
"...ดังนั้น การมอบรางวัลให้นาง มาเรียฯ เท่ากับการแสดงการไม่ยอมรับนาย มาดูโร่ฯ โดยประชาคมโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ ดังนั้น ด้วยการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนของนาง มาเรียฯ และสถานะการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในลาตินอเมริกาในปัจจุบัน จึงส่งผลให้สหรัฐฯไม่มีท่าทีคัดค้านรุนแรงอะไรอย่างที่เกรงกลัวกัน..."
การประกาศรางวัลโนเบลด้านสันติภาพปีนี้ดูจะมีความคึกคักและได้รับความสนใจจากเวทีระหว่างประเทศมากเป็นพิเศษ
สาเหตุสำคัญมาจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงตนว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมกับรางวัลดังกล่าว โดยกล่าวอ้างว่าตนเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวให้ประเทศที่มีปัญหาระหว่างกันยุติความรุนแรงและหันมาเจรจาตกลงสันติภาพกันได้ 7 แห่งรวมถึงการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทย-เขมรด้วย
และล่าสุดความสำเร็จของการเจรจาแผนสันติภาพที่ฉนวนกาซ่าระหว่างอิสราเอล -กลุ่มฮามาส ก็ถือเป็นความสำเร็จลำดับที่ 8 ในการนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกับประกาศว่าถ้าเขาไม่ได้รับรางวัลครั้งนี้ก็จะถือเป็นการดูหมิ่น (insult) ประเทศสหรัฐฯกันเลยทีเดียว
ดังนั้น เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2568 คณะกรรมการรางวัลโนเบลได้ประกาศผลการพิจารณามอบรางวัลสาขาสันติภาพปีนี้ให้แก่นาง มาเรีย คอริน่า มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลาที่ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องและปัจจุบันยังต้องหลบซ่อนตัวอยู่ ทำให้มีการคาดการณ์กันต่างๆนาๆว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะมีมาตรการตอบโต้เพื่อแสดงความไม่พอใจในรูปแบบใด/หรือไม่
ภายหลังการประกาศชื่อผู้รับรางวัลอย่างเป็นทางการนางมาเรียฯ ได้แสดงความขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ที่ให้การช่วยเหลือในการต่อสู้เพื่อประชาธิบไตยและได้มีการโทรศัพท์ถึงประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อขอบคุณโดยตรง
นอกจากนี้ ตามข้อเท็จจริงที่นายมาดูโร่ฯ ผู้ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเวเนซูเอลา แม้จะแพ้การเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว เป็นผู้ที่มีนโยบายต่อต้านสหรัฐฯ อย่างรุนแรงและเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ในลาตินอเมริกา
ดังนั้น การมอบรางวัลให้นาง มาเรียฯ เท่ากับการแสดงการไม่ยอมรับนาย มาดูโร่ฯ โดยประชาคมโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ ดังนั้น ด้วยการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนของนาง มาเรียฯ และสถานะการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในลาตินอเมริกาในปัจจุบัน จึงส่งผลให้สหรัฐฯไม่มีท่าทีคัดค้านรุนแรงอะไรอย่างที่เกรงกลัวกัน
อนึ่ง มีเกร็ดข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจคือ คณะกรรมการรางวัลโนเบลได้กำหนดเส้นตายการเสนอชื่อผู้สมควรรับรางวัล ในวันที่ 31 ม.ค. 2568
ดังนั้น การที่รัฐบาลอิสราเอล ปากีสถาน และเขมรมีหนังสือเสนอชื่อประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับการพิจารณาเพื่อรับรางวัลสันติภาพหลังวันดังกล่าวจึงล้วนแต่เป็นการแสดงออกเพื่อเอาใจสหรัฐฯและเพื่อให้เป็นข่าวเท่านั้น ไม่มีผลต่อการพิจารณาแต่อย่างไร
ผลกระทบที่ใกล้ตัวเราจากเรื่องนี้ คือ ตามที่มีข่าวจาก POLITICO ซึ่งเป็นสำนักข่าวการเมืองที่มีอิทธิพลสูงในสหรัฐฯ แจ้งว่า เพื่อส่งเสริมบทบาทการเป็นผู้สร้างสันติภาพของประธานาธิบดีทรัมป์ทำเนียบขาวจึงแสดงความประสงค์ให้มาเลเซียจัดให้มีการลงนามความตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา โดยให้ประธานาธิบดีทรัมป์ฯ เป็นประธาน ในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียน (วันที่ 26 - 28 ต.ค. 2568) เป็นข้อต่อรองกับการที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ จะไปร่วมประชุมในครั้งนี้ (ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเคยประกาศเป็นทางการไปแล้ว)
แต่หลังจากการประกาศชื่อผู้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้รับพร้อมทั้งมีการยืนยันจากรัฐบาลจีนว่าประธานาธิบดีจีนจะไม่มาร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน ข่าวเรื่องพิธีการลงนามความตกลงสันติภาพฯ ก็เงียบไปและโอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะมาร่วมก็กลับมาไม่แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะกำหนดให้มีการลงนามความตกลงสันติภาพฯ แบบกระทันหัน แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นจริงก็สะท้อนให้เห็นความจำเป็นที่ไทยควรจะต้องปรับแนวทางการอธิบาย (narrative) การดำเนินการปัญหาไทย-เขมรเสียใหม่ จากเดิมที่จำกัดว่าต้องเจรจาแก้ไขปัญหาในระดับทวิภาคีเท่านั้น เป็นว่า ไทยมุ่งแก้ไขปัญหาโดยใช้กลไกทวิภาคีเป็นหลัก แต่ก็พร้อมหากจะมีการดำเนินการควบคู่ในกรอบพหุภาคีหรือร่วมมือกับประเทศที่สาม หากจะเป็นโอกาสให้ายช่วยแก้ปัญหาได้ดีขึ้น
เพราะตามข้อเท็จจริงเราไม่มีความมุ่งมั่นทางการเมือง (political will) และอำนาจต่อรองเพียงพอที่จะสะกัดกั้นไม่ให้มหาอำนาจ (จีน สหรัฐฯ) อาเซียน หรือสหประชาชาติเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง และจริงๆ แล้วเราเองสามารถใช้ประโยชน์จากการดำเนินงานกรอบนี้ เพื่อสร้างแรงกดดันให้ฝ่ายเขมรมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
ในการสร้างความเชื่อมั่นกับประเทศต่างๆว่า การดำเนินงานในกรอบทวิภาคีเป็นแนวทางดีที่สุดที่จะแก้ปัญหาเขตแดนไทย-เขมรแบบถาวร ฝ่ายไทยต้องแสดงเป้าหมายในการดำเนินงานที่ชัดเจนและทำได้จริง ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ การร่วมจัดทำแผนที่เส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน ตรงกับสภาพภูมิประเทศ และเป็นไปตามกฏหมายระหว่างประเทศ ทดแทนแผนที่ในอดีตที่มีหลายฉบับและแต่ละฉบับล้วนมีความคลาดเคลื่อน อันจะเป็นไปตามที่เห็นชอบกันไว้ใน MoU43
ทั้งนี้ ต้องมีการกำหนดกรอบเวลาการดำเนินการชัดเจน โดยยึดหลักเขตที่มีอยู่(74 หลัก) แม่น้ำ และเส้นตรงตามที่ได้ทำไว้ สำหรับสันปันน้ำที่ดูจะเป็นปัญหานั้นก็ให้ใช้เทคโนโลยี LiDar ที่เป็นเทคโนโลยีการทำแผนที่ที่ละเอียดแม่นยำที่สุดเป็นตัวกำหนดจากพื้นที่จริง
โดยจากข้อมูลทางเทคนิคของไทย (กรมแผนที่ทหาร) ยืนยันความพร้อมจะทำแผนที่ให้เสร็จได้ภายในเวลา 2-3 ปี ซึ่งจะทำให้ความคุมเครือเรื่องเขตแดนจะหมดไปและสาเหตุของปัญหาข้อขัดแย้งก็จะได้รับการแก้ไขแบบถาวร
ท่าทีและเป้าหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไทยเราสามารถแจ้งได้กับทุกประเทศ ทุกเวทีระหว่างประเทศ โดยไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในกรอบทวิภาคีเท่านั้น และสิ่งนี้จะช่วยเปิดมิติการทำงานด้านการทูตให้กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้น ไม่ต้องคอยตามแก้ข้อกล่าวหา(ผิดๆ)ของฝ่ายเขมรเป็นครั้งๆ
บทความ โดย
เจษฎา กตเวทิน
13 ต.ค. 2568
ภาพประกอบปก : CNN

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา