
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ฯ ป้องกันปราบปรามการทุจริต ฉบับใหม่ สกัดฟ้องปิดปาก คุ้มครองช่วยเหลือผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูล เบาะแสทุจริต เต็มที่ หากกระทำโดยสุจริต ไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง อาญา วินัย ถ้าโดนให้จนท. ช่วยแก้ต่าง จัดหาทนายความประสานอัยการช่วยว่าความสู้คดีให้ สนับสนุนค่าใช้จ่ายต่อสู้คดี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญในการคุ้มครองช่วยเหลือผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสคดีทุจริตต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กระทำโดยสุจริต จะได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย
ในท้ายพระราชบัญญัติ ฯ ระบุเหตุผลเหตุในการประกาศใช้ คือ โดยที่มาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้ต้องจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลใกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วม ในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้านหรือชี้เบาะแสโดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
แต่โดยที่ปัจจุบันยังขาดกลไกในการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่ผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสส่งพยานหลักฐานหรือแสดงความคิดเห็น แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
อันเป็นเหตุให้บุคคลดังกล่าวอาจถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือถูกดำเนินการทางวินัยจากการดำเนินการดังกล่าว สมควรกำหนดให้มีมาตรการคุ้มครองและช่วยเหลือประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มีจำนวน 7 มาตรา ให้บังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มีสาระสำคัญอยู่ที่การกำหนดให้ผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐานหรือแสดงความคิดเห็นแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
หากได้กระทำโดยสุจริต ผู้นั้นย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เฉพาะส่วนความรับผิดที่เกิดจากการให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูล หรือเบาะแส ส่งพยานหลักฐาน หรือแสดงความคิดเห็นดังกล่าว
ในกรณีถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี หรือถูกดำเนินการทางวินัย ทางแพ่งทางอาญา ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าบุคคลนั้นได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดให้สำนักงานดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไปโดยเร็ว ทั้งการจัดหาเจ้าหน้าที่แก้ต่างให้ การจัดหาทนายความให้หรือการสนับสนุน ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความ การสนับสนุนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี หรือการขอให้อัยการเข้าแก้ต่างให้ โดยให้ประธาน ป.ป.ช. รักษาการตาม พระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
(อ่าน พ.ร.บ.ฉบับเต็มที่นี่) https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/67694.pdf

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา