
"...หรืออาจจะเพราะข้อเสนอในเวลาใกล้เคียงกันนั้นที่ให้พิจารณาแบ่งปิโตรเลียมกันในพื้นที่ใต้ละติจูด 11 องศาเหนือเป็น 3 อัตรา คือ 90:10, 50:50 และ 10:90 ยังไม่เป็นที่ตกผลึก เพราะกัมพูชาอาจจะเสียประโยชน์หากผลผลิตปิโตรเลียมในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมใกล้เขตแดนไทยมีมากกว่า จีงยังไม่ตอบเรื่องแบ่งเขตแดน เนื่องจากทั้ง 2 เรื่องต้องทำไปพร้อมกันอย่างไม่อาจแบ่งแยกกันได้..."
ประเทศไทยเคยเสนอแบ่งเขตแดนทางทะเลในพื้นที่ OCA ส่วนบนเส้นละติจูด 11 องศาเหนือตาม MOU 2544 ในช่วงปี 2544 - 2546 มาแล้ว ตามภาพที่นำมาแสดงนี้
จริง ๆ มีภาพเดียวเท่านั้น คือภาพแต่งเติมแผนผังท้าย MOU 2544 ที่ถือเป็นเนื้อหาด้วยไม่ใช่แค่เอกสารแนบ แต่เพื่อความชัดเจนผมได้ตัดเฉพาะส่วนพื้นที่แบ่งเขตแดนทางทะเลเหนือละติจูด 11 องศาเหนือแยกออกมาให้ใหญ่ขึ้นจะได้เห็นชัด ๆ อีกภาพหนึ่ง
เส้นประแทยงมุมในพื้นที่แรเงาคือเส้นแบ่งเขตแดนสมมติที่ฝ่ายไทยเสนอ
ไม่ปรากฏห้วงเวลาที่เสนอชัดเจน ประเมินว่าน่าจะช่วงปี 2544 - 2546 ตั้งแต่หลังจัดทำ MOU 2544 เสร็จจนถึงก่อนวิกฤตจลาจลเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา หรือยังไง ๆ ก็ไม่เกินปี 2548
ผมนำมาจากภาพประกอบสุดท้ายของบทความทางวิชาการขนาดยาวเรื่อง “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา : ปัญหาและพัฒนาการ“ โดย ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย ตีพิมพ์ในจุลสารความมั่นคงศึกษาฉบับที่ 92 พฤษภาคม 2554 ผู้เขียนเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระหว่างปี 2544 - 2548 เป็นผู้ลงนามใน MOU 2544 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ที่กรุงพนมเปญ และเป็นประธานคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ฝ่ายไทย

การเขียนเส้นประแทยงมุมเพิ่มเติมในแผนผังท้าย MOU 2544 ที่ปรากฏนี้ ผู้เขียนบอกไว้ในเชิงอรรถว่าเป็นผู้จัดทำขึ้นเอง โดยได้รับการมอบหมายจาก JBC ฝ่ายไทยให้พยายามหารือกับกัมพูชาในระดับรัฐมนตรีต่อรัฐมนตรี จึงได้เสนอนายซกอาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชาในขณะนั้น
อ่านแล้วเข้าใจว่าเป็นเสมือนบททดลองเสนอ ส่วนจะมีเอกสารอื่นที่มีพิกัดชัดเจนอีกหรือไม่ไม่ทราบ
เส้นข้อเสนอนี้ลากจากหลักเขตที่ 73 บนแผ่นดินทางทิศตะวันออก (ขวา) ลากตรงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ซ้าย) ไปจรดแนวเส้นเขตไหล่ทวีป 2515 เดิมของกัมพูชาเหนือเขตแบ่งพื้นที่ OCA โดยเส้นละติจูด 11 องศาเหนือเล็กน้อย

การลากเส้นสมมติของฝ่ายไทยใน MOU 2544 เสนอต่อฝ่ายกัมพูชา เมื่อช่วงปี 2544 - 2546
นายซกอานไม่ได้ให้คำตอบ ได้แต่รับไปและแจ้งว่าจะนำไปเสนอผู้นำสูงสุด
ฮุนเซน !
เท่าที่คนทั่วไปรู้ ไม่ปรากฏว่ามีคำตอบใด ๆ มายังฝ่ายไทยจนถึงทุกวันนี้
เดชะบุญที่เป็นเช่นนั้น !
เพราะไม่อย่างนั้นไทยจะมีแต่เสียกับเสีย ขณะที่กัมพูชามีแต่ได้กับได้
มาว่ากันทางฝ่ายไทยก่อน…
เสียที่ 1 ของไทย คือเสียเขตแดนทางทะเลในพื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือกว่าประเมินด้วยสายตาก็น่าจะกว่าครึ่งเล็กน้อย หรือเท่ากับกว่า 5,000 ตารางกิโลเมตร และจะเป็นผลให้ไทยต้องแก้ไขเส้นเขตไหล่ทวีปตามประกาศพระบรมราชโองการ 2516 ที่ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศมากที่สุด คือลากจากชายฝั่งผ่านจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดของเรากับเกาะกงของกัมพูชา
เสียที่ 1 นี่เรื่องใหญ่ เพราะกลายเป็นเรายินยอมเสียหลักการ ละทิ้งประเด็นได้เปรียบด้านข้อกฎหมายของเราเอง เส้นเขตไหล่ทวีปของรัฐประชิดและรัฐตรงข้ามอาจต่างกันได้ แต่ต้องต่างอย่างมีหลัก ส่วนใหญ่จะไปต่างกันช่วงกลางทะเล เพราะการให้ค่าเกาะต่าง ๆ อาจแตกต่างกัน ถ้าเป็นภาพก็จะโป่งกลาง ส่วนต้น ๆ ที่ลากจากชายฝั่งออกไปมักจะใกล้เคียงกัน ในกรณีของไทยกับกัมพูชามันกลับกันคือโป่งตั้งแต่ชายฝั่งเลย ทั้ง ๆ ที่มันควรจะต้องผ่านจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงออกไปก่อน กูรูผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ศึกษาตัวแบบการแบ่งเขตไหล่ทวีปไทยกัมพูชาเห็นตรงกันว่าช่วงต้นของเส้นจากชายฝั่งนั้นไม่ต่างจากที่ไทยลากไว้มากนัก จะมาต่างออกไปก็ส่วนตรงกลางทะเล
ถามว่าเราจะยอมเสียข้อได้เปรียบทางกฎหมายนี้ไปเพื่ออะไร
เสียที่ 2 ของไทยคือ เสียผลประโยชน์ในปิโตรเลียมใต้ละติจูด 11 องศาเหนือที่ควรจะเป็นของเราเต็ม 100 หรือหย่อน 100 ไปไม่กี่มากน้อยเหลือแค่ประมาณ 50 เพราะอีกประมาณ 50 ถูกแบ่งไปให้กัมพูชา เนื่องจาก MOU 2544 กำหนดเขตพัฒนาร่วมใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือไว้ตายตัว ไม่แปรไปตามเส้นเขตไหล่ทวีปที่ตกลงกันตลอดแนวเสียก่อน เหลือที่ตกลงกันไม่ได้จึงกำหนดเป็นเขตพัฒนาร่วม

เสียที่ 2 นี้อาจจะมีผู้เห็นต่าง โดยมองว่าฝ่ายไทยได้ คือได้ใช้ปิโตรเลียม แม้จะไม่เต็ม 100 แต่แม้แค่ 50 ก็คุ้มค่ากับการได้แก้ปัญหาของประเทศ ดีกว่าปล่อยไว้เฉย ๆ ให้เป็นความภาคภูมิใจที่กอดได้แต่กินไม่ได้
กลับด้านกันไปดูทางฝ่ายกัมพูชา…
ได้ที่ 1 ของกัมพูชาคือ ได้เขตแดนทางทะเลมาเกือบ 5,000 ตารางกิโลเมตร ตรงนี้สำคัญ เพราะหากคิดชั้นเดียวตามภาพแผนผังจะดูเหมือนว่ากัมพูชาก็เสียเขตแดนเหมือนไทยเช่นกัน เพราะเขาจะไม่ได้เขตแดนเต็มตามที่ลากเส้นเขตไหล่ทวีปประชิดเกาะกูดเคลมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2515 ดูเหมือนกับแฟร์ ๆ วิน ๆ ยุติธรรมดีจัง คือไทยเสียจากเส้นไหล่ทวีป 2516 ของตัวเอง กัมพูชาก็เสียจากเส้นไหล่ทวีป 2515 ของตัวเองเช่นกัน ขอบอกว่าผิดครับ เพราะตรรกะนี้จะถูกต้องก็ต่อเมื่อเส้นเขตไหล่ทวีป 2515 กับ 2516 ของทั้ง 2 ประเทศมีหลักอ้างอิงตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ความจริงคือเส้นไหล่ทวีป 2515 ของกัมพูชาเป็นเส้นเถยจิตหรือเส้นโจรหรือเส้นฮุบปิโตรเลียมที่ไม่มีหลักกฎหมายระหว่างประเทศใด ๆ รองรับ ขณะที่เส้นไหล่ทวีป 2516 ของไทยสร้างขึ้นตามหลักการกฎหมายระหว่างประเทศคือลากผ่านจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง การเสียพื้นที่จากฐานอ้างอิงแบบเถยจิตเป็นโจรไม่เรียกว่าเสียหรอก เพราะยังได้พื้นที่เพิ่มจากฐานอ้างอิงที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ได้ที่ 2 ของกัมพูชาคือ ได้ส่วนแบ่งปิโตรเลียมจากพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือที่กำหนดไว้เป็นเขตพัฒนาร่วมแบบตายตัวตาม MOU 2544 โดยไม่ต้องตกลงกันเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีปที่ถูกที่ควรเลย
มีแต่ได้กับได้อย่างนี้แต่กัมพูชากลับไม่รีบงับรับข้อเสนอของไทยในยุคนั้น
อาจจะเพราะยังหวังได้มากกว่า คือหวังได้ส่วนแบ่งปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นเต็มพื้นที่ OCA ตามความต้องการเดิมตั้งแต่ปี 2538 โดยไม่ต้องมีเส้นละติจูด 11 องศาเหนือมาจำกัดตามเงื่อนไข MOU 2544 และไม่ต้องเสียเขตแดนที่เคลมไว้ด้วยเส้นไหล่ทวีป 2515 ดังที่มาปรากฎล่าสุดในร่างข้อตกลงที่เสนอมายังฝ่ายไทยเมื่อ 16 ธันวาคม 2565 ดังที่ผมโพสต์ไปก่อนหน้า (อ่านประกอบ : หลักฐานชี้ชัดกัมพูชาเอาแต่ได้ ปิโตรเลียมจะขอแบ่ง แต่เขตแดนไม่ขอคุย!)
หรืออาจจะเพราะข้อเสนอในเวลาใกล้เคียงกันนั้นที่ให้พิจารณาแบ่งปิโตรเลียมกันในพื้นที่ใต้ละติจูด 11 องศาเหนือเป็น 3 อัตรา คือ 90:10, 50:50 และ 10:90 ยังไม่เป็นที่ตกผลึก เพราะกัมพูชาอาจจะเสียประโยชน์หากผลผลิตปิโตรเลียมในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมใกล้เขตแดนไทยมีมากกว่า จีงยังไม่ตอบเรื่องแบ่งเขตแดน เนื่องจากทั้ง 2 เรื่องต้องทำไปพร้อมกันอย่างไม่อาจแบ่งแยกกันได้
หรืออาจจะเพราะมีเหตุจลาจลเผาสถานทูตไทยในกัมพูชากลางปี 2546 มาแทรก ทำให้บรรยากาศความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศเสื่อมทรามลง พอจะตั้งหลักได้ก็เกิดวิกฤติการเมืองในไทยปี 2549
ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งที่กล่าวมา หรือทุกเหตุประกอบกัน หรือเหตุอื่นที่ยังไม่ปรากฎชัด แต่ก็ถือเป็นเดชะบุญของแผ่นดินไทย
เดชะบุญที่ไม่ประสบสภาวะเสียกับเสีย
ที่มา : เฟซบุ๊ก Kamnoon Sidhisamarn

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา