"...ชื่อ “ฟาร์มสุขไอศกรีม” ตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความสุขของทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นกิจการ “สร้างโอกาส” ให้เด็กได้เป็นผู้ผลิตไอศกรีมมีรายได้เลี้ยงตนเอง โดยบอมทำหน้าที่ด้านการตลาด นำไปวางขายตามจุดต่าง ๆ ที่เจ้าของเอื้อเฟื้อสถานที่รับการสั่งซื้อจากผู้มีจิตศรัทธา อย่างไรก็ดี บอมบอกว่า “ฟาร์มสุขไอศกรีมต้องการให้ผู้ซื้อได้กินไอศกรีมเจลาโต้ รสชาติหวานมันรวมทั้ง คุณภาพเทียบเท่ากับร้านไอศกรีมอิตาเลียนดัง ๆ แต่ต้องไม่ได้ซื้อด้วยความสงสารหรือเห็นใจ เพราะนั่นไม่ตอบโจทย์กิจการเพื่อสังคมที่ต้องการความยั่งยืนให้ได้ลิ้มรสไอศกรีมที่มีคุณภาพ”..."
....................................
เดือนเมษายนเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ไทยที่มากับอากาศร้อนแบบ “ตับแตก” ทำให้พวกเราต้องร้องถามหา “ไอศกรีม” มาคลายร้อน แต่สำหรับคุณชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ (บอม) ไอศกรีมไม่ใช่เป็นเพียงของโปรดที่หลงใหลในความอร่อยมาตั้งแต่เด็ก เคยกินได้คนเดียวขนาดถัง 3 ควอท หรือเท่ากับกะละมังใหญ่สบาย ๆ[1] แต่ยังทำให้บอมได้ค้นพบปณิธานชีวิตจาก “ฟาร์มสุขไอศกรีม” กิจการเพื่อสังคม (social enterprise) ที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2554
ชีวิตของบอมไม่ธรรมดา ฐานะครอบครัวไม่ดีนัก เป็นเด็กขี้เกียจ ไม่ชอบเรียนหนังสือ ทะเลาะกับแม่เป็นประจำเพราะแม่มักว่ากล่าวด้วยคำพูดที่เสียดแทงใจ จนคิดอยู่ในใจว่า “แม่รักเราหรือเปล่า” เคยหนีออกจากบ้านสมัยเรียนชั้นมัธยม แต่ก็ต้องซมซามกลับมา และเกิดความมุ่งมั่นว่า จะเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ต้องเรียนให้จบเพื่อลบคำสบประมาทของแม่ และบอมก็สามารถเรียนจนจบมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์ ในปี 2548 พร้อมพยายามค้นหาความชอบของตัวเอง จนพบว่าถนัดการทำสื่อโฆษณา และได้เป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์ให้กับบริษัทโฆษณาชั้นนำของประเทศฝีมือดีเป็นที่ติดอกติดใจของลูกค้า งานเข้าอย่างต่อเนื่อง ทำงานหามรุ่งหามค่ำอดหลับอดนอน รายได้เดือนละเป็นแสนแต่ไม่มีเวลาใช้ เรียกว่า ชีวิตถลำลึกอยู่ในสังคมที่วัดคนด้วยอำนาจเงินตราคือต้อง “รวย รวย รวย”
อย่างไรก็ตาม ในวันหนึ่ง ชีวิตอู้ฟู่ต้องสะดุดลง เมื่อถูกปรามาสจากลูกค้าเพราะทำงานไม่ถูกใจที่เขาใช้คำว่า“เอาอวัยวะส่วนไหนมาคิด” แถมเมื่อกลับไปที่ทำงานยังถูกเจ้านายตำหนิอีก บอมทั้งโกรธและเสียใจ ออกไปเดินสงบอารมณ์ในห้างสรรพสินค้า ตอนแรกตั้งใจจะซื้อไอศกรีมมากินเพื่อเอาความเย็นมาตั้งสติ แต่เปลี่ยนใจเพราะคิดว่าไอศกรีมกะละมังใหญ่คงเอาไม่อยู่ พอเดินไปเห็นร้านขายเครื่องทำไอศกรีมราคาสามหมื่นกว่าบาท จึงตัดสินใจซื้อด้วยเงินสดที่พกติดตัวเพื่อประชดอารมณ์ ในใจลึก ๆ อยากทำไอศกรีมเจลาโต สไตล์อิตาเลียน รสชาติหวานมันน้อยสำหรับกินเอง เมื่อกลับถึงบ้านจิตใจสงบลง รีบบอกแม่ตามสัญชาตญาณนักการตลาดว่า “บอมซื้อมาเพราะจะทำไปแจกจ่ายให้เด็กด้อยโอกาส” ตลอดสัปดาห์หลังเลิกงาน บอมมาหัดทำไอศกรีมจากที่เคยดูการทำผ่านยูทูป และนำไปแจกเด็ก ๆที่โรงเรียนอนุบาลหมู่บ้านเด็กสานรัก พุทธมณฑลสาย 4 ใกล้บ้านด้วยตนเอง
วินาทีแรกที่เห็นเด็กกินไอศกรีม บอมเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยพบประสบมาก่อน แววตาเด็กเปี่ยมไปด้วยความสุขวิ่งเข้ามาถามว่า วิปครีมนี้กินได้ไหม เพราะไม่เคยเห็น บอมถึงกับต้องถามตัวเองว่า “พวกเขาสนุก ดีใจ และมีความสุขได้ขนาดนี้เลยหรือ เราเองมีหน้าที่การงาน มีชื่อเสียงเงินทอง แต่ไม่เคยสุขอย่างนี้เลย” บอมไปเล่าประสบการณ์ความอิ่มใจกับการเป็น “ผู้ให้” ให้เพื่อน ๆ ฟัง และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทุกคนพร้อมใจกันสนับสนุนให้เงินทุนมาทำไอศกรีมไปให้กับเด็ก ๆ ตระเวนไปตามสถานเลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสทุกสุดสัปดาห์เป็นเวลากว่า 3 ปี
จุดกำเนิดของ “ฟาร์มสุขไอศกรีม” เกิดขึ้นในเวลาต่อมา เมื่อบอมนำไอศกรีมไปเลี้ยงเด็กพิการทางสายตา เด็กคนหนึ่งเดินมาบอกว่า “ถึงผมจะเรียนเก่งไหน ก็คงเป็นได้แค่คนขายลอตเตอรี่” บอมถึงกับสะอึกว่า “ทางไปสู่อนาคตของเด็กตาบอดตีบตันเพียงแค่นี้หรือ ควรจะให้เขาได้มีโอกาสในสังคมที่ดีกว่า” พอดีกับในช่วงเวลาเดียวกันนี้ บอมได้รับโอกาสเข้าอบรมการจัดตั้ง“กิจการเพื่อสังคม” จากสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) ทำให้คิดได้ว่า แทนที่จะแจกจ่ายไอศกรีมให้กับเด็กเพียงอย่างเดียว ควรสอนเด็กที่มีแววและมีใจรักให้มีทักษะทำไอศกรีมไปด้วย เพื่อเป็นการปูทางไปสู่อาชีพ จึงเป็นที่มาของการได้รับทุนสนับสนุนจาก สกส. และโชคเข้าข้าง เมื่อได้ออกรายการโทรทัศน์ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554มีผู้มีจิตศรัทธากระหน่ำบริจาคเงินมาให้จนไม่ทราบว่าเป็นเงินของใครบ้าง เพราะบัญชีที่บอกไปเป็นบัญชีส่วนตัว ด้วยความไม่สบายใจจึงตัดสินใจทำโครงการอย่างจริงจัง “ฟาร์มสุขไอศกรีม” จึงก่อกำเนิดขึ้นด้วยเงินทุนประเดิม 2 แสนบาท[2]
ชื่อ “ฟาร์มสุขไอศกรีม” ตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความสุขของทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นกิจการ “สร้างโอกาส” ให้เด็กได้เป็นผู้ผลิตไอศกรีมมีรายได้เลี้ยงตนเอง โดยบอมทำหน้าที่ด้านการตลาด นำไปวางขายตามจุดต่าง ๆ ที่เจ้าของเอื้อเฟื้อสถานที่รับการสั่งซื้อจากผู้มีจิตศรัทธา อย่างไรก็ดี บอมบอกว่า “ฟาร์มสุขไอศกรีมต้องการให้ผู้ซื้อได้กินไอศกรีมเจลาโต้ รสชาติหวานมันรวมทั้ง คุณภาพเทียบเท่ากับร้านไอศกรีมอิตาเลียนดัง ๆ แต่ต้องไม่ได้ซื้อด้วยความสงสารหรือเห็นใจ เพราะนั่นไม่ตอบโจทย์กิจการเพื่อสังคมที่ต้องการความยั่งยืนให้ได้ลิ้มรสไอศกรีมที่มีคุณภาพ”
นอกจากฟาร์มสุขไอศกรีมที่บอมกลายเป็น “ผู้ให้” แล้ว เมื่อได้รับฟังปัญหาของเด็ก ๆ จากการไปแจกไอศกรีมในสถานที่ต่าง ๆ กว่า 10 ปี ทำให้ได้เรียนรู้ว่า “การรับฟังด้วยความจริงใจ (deep listening) เป็นการนำไปสู่ความเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่นได้รับความสุข ความเข้าใจจากการมองเห็นสามารถรับมือกับสภาวะอารมณ์ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม” [3] พร้อมกันนั้น ก็นำมาสู่ความเข้าใจกันระหว่างแม่กับบอม “ผมตัดสินใจในวันหนึ่งว่า จะมานั่งฟังแม่พูด ให้แม่พูดมากกว่าเราพูดตั้งแต่กลางวันจนถึงเย็น แม่บอกเราว่า แม่ดีใจที่ได้คุยกับบอมนะ เพียงแค่นี้เราร้องไห้โฮเลย ……จนวันหนึ่ง แม่เปิดโอกาสให้เราพูดจึงถามแม่ว่า แม่คิดว่าบอมเก่งไหม แม่ตอบว่า ลูกของแม่เก่งที่สุด เท่านั้นแหละ น้ำตาระเบิดเลย ที่ทำมาทั้งหมดในชีวิตเราต้องการแค่นี้ ไม่ต้องการคำชมจากคนอื่น”[1]
บอมยอมรับว่า ปัจจุบันธุรกิจไอศกรีมมีการแข่งขันสูง ขณะที่กระแสกิจการเพื่อสังคมเริ่มเบาบางลง “ฟาร์มสุขไอศกรีม” จึงต้องปรับตัวเช่นกัน ปัจจุบันมีไอศกรีม 7 รส จากเดิมที่มีกว่า 20 รส มีสถานที่ขายเพียง 2 แห่งคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซอยงามดูพลี และร้าน Organika Café and Play แถวบางใหญ่ โดยบอมทำหน้าที่ทั้งการตลาดและจัดส่งเพื่อลดต้นทุน เขาบอกว่า อาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของโครงการหรือกิจกรรมให้เหมือนกับเมื่อสมัยเริ่มแรกอย่างไรก็ดี อุดมการณ์ “ผู้ให้และผู้รับฟัง” จะเป็นสิ่งที่จะติดตัวเขาตลอดไป ปัจจุบัน บอมเป็นอาจารย์สอนวิชาสังคมสงเคราะห์ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และยังคงเป็น freelance ออกแบบสื่อโฆษณา พร้อมกับทำกิจการ “ฟาร์มสุขไอศกรีม” โดยไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการเงิน ขณะเดียวกัน บอมมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมอีกหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการ “ธนาคารเวลา” ที่เชื่อมโยงคน 3 รุ่นเข้าด้วยกัน คือรุ่นเด็ก รุ่นคนทำงาน และรุ่นคนสูงอายุด้วยการสร้างจิตอาสาอย่างมีระบบ ผู้เข้าร่วมสามารถเบิกเวลามาใช้ เพื่อให้จิตอาสารุ่นใหม่มาดูแลและได้ใช้เมื่อตนเองมีอายุมากขึ้น
เมื่อถามถึงความฝันในอนาคตว่า อยากเห็นตัวเองเป็นอย่างไร บอมกล่าวว่า “ผมอยากเป็นคนแก่โคตรน่ารัก มีคนรุ่นใหม่นึกถึงเมื่อไม่สบายใจ มีเพื่อนไปมาหาสู่ อยากมองทุกอย่างตามธรรมชาติ เข้าใจชีวิตและมีความสุข” พร้อมฝากข้อคิดให้กับพวกเราว่า “อยากให้เชื่อมั่นว่า เรามีศักยภาพในตัวเอง มีทักษะ มีความสามารถเพียงพอช่วยเหลือคนอื่น ขอเพียงให้มีใจ เพียงทำอะไรง่าย ๆเช่น ยิ้มให้ก็ยังดี แต่หากมีเวลา ก็ขอให้สละเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเป็นผู้ให้และผู้รับฟัง อย่าไปคิดว่า เราเป็นคนเล็ก ๆ ช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ ลองยื่นมือไปช่วยคนรอบข้าง แล้วเราจะพบว่า ทุกอย่างเปลี่ยนไป”
วันสุขที่ 9 เมษายนนี้ ผมขอมอบ “ฟาร์มสุขไอศกรีม” ให้พวกเราได้สัมผัสกับรสชาติไอศกรีมเจลาโต้ โฮมเมด จากกิจการเพื่อสังคมเพื่อให้เข้าใจความเป็นผู้รับและผู้ให้ความสุขกับผู้อื่นด้วยใจจริง
แหล่งที่มา :
[1] ฟาร์มสุข ไอศกรีม” ไอศกรีมเพื่อสังคม : “บอม-ชัยฤทธิ์” ผู้ทิ้งเงินเดือนหลักแสน สู่งานจิตอาสา.[online] Available at: <https://mgronline.com/onlinesection/detail/9580000093104> [Accessed 3 April 2021].
[2] ความสุขประเทศไทย. 2021. ชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ ผู้ส่งมอบ “ฟาร์มสุข” ผ่านไอศกรีม.[online] Available at: <https://www.happinessisthailand.com/2017/12/28/farmsook/> [Accessed 3 April 2021].
[3] https://www.posttoday.com. 2021. ชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ ‘ฟาร์มสุข’ กับการฟังอย่างลึกซึ้ง.[online] Available at: <https://www.posttoday.com/ent/celeb/526384> [Accessed 3 April 2021].
[4] คุณบอม ชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ เจ้าของโครงการฟาร์มสุข – คิดบวก รายการเปิดโลกสุดสัปดาห์ PPTVHD36 November 14, 2019 Youtube.com. 2021. Before you continue to YouTube. [online] Available at: <www.youtube.com/watch?v=i_V887e85jc> [Accessed 3 April 2021].
[5] บอม (ชัยฤทธิ์ อิ่มเจริญ) : ไอศกรีมเพื่อสังคม “ฟาร์มสุขไอศกรีม” FFC CHANNEL 15 September 2015
Youtube.com. 2021. Before you continue to YouTube. [online] Available at: <www.youtube.com/watch?v=B4RiEWbvFyc> [Accessed 3 April 2021].