
"...4. ปัญหาไทย-เขมรจะจบได้สมบูรณ์เมื่อสองฝ่ายสามารถจัดทำแผนที่เขตแดนร่วมกันได้เรียบร้อย อันเป็นเป้าหมายสำคัญใน MoU 43 และเป็นไปตามที่หารือกันไว้ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission-JBC) รอแต่เพียงการลงมือปฏิบัติจริงเท่านั้น..."
จากผลการเจรจา4 ฝ่าย (ไทย-เขมร-มาเลเซีย-สหรัฐฯ) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อจัดเตรียมเอกสารลงนามเพื่อยุติความขัดแย้งไทย-เขมร เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2568 มีมุมมองที่อาจนำไปเป็นข้อพิจารณา ดังนี้
1. ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจากการประชุมครั้งนี้ คือ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มานั่งคุยกันอย่างเปิดอกเพื่อเคลียร์ความเข้าใจระหว่างกันเท่านั้น
ภาษาทางการทูตที่ระบุว่า เป็นการหารือที่ “จริงจัง ตรงไปตรงมา” สะท้อนว่ายังไม่สามารถบรรลุความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างกันได้อย่างเป็นรูปธรรม
2. ฝ่ายไทยยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนว่า เรามีเจตนาที่จะใช้โอกาสที่สหรัฐฯ มีความกระตือรือล้นที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้โดยตรงมาเป็นตัวช่วยเพื่อกดดันเขมรให้เจรจาอย่างจริงใจ (in good faith) ได้อย่างไร
ขณะนี้เสมือนว่าไทยเรายังติดกับดักของเป้าหมายการยุติปัญหาด้วยการเจรจา “สองฝ่าย” และไม่ประสงค์ให้มีฝ่ายที่สามมาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดได้จริง อันเห็นจากการที่เราต้องยอมให้สหรัฐฯและมาเลเซียเข้ามาอยู่ในกรอบเจรจา 4 ฝ่ายในครั้งนี้
3. การลดระดับความสำคัญของเอกสารที่จะร่วมลงนามจาก “ความตกลง” ตามที่ฝ่ายสหรัฐฯให้ข่าวมาแต่แรก มาเป็นแค่ “คำประกาศ” ซึ่งในแง่หนึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นความสำเร็จที่สามารถลดระดับการแทรกแซงของประเทศที่สาม
แต่ขณะเดียวกันเราก็สูญเสียโอกาสที่จะดึงสหรัฐฯ มาสนับสนุนไทยเพื่อกดดันเขมรให้ทำตามเงื่อนไขที่เจรจากันไว้ (1 ใน 4 เงื่อนไขของไทยคือ การปราบปรามสแกมเมอร์ที่สหรัฐฯ กำลังสนใจที่จะปราบปรามอย่างจริงจัง)
เพราะความหมายของ “ความตกลง“ แสดงถึงภาระผูกพันที่สองฝ่ายต้องปฏิบัติ
ส่วน “คำประกาศ” เป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์ว่าจะทำอะไรเท่านั้น
4. ปัญหาไทย-เขมรจะจบได้สมบูรณ์เมื่อสองฝ่ายสามารถจัดทำแผนที่เขตแดนร่วมกันได้เรียบร้อย อันเป็นเป้าหมายสำคัญใน MoU 43 และเป็นไปตามที่หารือกันไว้ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission-JBC) รอแต่เพียงการลงมือปฏิบัติจริงเท่านั้น
จึงน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หากนอกเหนือจากเงื่อนไข 4 ประการ (ถอนกำลังอาวุธ-เคลียร์ทุ่นระเบิด-ปราบปรามสแกมเมอร์ -ถอนตัวจากพื้นที่ที่บุกรุก) แล้วในเอกสารลงนามร่วมควรรวมประเด็นการจัดทำแผนที่เขตแดนร่วมกันภายใต้กรอบเวลาที่้หมาะสมเป็นเงื่อนไขที่ 5 ในการปรับความสัมพันธ์เป็นปรกติกับเขมรด้วย
5. สุดท้าย การเอาประเด็นเรื่องทหารเขมรภายใต้การควบคุม 18 คนมาเป็นตัวต่อรองเพื่อให้เขมรปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ไทยกำหนดไม่น่าจะได้ผลเท่าไหร่ เพราะโดยปรกติการระบุเรื่องที่จะเป็นหลักประกันควรเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายหนึ่งให้ความสำคัญสูงสุด แต่ที่ผ่าน มาฮุนเซ็นไม่เคยแสดงว่าให้ความสำคัญต่อทหารของฝ่ายตนเท่าไหร่นัก นอกจากใช้เป็นประเด็นโจมตีไทยในเวทีโลก ในฐานะประเทศเล็กที่ถูกประเทศใหญ่รังแกเท่านั้น
บทความ โดย
เจษฎา กตเวทิน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา