
‘กนง.’ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% รักษา ‘policy space’ รับมือความไม่แน่นอนสูง คาดเศรษฐกิจปี 68 โต 2.3% ส่วนปีหน้า ขยายตัว 1.7%
.................................
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี ทั้งนี้ 1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.50
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตและการเร่งส่งออกสินค้า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะถัดไป โดยมีความเสี่ยงที่การส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รวมทั้งยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศ ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน ในขณะที่สินเชื่อชะลอลง ส่วนหนึ่งจากความต้องการสินเชื่อที่ลดลงในบางกลุ่มและความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น
คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะถัดไป ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาสามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดี ในการประชุมครั้งนี้ กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้บริบทที่มีความไม่แน่นอนสูงและขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) มีจำกัด ขณะที่กรรมการ 1 ท่านเห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและเอื้อต่อการปรับตัวของกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง
เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 และ 1.7 ตามลำดับ โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ร้อยละ 2.3 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อมูลเศรษฐกิจจริงในไตรมาสที่ 1 และเครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยการส่งออกที่ขยายตัวได้สูงจากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าที่มีการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ส่งผลบวกต่อภาคการผลิตและภาคบริการที่เกี่ยวข้อง
มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงตามแนวโน้มรายได้และความเชื่อมั่นที่ลดลง ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวปรับลดลง แม้รายรับนักท่องเที่ยวยังขยายตัวได้จากค่าใช้จ่ายต่อหัว โดยธุรกิจส่วนหนึ่งยังถูกกดดันจากสินค้านำเข้าและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 และ 2569 คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.5 และ 0.8 ตามลำดับ จากหมวดพลังงานและอาหารสด ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 และ 0.9 ตามลำดับ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ทรงตัวในระดับต่ำเป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก และไม่ได้นำไปสู่ภาวะที่ราคาสินค้าลดลงเป็นวงกว้าง อีกทั้งเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ในระยะข้างหน้า ต้องติดตามความเสี่ยงด้านสูงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อราคาพลังงานโลก
สินเชื่อโดยรวมหดตัว สถาบันการเงินยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะ SMEs และครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำ ประกอบกับความต้องการของภาคธุรกิจที่ลดลงและการชำระคืนหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้านอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินและในระบบสถาบันการเงินปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากปัจจัยภายนอกในทิศทางเดียวกับสกุลภูมิภาค คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามการขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อ ซึ่งอาจมีนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และพร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
@ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 68 โต 2.3% จากเดิม 2%
นายสักกะภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.3% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน (เม.ย.2568) ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2% จากเครื่องชี้เศรษฐกิจและตัวเลขเศรษฐกิจจริงในไตรมาส 1/2568 ที่ขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่เร่งตัวขึ้น จากความไม่แน่นอนในเรื่องนโยบายการค้าของสหรัฐ ในขณะที่ข้อมูลภาคการผลิตในช่วงไตรมาส 1 และ 2 มีทิศทางปรับดีขึ้น จากการเร่งผลิตเพื่อส่งออกและการฟื้นตัวของภาคการผลิต ส่วนการลงทุนที่เดิมคาดว่าจะชะลอตัว ตัวเลขที่ออกมาก็ไม่ได้ปรับลดลงแต่อย่างใด
“จากเครื่องชี้และข้อมูลจริงในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3.1% นั้น ถือว่าดีกว่าที่ ธปท.คาด และเครื่องชี้ในเดือน เม.ย.และ พ.ค. ก็ดีกว่าที่เราคาดเช่นเดียวกัน จึงมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะโตในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2568 ดังนั้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เรามองว่าเศรษฐกิจจะเติบโตประมาณ 2.9% แต่หลังจากนี้ เศรษฐกิจจะชะลอลง เพราะผลกระทบจากเรื่องสงครามการค้าโลกจะเริ่มเข้ามาชัดเจนขึ้น รวมถึงความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆจะมีเพิ่มขึ้น
และทำให้เห็นการโน้มลงของจีดีพี ซึ่งเรามองว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เศรษฐกิจจะโตน้อยลง โดยเฉพาะโมเมนตัมเทียบเป็นไตรมาสต่อไตรมาสจะลดลงค่อนข้างแรง หรือเติบโตเพียง 0.1% ทำให้ทั้งปี 2568 เศรษฐกิจจะโต 2.3% และการชะลอตัวของเศรษฐกิจดังกล่าว จะมีผลต่อเนื่องและทำให้เศรษฐกิจปีหน้าจะโตต่ำกว่าปีนี้ โดยเราคาดว่าเศรษฐกิจปี 2569 จะขยายตัวที่ 1.7% ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวที่ค่อนข้างเยอะพอสมควร” นายสักกะภพ กล่าว
ทั้งนี้ ธปท.ประเมินว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 จะขยายตัวที่ 10.9% และในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 การส่งออกจะติดลบ 2.9% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 การส่งออกขยายตัว 3.8% และปี 2569 คาดว่า การส่งออกไทยจะติดลบ 1.5% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ 35 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 4.4 ล้านคน และปี 2569 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 38 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีน 6 ล้านคน


นายสักกะภพ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 ไม่น่าจะเติบโตต่ำกว่า 2% แต่หากเศรษฐกิจจะเติบโตต่ำกว่า 2% นั้น จะต้องเกิด technical recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค) หรือการเติบโตของเศรษฐกิจไทยติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาส ซึ่งในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเคยเกิด technical recession 4 ครั้ง ได้แก่ ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ,วิกฤตการเงินโลกปี 2008 ,ความไม่สงบทางการเมืองในช่วงปลายปี 2556-ต้นปี 2557 และช่วงวิกฤตโควิด
“ช็อกแต่ละช่วงค่อนข้างใหญ่ และส่วนใหญ่จะมีช็อกจากต่างประเทศเข้ามาด้วย อย่าง global recession หรือ US recession ซึ่งตอนนี้เรายังไม่เห็นแบบนั้น และจากเครื่องชี้ในช่วงที่ผ่านมา เรายังไม่เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจชะลอลงไปแรงมาก เพราะฉะนั้น ถ้าเราดูในแง่คณิตศาสตร์ ถ้าเรายืนโมเมนตัมว่าเศรษฐกิจไม่โตเลยในช่วงไตรมาส 3 และ 4 เศรษฐกิจก็จะโต 2.2% และเศรษฐกิจจะต้องติดลบ 0.3% ถึงจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้โตต่ำกว่า 2%” นายสักกะภพ กล่าว

นายสักกะภพ กล่าวด้วยว่า ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงนั้น มีพิจารณาในรายละเอียดแล้ว พบว่าส่วนหนึ่งจะมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงอุปทาน โดยผู้ประกอบการรายเล็กและ SMEs ต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน เช่น อุปทานส่วนเกิน (oversupply) โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร ,ปัญหาการทะลักของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ (import flooding) และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายใหญ่
“ในภาคการค้าปลีก แม้ว่าจะยังเติบโตอยู่ โดยเติบโตใกล้เคียงเดิม คือ 2-3% แต่ถ้าไปดูจะเห็นว่าคนที่โต คือ รายใหญ่ เช่น ไฮเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ รายใหญ่ต่างๆ เติบโต 9.6% ส่วน SMEs ที่เป็นยี่ปั้ว ซาปั้ว โตติดลบ 7.1% แน่นอนว่า SMEs มีมากกว่าและเกี่ยวข้องกับคนมากกว่า ทำให้คนรู้ไม่ดีเยอะกว่า จึงต้องมีมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลปัญหาให้ตรงจุด” นายสักกะภพ กล่าว


@ไม่มีความเสี่ยงเกิดภาวะ‘เงินฝืด’-เกาะติด 3 ปัจจัยเสี่ยง
นายสักกะภพ กล่าวว่า ในด้านอัตราเงินเฟ้อนั้น ธปท.คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 จะอยู่ที่ 0.5% และปี 2569 อยู่ที่ 0.8% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 1% และปี 2569 อยู่ที่ 0.9% ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ต่ำกว่ากรอบล่างของเป้าหมาย มาจากปัจจัยด้านอุปทาน และไม่เห็นสัญญาณการปรับลดลงของราคาสินค้าในวงกว้าง รวมถึงความเสี่ยงการเกิดภาวะเงินฝืด (deflation risk) อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าบางประเภทที่ประชาชนบริโภคเป็นประจำปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“เงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยหลักๆมาจากด้านอุปทาน ดังนั้น บทบาทของนโยบายของการเงิน ในการปรับเรื่องอุปทาน คงมีไม่ได้มากนัก” นายสักกะภพ กล่าว

สำหรับภาวะการเงินนั้น สินเชื่อโดยรวมยังคงหดตัวต่อเนื่อง และติดลบต่อเนื่องมาแล้ว 4 ไตรมาส จากความเสี่ยงที่สูงขึ้นของลูกหนี้บางกลุ่ม อาทิ SMEs ประกอบกับภาคธุรกิจบางกลุ่มมีความต้องการสินเชื่อลดลงและชำระหนี้เพิ่มขึ้น อีกทั้งสถาบันการเงินเองระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามและเฝ้าระวังคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะคุณภาพสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัย
“การลดดอกเบี้ยที่ผ่านมานั้น ก็ช่วยลดต้นทุนได้ระดับหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นต้นทุนที่ลดลงไปให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนต้นทุนธุรกิจขนาดเล็กแม้จะลดลงเช่นกัน แต่ลดลงน้อยกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่ม SMEs มี credit risk มากกว่าและมีความเสี่ยงสูงกว่า ซึ่งการแก้ปัญหาตรงนี้ จะต้องเข้าไปดูในเรื่อง credit risk และความสามารถของภาคธุรกิจในการขายสินค้าภายใต้ภาวะ import flooding ที่เข้ามา” นายสักกะภพ กล่าว


นายสักกะภพ ยังกล่าวว่า ตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา กนง.ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง ก็ช่วยในเรื่องการลดต้นทุนทางการเงินได้บ้าง และในแง่การส่งผ่านนโยบาย คงต้องรอการประเมินอีกระยะหนึ่ง เพราะการลดดอกเบี้ยนั้น ผลจะมีเต็มที่ในช่วง 3-4 ไตรมาสข้างหน้า ฉะนั้น จึงต้องประเมินว่า ผลของนโยบายการเงินที่ยังค้างท่ออยู่บ้างจะมีมากน้อยเพิ่มเติมเพียงใด
“กรรมการฯส่วนใหญ่ที่ให้คงดอกเบี้ย ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายว่า ถ้าจะมีการปรับเปลี่ยน ต้องการจะลดดอกเบี้ย จะต้องดูจังหวะเวลาที่มีประสิทธิผลสูงสุดว่าเป็นอย่างไร เพราะเราเองไม่ได้มีกระสุนเหลือเยอะ จึงจ้องดูว่า policy space ที่มีอยู่จะใช้อย่างไร และคณะกรรมการฯ ก็พร้อมปรับนโยบาย ถ้าเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในระยะต่อไป ได้แก่ 1.การขยายตัวและคุณภาพสินเชื่อ ซึ่งต้องติดตามว่าพฤติกรรมของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจหรือไม่ 2.ผลกระทบของสงครามการค้า ซึ่งในครั้งนี้ ธปท.ตั้งสมมติฐานว่า สหรัฐฯมีการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศไทยไว้ที่ 18% ในขณะที่ประเทศอื่นๆอยู่ที่ 10% และจีนอยู่ที่ 30% และ 3.ความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยภายในประเทศ


เมื่อถามว่า สถานการณ์แบบใด จึงจะเห็นการลดดอกเบี้ยนโยบาย นายสักกะภพ กล่าวว่า “ถามว่า เมื่อเรามองว่าเศรษฐกิจลดลง ปีหน้าอยู่ที่ 1.7% แต่ทำไมไม่ลดดอกเบี้ย สิ่งที่เราต้องการจะสื่อ คือ แน่นอนว่าเรามองว่า ภาพเศรษฐกิจชะลอลง และมองไว้ตั้งแต่คราวที่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมามอง แต่พอดีว่า ครั้งนี้ตัวเลขจริงออกมาดีกว่าที่เราคาด ทำให้เราต้องปรับขึ้นตัวเลข (เศรษฐกิจ) ทั้งปี
และเมื่อไปดูว่าเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มโตชะลอลงมาจากอะไร แล้วดอกเบี้ยสามารถที่จะทำงานได้มากน้อยแค่ไหน ก็จะโยงไปที่ประสิทธิภาพของตัวดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัญหาเรื่องการส่งออก นโยบายการค้า และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้านำเข้า เรื่องโอเวอร์ซัพพลายและต้องมีการปรับตัว ผมคิดว่าดอกเบี้ยเองก็มีบทบาทจำกัดว่า จะทำได้มากน้อยแค่ไหน สิ่งที่ดอกเบี้ยจะทำได้ คือ ถ้าเห็นว่าเศรษฐกิจหดตัวมากกว่า และมาจากตัวที่เป็นดีมานด์มีส่วนร่วมเข้ามาเยอะๆ หรือภาวะการเงินตึงตัวมากกว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน อันนั้นบทบาทของดอกเบี้ยก็จะมีเข้ามาได้"
ส่วนปัจจัยทางการเมืองจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือไม่ นั้น นายสักกะภพ ระบุว่า ในการจัดทำประมาณการเศรษฐกิจครั้งนี้ ธปท.ไม่ได้นำปัจจัยดังกล่าวไปรวมไว้ในกรณีฐาน (base line) เนื่องจากยังไม่ทราบว่าพัฒนาการต่างๆ จะดำเนินไปอย่างไร แต่หากมีเหตุการณ์เช่นเดียวกับในปี 2566 ซึ่งการจัดทำงบประมาณล่าช้า ก็จะมีผลกระทบในแง่ของการเลื่อนการเบิกจ่าย แต่จะมีการเร่งเบิกจ่ายในระยะต่อไป อย่างไรก็ดี ในการจัดทำประมาณการเศรษฐกิจดังกล่าว ธปท. ได้รวมปัจจัยเม็ดเงินภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งก้อน คือ 1.57 แสนล้านบาท ของรัฐบาล เอาไว้ทั้งหมดแล้ว
อ่านประกอบ :
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75%-'เทรดวอร์'ส่อฉุดGDPปี 68 เหลือ 1.3-2%
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา