
"...ความรักบริสุทธิ์ (platonic love) ของเอลตันและทอพิน สะท้อนได้อารมณ์จากเนื้อเพลง We All Fall in Love Sometimes ที่ทั้งสองร่วมกันแต่ง ประโยคท่อนหนึ่งจับใจว่า “ควรหรือไม่ควร ฉันไม่แน่ใจ เพราะบางขณะ เราเหมือนอยู่ในที่มืดมิด ดิ้นรนเพื่อ ผ่านไปวัน ๆ แม้แต่เพื่อนรักที่สุดยังทักว่า อย่าหลอกตัวเองเลยเพราะในบางครั้งเราอาจกระโจนตกหลุมรัก” ...
....................................
นักร้องซุปเปอร์สตาร์แต่ละคนต่างมีอัตลักษณ์โดดเด่นของตนเอง สำหรับนักร้องชายร่างเล็ก แต่งเนื้อแต่งตัว ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันฉูดฉาด แบบหลุดโลก มีเครื่องทรงฟู่ฟ่าตั้งแต่หัวจรดเท้า ใส่หมวกติดปีกนก แว่นตาประดับเพชร ใส่ส้นสูงหนาสามฟุตขึ้นไปปีนเล่นเปียโน แล้วกระโดดทิ้งตัวลงมา เป็นผู้ที่ทุกคนต้องร้องอ๋อทันทีว่า เขาคือ เซอร์ เอลตัน เฮอร์คูลีส จอห์น (Sir Elton Hercules John) นักร้อง นักแต่งเพลงระดับตำนานที่คนทั้งโลกรู้จัก


เด็กชายตัวจิ๋วจากย่าน Middlesex กรุงลอนดอน มีชีวิตวัยเยาว์ที่เรียบง่าย ขี้อาย พูดน้อย ใช้เวลาส่วนใหญ่ หมกตัวอยู่ในห้องเปียโนกับแผ่นเสียงของครอบครัว เขาโชว์ความเป็นอัจฉริยะด้านดนตรี เล่นเปียโนได้ตั้งแต่อายุสี่ขวบ ได้ทุนเข้าเรียนที่สถาบันดนตรี London Academy of Music เมื่ออายุ 11 ขวบ แต่เอลตันกลับไม่มีความสุข เพราะพ่อ ไม่สนับสนุนให้ยึดอาชีพนักร้อง อยากให้เรียนสูง ๆ ทำงานมั่นคงตามยุคสมัยทศวรรษ 50 อย่างงานธนาคาร พ่อไม่เคย ชื่นชมความสามารถของลูก ไม่เคยสวมกอดเพื่อแสดงความรัก และเมื่ออายุ 15 ปีได้บอกแม่ว่าเป็นเกย์ แม่สวนกลับทันที “ฉันรู้อยู่แล้วและฉันไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่แกจำไว้นะว่าแกได้เลือกชีวิตที่โดดเดี่ยว แกจะไม่มีวันพบรักแท้”
เมื่อไม่นานมานี้ เอลตันได้เปิดเผยชีวิตของตัวเองในชื่อเดิม เรจินัลด์ ดไวท์ (Reginald Dwight) อย่างหมดเปลือก ในหนังสืออัตชีวประวัติ “Me” และภาพยนตร์เรื่อง “Rocketman” ยอมรับว่า ทั้งชีวิตได้ไขว่คว้าหาความรักและความ อบอุ่น ท่ามกลางคนรอบข้างที่คอยตักตวงผลประโยชน์จากความสำเร็จของตัวเขา เอลตันจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อค้นหา รักแท้ เมื่ออายุได้ 37 ปีเขาเข้าพิธีสมรสอย่างอลังการกับเรนาเต้ บลาวเอล (Renate Blauel) วิศวกรบันทึกเสียง ชาวเยอรมัน เพื่อนร่วมงานในห้องสตูดิโอ อยู่กินกัน 4 ปี ต้องแยกทางเมื่อเอลตันเปิดตัวอย่างตรงไปตรงมาถึงเพศสภาพ ของตนเอง หลังจากนั้น แม้เอลตันจะดิ้นรนค้นหาตัวตนที่แท้จริง แต่ก็ล้มเหลว หันไปติดเหล้า ติดยาเสพติด เกือบเอาชีวิต ไม่รอด โชคดีที่ได้พบไรอัน ไวต์ เด็กหนุ่มที่เป็นโรคฮีโมฟีเลียหรือโรคเลือดไหลไม่หยุด ต้องได้รับการถ่ายเลือดสม่ำเสมอ จากโรงพยาบาล และพบว่า ได้รับเชื้อเอชไอวีโดยไม่รู้ตัวและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เอลตันกล่าวว่า “ผมได้บทเรียนอันเลวร้าย ไรอันเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเลิกเหล้ายาและตั้งมูลนิธิโรคเอดส์ หลังจากที่เขาเสียชีวิตได้หกเดือน ผมก็เลิกเหล้าได้ และ ไม่หวนไปแตะมันอีกเลย”
เอลตันคิดว่าได้พบ “รักแท้” เมื่อได้แต่งงานกับชายหนุ่ม เดวิด เฟอร์นิช (David Furnish) นักสร้างภาพยนตร์ ชาวแคนาดา อายุอ่อนกว่าเขา 15 ปีที่สหรัฐฯ เมื่อปี 2005 แต่เพิ่งมาจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายสำหรับชาวเพศที่สาม ที่อังกฤษในปี 2014 และมีลูกชาย 2 คนผ่านทางแม่อุ้มบุญ
อย่างไรก็ตาม หากเราเปิดกว้างคำว่า “รักแท้” ให้เป็นความรู้สึกรักและปรารถนาดีต่อกัน โดยไม่จำกัดด้วยสถานะ ความสัมพันธ์แบบคู่รัก เราจะพบว่า เอลตันได้พบรักแท้ก่อนที่จะพบเดวิดมาตั้งนาน คนนั้นคือเบอร์นี่ ทอพิน (Bernie Taupin) นักแต่งเพลงคู่บุญที่เขียนเนื้อเพลงฮิตมากมายให้เขา ถือเป็นรักบริสุทธิ์แบบไร้นิยามหรือเพื่อนร่วมวิญญาณ เข้าอกเข้าใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันแม้แต่ครั้งเดียว2/ เหมือนชะตาชีวิตที่ฟ้าลิขิตไว้ เอลตัน จอห์นและเบอร์นี่ ทอพิน ได้พบกันเมื่อทั้งสองต่างส่งใบสมัครงานกับค่ายเพลง Liberty Records ที่กำลังค้นหาศิลปินนักร้องและนักแต่งเพลงเมื่อปี 1967
ทอพินเติบโตในหมู่บ้าน Owmby-by-Spital ฟาร์มเล็ก ๆ ในแขวงลิงคอล์นเชอร์แถบตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ แต่ไม่อยากทำไร่ทำนาเหมือนพ่อ ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปี ไปเป็นเด็กโรงพิมพ์ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่าง ไม่มีเป้าหมาย จนค้นพบว่า เป็นคนชอบเสียงเพลง ฟังเพลงหลากหลายสไตล์ โดยเฉพาะเพลงอเมริกันที่ได้ยินจากค่ายทหารอากาศ อเมริกันใกล้บ้าน ทอพินเริ่มหันมาเขียนเนื้อเพลงจากพื้นฐานความรู้การแต่งบทกวีที่แม่ปลูกฝังให้ แต่ไม่สามารถแปลงเป็น เสียงเพลงได้เพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องดนตรี เมื่อทราบว่า ค่ายเพลง Liberty Records กำลังหานักแต่งเพลง ทอพินในวัย 17 ปี จึงกรอกใบสมัคร รวบรวมเนื้อเพลงที่ตนเองแต่งไว้ในซองจดหมาย แต่ไม่กล้าพอที่จะส่งไป จนแม่ต้องแอบส่งไปให้
และเมื่อ บริษัทเรียกสัมภาษณ์ ทอพินบอกตรง ๆ ว่า เขาเขียนเนื้อเพลงได้ แต่ไม่มีความรู้ด้านดนตรีเลย
ในเวลาเดียวกัน เอลตัน จอห์น ในวัย 20 ปี ผู้มีพรสวรรค์การเล่นเปียโนและแต่งทำนองเพลง แต่แต่งเนื้อเพลงไม่เป็น ก็ส่งใบสมัครไป กรรมการผู้สัมภาษณ์อ่านแล้วจึงยื่นใบสมัครของทอพินให้เอลตันนำเนื้อเพลงไปใส่ทำนอง ทันทีที่เอลตันเปิดอ่าน รู้สึกชอบมาก รีบนำมาแต่งใส่ทำนองเพลงส่งกลับไป จนเป็นที่มาของความเป็นครึ่งหนึ่งของกันและกันของคนทั้งสอง
เอลตันและทอพินพบกันวันแรกที่ร้านกาแฟข้างบริษัท คุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะต่างพบว่ารักและชอบดนตรีในสไตล์ เดียวกัน ทั้งสองร้องเพลงโปรดดังลั่นสนั่นร้าน สร้างความแปลกใจกับทุกคน และนี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็นเพื่อนแท้ที่ยาวนาน มาจนถึงทุกวันนี้กว่า 54 ปี
การทำงานร่วมกันทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้น ๆ จนวันหนึ่งทอพินรู้ว่าเอลตันชอบผู้ชาย เขาก็เข้าใจไม่ได้รังเกียจ แต่ประการใด ทอพินบอกเอลตันว่า “เรารักนายแต่มันไม่ใช่แบบนั้น” จากนั้นทั้งสองก็ยังตัวติดกัน
ทอพินกล่าวว่า เขาไม่ได้แต่งเพลงให้กับเอลตันตลอดเวลา แต่เมื่อเอลตันตัดสินใจจะออกอัลบั้ม ทั้งสองจะคุยกันเรื่องเนื้อเพลง และแน่นอน ทอพินคือผู้ที่จะตอบได้ดีที่สุดว่า เอลตันต้องการร้องเพลงแบบไหน
ทอพินแต่งเพลงให้เอลตันกว่า 30 อัลบั้ม มียอดขายกว่า 300 ล้านแผ่น และกว่า 50 เพลงติดท็อปฮิต 40 อันดับแรก ในอังกฤษและสหรัฐฯ มีเพลงที่พวกเราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีหลายเพลง เช่น Goodbye Yellow Brick Road, Your Song, Tiny Dancer, Rocket Man และ Candle in the Wind
ทอพินบอกว่า เอลตันให้เกียรติเขาตลอดเวลา ระหว่างอยู่ในห้องอัดเสียง ทอพินมักจะไปยืนอยู่ด้านหลัง แต่เอลตันจะกล่าว ชื่นชมเขาทุกครั้ง ในบางครั้ง มีคนกล่าวติดตลกถึงความเป็นเด็กบ้านนอกของทอพิน แต่เอลตันกลับไม่เคยล้อเลียนเขาแม้แต่ครั้งเดียว ที่สำคัญ ในภาพทุกแผ่นอัลบั้มจะมีรูปทอพิน และทอพินจะปรากฎตัวในทุก ๆ ครั้งที่เอลตันเดินสายคอนเสิร์ต จนแฟนเพลงรู้จักเขา มากกว่านักดนตรีในวงเสียอีก
โดยบอกว่า “ผมเล่นคำไม่เก่ง ผมปลดปล่อยความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งความรัก ความเจ็บปวด และ ความโกรธเกรี้ยว ลงในเมโลดี้ แต่ผมมีทอพินคอยแต่งเติมคำให้ หากไม่มีเพื่อนคนนี้แล้ว สิ่งที่ผมได้มาทั้งหมดจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลย” เอลตันอาจจะคบหาคนอื่นด้วยรสนิยมทางเพศที่ตรงกัน แต่ในทางจิตใจคนที่เอลตันรัก ไว้ใจ และต้องการที่สุด ก็ยังคงเป็นทอพิน
ปัจจุบัน ทอพินอายุ 70 ปี ได้รับการจารึกชื่อไว้ในหอเกียรติยศนักแต่งเพลงเมื่อปี 1995 และยังคงทำงานที่ตนเองรัก รวมทั้ง งานด้านศิลปะ ขณะที่เอลตันอายุ 74 ปี ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็น “เซอร์เอลตัน” เมื่อปี 2006 ตัดสินจะเดินสาย เล่นคอนเสิร์ต “Farewell Tour” ไปทั่วโลกกว่า 300 แห่งเมื่อปี 2019 และหลังจากนั้น จะอุทิศเวลาที่เหลือให้กับครอบครัว แต่ คอนเสิร์ตกลับถูกยกเลิกกลางคันจากสถานการณ์โควิด-19
ความรักบริสุทธิ์ (platonic love) ของเอลตันและทอพิน สะท้อนได้อารมณ์จากเนื้อเพลง We All Fall in Love Sometimes ที่ทั้งสองร่วมกันแต่ง ประโยคท่อนหนึ่งจับใจว่า “ควรหรือไม่ควร ฉันไม่แน่ใจ เพราะบางขณะ เราเหมือนอยู่ในที่มืดมิด ดิ้นรนเพื่อ ผ่านไปวัน ๆ แม้แต่เพื่อนรักที่สุดยังทักว่า อย่าหลอกตัวเองเลยเพราะในบางครั้งเราอาจกระโจนตกหลุมรัก” (Did we, didn't we, should we couldn't we. I'm not sure because sometimes we're so blind. Struggling through the day When even your best friend says Don't you find. We all fall in love sometimes”)
การรู้ใจ เข้าอกเข้าใจกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เข้าใจถึงวิญญาณรักบริสุทธิ์ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ในครอบครัวและทุก ๆ คน เพื่อร่วมกันผ่านพ้นภัยโควิด-19 ที่ดูน่ากลัวในช่วงเวลานี้
รณดล นุ่มนนท์
5 พฤษภาคม 2564
แหล่งที่มา:
1/ Alcohol Rhythm. 2021. เอลตัน จอห์น กับปลายทางคือการ (ต้อง) เลิกเหล้า. [online] Available at: <https://alcoholrhythm.com/elton-john/> [Accessed 3 May 2021].
2/ ประชาชาติธุรกิจ. 2021. รักแท้ไร้นิยาม และครึ่งหนึ่งในความสำเร็จของ ELTON JOHN. [online] Available at: < > [Accessed 3 May 2021].
3/ Youtube.com. 2021. Before you continue to YouTube. [online] Available at: < [Accessed 3 May 2021].

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา