"...เส้นทางชีวิตคนเราเปรียบเสมือนกับการตัดสินใจในช่วงเวลาบินว่าจะบินไปในทิศทางใดเมื่อเผชิญกับเครื่องบินข้าศึก เพราะมีทางเลือกอยู่เพียง 2 ทาง ทางแรกคือ การ “อยู่เป็น” (can be somebody) หมายถึงการทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ยอมแม้กระทั่งหันหลังให้เพื่อน ซึ่งหวังว่าจะได้รับการยอบรับ ได้รับมอบหมายงานดี ๆ ได้เลื่อนตำแหน่ง ส่วนทางที่สองคือ การเลือกทำงานโดยยึดมั่นในหลักการ รับใช้ประเทศชาติและเพื่อตัวเราเอง (can do something) ซึ่งหากเลือก ทางนี้ เราอาจจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้งานดี ๆ และแน่นอนคงจะไม่เป็นคนโปรดของเจ้านาย แต่สิ่งที่ได้รับคือ เราเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประนีประนอมกับความไม่ถูกต้อง ยึดมั่นในหลักการ จริงใจต่อคนรอบข้างและต่อตัวเอง (What is your purpose? What are you here to do?)..."
สวัสดีครับ
ใน Weekly Mail สัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนถึงหนังสือ Ego Is the Enemy ของไรอัน ฮอลิเดย์ (Ryan Holiday) ซึ่งเขียนไว้ว่า เราทุกคนมี ego แฝงอยู่ในตัว การมี Ego ในระดับพอดีจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จในชีวิต ที่สำคัญคือ เราต้องรู้จักจัดการกับการใช้ ego ไรอัน ได้กล่าวถึงบุคคลสามคนที่ใช้ ego ไม่ถูกจังหวะจนทำลายศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเอง และพบกับความล้มเหลวในการดำเนินชีวิต
ในสัปดาห์นี้จะขอพูดถึงข้อเขียนของไรอันที่เขียนถึงบุคคลสองคนที่สามารถฟันฝ่า ego ศัตรูหมายเลขหนึ่ง1/
บุคคลแรกคือ นาวาอากาศเอกจอห์น บอยด์ (John Boyd) นักบินเครื่องบินขับไล่ชาวสหรัฐ เขาอธิบายว่า ในสมัยแรก ๆ การต่อสู้ของเครื่องบินรบกลางอากาศถือเป็นเรื่องที่นักบินต้องอาศัยความชำนาญและใช้จินตนาการของตนเองว่าจะบินต่อสู้กับเครื่องบินข้าศึกอย่างไร เช่น
บินเข้าหาประชันกัน หรือบินวนเพื่อจะให้ไปอยู่ตำแหน่งหลังเครื่องบินข้าศึก เพราะการต่อสู้แบบนี้ยังไม่เคยมีแบบแผนหรือยุทธวิธีที่ควรยึดปฏิบัติ จนกระทั่ง น.อ.บอยด์ได้ค้นคิดยุทธวิธีการรบกลางอากาศขึ้น ยุทธวิธีนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักบินรบในชื่อ “The OODA loop: Observe, Orient, Decide, Act” เป็นกระบวนการที่ใช้ในช่วงเผชิญกับเครื่องบินข้าศึกกลางเวหา
น.อ. บอยด์เป็นนักบินที่ผ่านสมรภูมิรบทั้งสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามคาบสมุทรเกาหลี และสงครามเวียดนาม เป็นที่รู้จักกันดีในนาม “Forty-Second Boyd” เพราะสามารถยิงเครื่องบินรบของข้าศึกร่วงได้ภายใน 40 วินาที ไม่ว่าจะมาจากทิศทางไหน น.อ. บอยด์จึงถือเป็นปรมาจารย์ด้านการรบกลางอากาศ (air to air combat) อย่างไรก็ดี น้อยคนนักจะรู้จักเขา เพราะ น.อ. บอยด์ไม่เคยแต่งตำราใด ๆ เขียนเพียงบทความสั้นชิ้นเดียว เขาเกษียณอายุด้วยตำแหน่งต่ำกว่านายพล ไม่มีห้องประชุมและอาคารในกองทัพอากาศที่จารึกชื่อเขา จึงมีคำถามว่า อะไรล่ะคือสิ่งที่เขาต้องการในชีวิต
คำกล่าวของ น.อ. บอยด์ต่อนักเรียนนายเรืออากาศก่อนเกษียณอายุเมื่อปี 1973 น่าจะเป็นคำตอบ เขากล่าวว่า “วันหนึ่ง พวกเราจะต้องตัดสินใจว่าจะเดินไปในทิศทางไหน” (Tiger, one day you will come to a fork in the road.) เส้นทางชีวิตคนเราเปรียบเสมือนกับการตัดสินใจในช่วงเวลาบินว่าจะบินไปในทิศทางใดเมื่อเผชิญกับเครื่องบินข้าศึก เพราะมีทางเลือกอยู่เพียง 2 ทาง ทางแรกคือ การ “อยู่เป็น” (can be somebody) หมายถึงการทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ยอมแม้กระทั่งหันหลังให้เพื่อน ซึ่งหวังว่าจะได้รับการยอบรับ ได้รับมอบหมายงานดี ๆ ได้เลื่อนตำแหน่ง ส่วนทางที่สองคือ การเลือกทำงานโดยยึดมั่นในหลักการ รับใช้ประเทศชาติและเพื่อตัวเราเอง (can do something) ซึ่งหากเลือก ทางนี้ เราอาจจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้งานดี ๆ และแน่นอนคงจะไม่เป็นคนโปรดของเจ้านาย แต่สิ่งที่ได้รับคือ เราเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประนีประนอมกับความไม่ถูกต้อง ยึดมั่นในหลักการ จริงใจต่อคนรอบข้างและต่อตัวเอง (What is your purpose? What are you here to do?)
น.อ. บอยด์ชี้ให้เห็นว่า เราต้องควบคุม Ego ให้ดี เพื่อจะถูกชักนำไปถึงสิ่งที่เราต้องการจะทำ (from being to doing) อาชีพนักบินต้องไม่มี ego สูง ต้องเชื่อมั่นต่อเครื่องวัดประกอบการบิน เชื่อมั่นในหัวหน้าหมู่และลูกหมู่ ช่วยเหลือกันและกันและไม่พยายามทำตัวเป็นฮีโร่
บุคคลที่สองที่ไรอันกล่าวถึงคือ บิล วาลช์ (Bill Walsh) ยอดโค้ชอเมริกันฟุตบอล ผู้เข้ามาเป็นโค้ชทีมซานฟรานซิสโก 49ers เมื่อปี 1979 จากทีมที่มีผลการแข่งขันแย่ที่สุด ชนะเพียง 2 นัดและแพ้ 14 นัด พลิกกลายเป็นแชมป์ Super Bowl แชมป์อเมริกันฟุตบอลอาชีพได้ภายในเวลาเพียง 3 ปี ผู้คนยกย่องให้เขาเป็นโค้ชยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ และคิดว่าเขาคงวางแผนตั้งเป้าว่าจะได้แชมป์ Super Bowl แต่จริง ๆ แล้ว ทุกครั้งที่บิลให้สัมภาษณ์ เขาจะปฏิเสธว่า ไม่เคยตั้งเป้าหมายนี้ เพราะการตั้งเป้าที่จะนำทีมแย่ที่สุดไปสู่การเป็นแชมป์ไม่ใช่วิธีที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
ในความเป็นจริง บิลไม่เคยได้ตั้งเป้าหมายว่าจะไปถึงจุดสูงสุด เพียงแต่เขาวางแผนการทำทีมด้วยการ นำ “การปฏิบัติงานที่มีมาตรฐาน” (Standard of Performance) มาใช้ วางกฎเกณฑ์กับทุกคนในทีม ตั้งแต่ผู้ช่วยโค้ช นักกายภาพบำบัด นักฟุตบอล ไปจนถึงคนขายตั๋ว ให้มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างจริยธรรมในการทำงาน ต้องสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ รู้จักควบคุมอารมณ์ในทุกสถานการณ์ คิดในเชิงบวก ทุก ๆ วัน เราจะเห็นการซ้อมของคนขว้างบอล (quarterback) ที่ฝึกขว้างบอลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้เกิดความแม่นยำ ขณะที่ผู้รับฟุตบอลจะวิ่งไปที่จุดรับลูกบอลไม่ให้คลาดเคลื่อนแม้กระทั่งนิ้วเดียว นักฟุตบอลต้องไม่สูบบุหรี่ ไม่ทะเลาะกัน แต่งตัวเรียบร้อย ห้องแต่งตัวต้องสะอาดสะอ้านถูกสุขอนามัย
บิลเชื่อมั่นว่า การปฏิบัติงานที่มีมาตรฐานคือเส้นทางแห่งความสำเร็จ เขาไม่ยอมให้ Ego มาทำให้เกิดความหลงระเริงและดื่มด่ำไปกับชัยชนะ บิลกล่าวว่า “ชัยชนะที่เกิดขึ้นทุก ๆ ครั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้” เพราะความสำเร็จในอดีตอาจทำให้เราทะนงตน นำไปสู่ความล้มเหลวในชีวิต อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้วหลังการคว้าแชมป์เมื่อปี 1981 ทีมกลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะนักฟุตบอลเริ่มมองข้ามกฎเกณฑ์ที่บิลตั้งไว้ แต่เมื่อทุกคนกลับมาใช้การปฏิบัติงานที่มีมาตรฐาน ซานฟรานซิสโก 49ers สามารถคว้าแชมป์ Super Bowl ได้อีกถึง 2 สมัยในปี 1984 และ 1988 บิลพึงพอใจมากพร้อมกล่าวว่า “เส้นทางสู่ชัยชนะย่อมเรียนรู้มาจากความล้มเหลว” (Almost always, your road to victory goes through a place called “failure.”)
เรื่องราวของจอห์น บอยด์ และบิล วาลช์ สามารถฟันฝ่า ego ของตนเองได้ เป็นเพราะพวกเขารู้ว่าอะไรคือเป้าหมายของชีวิต (purpose of life) นั่นเอง
รณดล นุ่มนนท์
1 มิถุนายน 2563
แหล่งที่มา:
1/ Ryan Holiday, Ego is the Enemy, Profile Books Ltd., 2016
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: