” (high interest but hesitant)
หากสามารถเปลี่ยนการรับรู้ (perception) นี้ด้วยการเล่าเรื่องใหม่แบบ proof-first และการสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัลที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ความลังเลอาจถูกแทนที่ด้วยการตัดสินใจที่เป็นรูปธรรม ผลกระทบเชิงตรงคือ การลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมฮาลาล โลจิสติกส์ และเกษตรแปรรูป ขณะที่ผลกระทบเชิงอ้อมคือการ สร้างงานและกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในพื้นที่มานาน
Soft Power เชิงวัฒนธรรม
อีกมิติที่สำคัญคือการสร้าง “soft power” ผ่านทุนวัฒนธรรมมลายู หากการสื่อสารสามารถเชื่อมโยงเอกลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับการลงทุน เช่น การทำตลาดอาหารฮาลาลหรือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้จะไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการทูตวัฒนธรรมที่ทรงพลัง ลองนึกภาพปัตตานีที่ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวความไม่สงบ” แต่เป็น “เมืองแห่งอาหารฮาลาลและตลาดสร้างสรรค์” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมุสลิมและนักลงทุนรุ่นใหม่จากมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไปจนถึงตะวันออกกลาง นี่คือผลกระทบที่จะเปลี่ยนการรับรู้ (perception) ของทั้งประเทศและภูมิภาค
ความท้าทายที่ยังต้องเผชิญ
แน่นอนว่าการเปลี่ยนการรับรู้ (perception) ไม่ใช่เรื่องง่าย ภาพลบที่ฝังลึกมานานต้องการเวลาและหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างต่อเนื่องเพื่อทลายกำแพงความไม่ไว้วางใจ อีกทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น คุณภาพแรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน ยังต้องได้รับการแก้ไขจริง มิฉะนั้นเรื่องเล่าใหม่ก็อาจถูกมองเป็นเพียง “ภาพฝันบนกระดาษ”
บทสรุป: เรื่องเล่าใหม่ในเส้นทางเศรษฐกิจ
ยามเย็นในตลาดชุมชนปัตตานี แสงแดดสุดท้ายของวันสะท้อนบนหม้อแกงที่วางเรียงราย เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ปะปนกับเสียงอาซานที่ก้องอยู่ไกล ๆ ภาพเหล่านี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพข่าวความไม่สงบที่มักปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์
แต่นักลงทุนที่กำลังตัดสินใจจะเข้ามาในพื้นที่ ไม่อาจฟังเพียงเสียงหัวเราะเหล่านี้ หากต้องการหลักฐานที่ชัดเจน — ว่าเศรษฐกิจชายแดนใต้สามารถเติบโตได้จริง มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม และมีแรงงานที่มีศักยภาพ งานวิจัยชี้ว่า Proof-First Communication, 4Ps Partnership และ Place-Based Policy คือกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นใจ หากนโยบายเหล่านี้ถูกผลักดันอย่างต่อเนื่อง เรื่องเล่าของสามจังหวัดจะไม่ใช่เพียง “พื้นที่เสี่ยง” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น เขตเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม ที่ไม่เหมือนที่ใดในประเทศไทย — ประตูการค้าสู่โลกมุสลิม และพื้นที่ที่เศรษฐกิจเดินเคียงคู่กับอัตลักษณ์
คำถามคือ — เราจะยังเลือกเล่าชายแดนใต้ในฐานะ “สมรภูมิ” ต่อไปอีกนานแค่ไหน หรือจะเริ่มเล่าใหม่ว่า ที่นี่คือ “บ้านของโอกาส” และ “อนาคตเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม” ของไทย? บางที คำตอบไม่ได้อยู่ที่งานวิจัยหรือภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่า เราทุกคนพร้อมหรือยัง ที่จะมอง “แวรุงมลายู” ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
บทความโดย :
ผศ.ดร.อดิพล เอื้อจรัสพันธุ์
อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการมรดกวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วิทยาลัยนวัตกรรม
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของของวิจัยเรื่องแวรุงมลายูกับเรื่องเล่าใหม่: น่าลงทุนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่ได้รับทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิพล เอื้อจรัสพันธุ์ ระยะเวลาเก็บข้อมูล: ปี 2567

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา