‘ส.ก.’ รุมซัก ‘ชัชชาติ’ หนี้สายสีเขียว จับตา ‘กทม.-คมนาคม’ คุยใหม่ชดเชย 20 บาทตลอดสาย

เขียนวันที่

วันเสาร์ ที่ 19 กรกฎาคม 2568 เวลา 10:30 น.

เขียนโดย

isranews

Hits

1290 views

Liang180768 Cover4

2 ส.ก.รุมซัก ‘ชัชชาติ’ หนี้สายสีเขียว หลังหนี้เพียบ 3.5 หมื่นล้าน ‘ผู้ว่าฯ’ โต้จ่ายไป 3.8 หมื่นล.แล้ว ขณะที่ปัญหารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เตรียมถก ‘คมนาคม’ รื้อตัวเลขชดเชยสายสีเขียวใหม่

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 19 กรกฎาคม 2568 นายนภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้เสนอญัตติขอให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) รายงานความคืบหน้าการดำเนินการชำระหนี้ ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช - แบริ่งและช่วงกรุงธนบุรี - บางหว้า และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง - เคหะสมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคตในส่วนที่ค้างชำระ

นายนภาพล กล่าวว่า จนถึงตอนนี้ค่าจ่างเดินรถและค่าซ่อมบำรุงที่มีภาระหนี้ตั้งแต่ กทม. เข้ามาดำเนินการมีหนี้ที่ค้างชำระค่อนข้างมาก ถึงจะมีการจ่ายบางส่วนไปแล้ว นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ในสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า จะนำไปพิจารณาว่าการเร่งรัดจ่ายหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย 5.4 ล้านบาท/วัน จะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ เบื่องต้นจะทยอยจ่ายทีละงวด

Ling310765 3

@ยังไม่จ่ายกว่า 3.5 หมื่นล.

นายนภาพล ชี้แจงว่า หนี้ของกทม.นั้น ก้อนแรกที่ชำระไปแล้วตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด จำนวน 14,476,884,201.60 บาท ส่วนหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระรวม 35,158 ล้านบาท ต่อมาหนี้ก้อนที่ 2 ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (E&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ที่ยังไม่ชำระถูกศาลสั่งฟ้องอยู่ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2564 – ตุลาคม 2565 ขณะนี้ต้องชำระเงินต้น 10,127 ล้านบาท ดอกเบี้ย 8% รวมต้องชำระ 12,345 ล้านบาท ส่วนหนี้ค่าจ้างเดินรถและค่าซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 (พฤศจิกายน 2565 – ธันวาคม 2567) ที่ถึงกำหนดแล้วแต่ยังไม่ได้ฟ้อง มีหนี้ค้างชำระอยู่ 14,235 ล้านบาท รวมดอกเบี้ย 15,499 ล้านบาท และหนี้ในอนาคตจากประมาณการค่าจ้าง 6,248 ล้านบาท หากไม่ชำระตามสัญญาจะต้องเสียดอกเบี้ย 8% เช่นกัน ส่วนภาระดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งหมด 1,066,515,222 บาท หากเรายังไม่ชำระหนี้นั้นดอกเบี้ยจะทวีคูณขึ้นไปอีก

@ตั้งข้อสังเกต 2 สัญญาที่อยู่ ป.ป.ช. ไม่มีปัญหาแล้ว

นายนภาพล กล่าวต่อว่า ประเด็นยอดหนี้ดอกเบี้ยศาลปกครองสูงสุด พิพากษาว่าเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องที่ 2 (บจ.กรุงเทพธนาคม) ไม่ชำระหนี้ ผู้ถูกฟ้อง 2 ตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้แล้วโดยมิพักต้องเตือน ดังนั้นการคำนวณดอกเบี้ยจึงเริ่มคำนวณถัดจากวันที่ 20 ของเดือน ถัดไป ผู้ฟ้องมีสิทธิที่จะคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่กำหนดในสัญญาเงื่อนไขในการขอพิจารณาคดีใหม่ตามกฎหมายปกครอง ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาลที่จะรับหรือไม่รับคำร้อง ส่วนเงื่อนไขการจะขอพิจารณาคดีใหม่ได้นั้น ต้องมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีข้อเท็จจริงใหม่ที่สำคัญซึ่งอาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนไป เช่น มีเอกสารหลักใหม่ที่เป็นสาระสำคัญ ซึ่งไม่สามารถนำมาแสดงต่อศาลได้ในครั้งแรก หรือมีข้อผิดพลาดในการพิจารณาคดี หรือมีการทุจริตในการพิจารณาคดีของศาล ศาลจะพิจารณาคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่โดยละเอียด หากเห็นว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีข้อเท็จจริงใหม่ที่สำคัญ ศาลอาจมีคำสั่งให้รับคดีขึ้น พิจารณาคดีใหม่ได้ แต่หากเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ ศาลก็จะยกคำร้อง

นายนภาพล กล่าวว่า คำถามคือหนี้ที่เกิดขึ้นจากสัญญาทั้งสองฉบับที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่าชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับทาง กทม. ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และได้นำค่าโดยสารส่วนต่อขยายที่ 1 มาชำระค่า E&M หลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว แสดงว่า กทม. ยอมรับว่าสัญญาที่มีอยู่ชอบด้วยกฎหมาย แต่หากเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ไม่สามารถจ่ายได้ เหตุใดทาง กทม. จึงไม่เสนอของบประมาณเพื่อชำระหนี้ในส่วนต่อขยายที่ 1 ทั้งหมด

ส่วนหนี้ค่าจ้างเดินรถและค่าซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 2 กทม. ชำระหนี้ให้ BTS ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ก็จะเห็นได้ชัดว่า กทม. รับว่าสัญญาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน อีกทั้งส่วนต่อขยายที่ 2 ก็ไม่มีปัญหาเรื่องการถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลแต่อย่างใด ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ออกประกาศเรื่องการกำหนดค่าโดยสาร ส่วนต่อขยายที่ 2 โดยกำหนดในอัตราคงที่ 15 บาท ตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 ทำให้มีรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสารที่ผู้รับจ้าง (BTS) ส่งให้กรุงเทพมหานครประมาณเดือนละ 100 ล้านถึงปัจจุบันประมาณ 1,800 ล้านบาท เงินค่าโดยสารที่เก็บได้มีเหตุผลใดไม่นำมาชำระค่าจ้างเดินรถและค่าซ่อมบำรุงจะได้ลดภาระดอกเบี้ย

ในเรื่องการแก้ไขปัญหาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว นายนภาพล กล่าวว่า ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องคิดให้ดีว่าหากสู้จนถึงแพ้คดีอีกครั้ง ซึ่งไม่แน่ว่าจะจบในปีนี้หรือไม่ และต่อไปอาจจะมีคดีใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ ดอกเบี้ยวันละ 4.5 ล้านบาท กับดอกเบี้ยที่เกิดในปัจจุบัน ในอนาคตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไว้เช่นนี้ กทม. เสียหาย

ด้านนายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก. เขตจอมทอง กล่าวว่า สัญญาที่ กทม. จ้างบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) เดินรถ เงินค่าโดยสารที่ได้มาสามารถนำไปใช้ในกิจการเดินรถเท่านั้น และหากการจัดเก็บค่าโดยสารไม่พอ ต้องตั้งงบประมาณมาจ่ายให้ครบ ขณะนี้ปัญหาคือจัดเก็บค่าโดยสารไม่พอและไม่ได้ขอจัดสรรงบประมาณมาให้ครบ ทำให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“น่าเป็นห่วงว่ากทม.ได้จ่ายค่าจ้างเดินรถให้BTSหรือยัง ถ้าBTSขาดสภาพคล่อง ไม่มีงบในการเดินรถ จะทำอย่างไร ประกอบกับดอกเบี้ยที่ยังคงเดินอยู่ทุกวันนี้เป็นจำนวนที่สูงน่ากลัวมาก จึงขอให้ฝ่ายบริหารเร่งดำเนินการ”

Liang180768 2.0

นภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย

Liang180768 2.1

สุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก. เขตจอมทอง

@จ่ายไป 38,000 ล้านแล้ว

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงว่าไม่ได้ละเลย ที่ผ่านมาเราชำระหนี้ไป 38,000 ล้านบาทแล้ว ต้องย้ำว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนที่พวกเราเข้ามา ดังนั้นการไม่จ่ายเงินเลยต่อเนื่องมา ส่วนข้อมูลที่มีการอภิปรายมาก็ขอให้บันทึกในรายงานการประชุมเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในอนาคต และต่อไปก็ต้องมีคนเข้ามาสอบสวนละเอียด เบื้องต้นเข้าใจว่าได้มีการชำระไปแล้ว 2 ส่วน เราพยายามลดหนี้ แต่ก็ต้องระวังเพราะยังมีคดีอยู่ในศาล อาจจะถูกอ้างได้ว่าสัญญามีผล ส่วนสัญญาจะเป็นโมฆะหรือไม่ เราไม่มีอำนาจตัดสิน เพราะหลายเรื่องมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาเราไปเจรจาก่อนและเร่งจ่ายเงินซึ่งเราก็ทำ เราไม่ได้หยุดนิ่งมีการทำหนังสือหลายๆ หน่วยงาน ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งเฉยแต่จะต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบ

@รอนัด ‘คมนาคม’ ถกชดเชย 20 บาทตลอดสาย

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ในส่วนการทำนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล (ระยะที่ 2) ในส่วนที่ กทม.รับผิดชอบนั้น สำหรับนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ถูกลง ซึ่ง กทม.ไม่มีข้อขัดข้องใด

ทั้งนี้ กทม.มีข้อสำคัญอยู่ 2 ประเด็น คือ ส่วนของสัมปทานของเอกชนที่มีสัญญาอยู่ จะมีเรื่องค่ารายได้ หรือการชดเชยรายได้ที่หายไป จะต้องทำอย่างไร ตัวเลขที่กระทรวงคมนาคมประมาณการมาอาจดูน้อยเพราะปัจจุบันค่าโดยสารเฉลี่ยในส่วนสัปทานจะอยู่ที่ 34 บาทต่อคน มีผู้โดยสารประมาณ 7 แสนคน และอาจเพิ่มขึ้น จึงต้องไปพูดคุยในรายละเอียดส่วนต่างเรื่องตัวเลขอีกครั้ง

อีกส่วนคือ กทม.จ้างเอกชนเดินรถอยู่ก็ต้องดูว่าจะชดเชยอย่างไร เพราะมีตัวเลขต้นทุนที่แท้จริงที่ กทม.จ้างเอกชนเดินรถอยู่ประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี แต่มีรายรับประมาณ 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในอนาคตคงต้องมีการปรับอัตราค่าโดยสารขึ้นอยู่แล้ว เพราะว่าปัจจุบันต้นทุนกับรายได้ไม่สอดคล้องกัน ดังนั้นจะมีการชดเชยเท่าไรก็ต้องให้เกิดความยุติธรรม

ผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า จึงต้องคุยรายละเอียดกัน เบื้องต้นได้แจ้งทางกระทรวงคมนาคมไปแล้ว ขณะนี้รอนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เรียก กทม.เข้าไปพูดคุยในรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง รวมถึงตัวเลขที่ต้องคำนวณให้ชัดเจน

"สิ่งที่เราเป็นกังวลเล็กน้อย ก็คือเรื่องสัญญาต่างๆ ระหว่าง เอกชนกับ กทม. ซึ่งต้องคุยให้ชัดเจน เพราะสุดท้าย หากตกลงเรื่องค่าชดเชยไม่ได้ กทม.ก็อาจจะถูกฟ้อง เราไม่ได้ขัดข้อง ยินดีทำตามนโยบาย เพียงแต่ขอให้ทำรายละเอียดให้ชัดเจน เพราะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เพียงแค่หน่วยงานรัฐ ยังมีหน่วยงานของเอกชนด้วย ซึ่งการพุดคุยเรื่องค่าชดเชยคงต้องคุยกัน 3 ฝ่าย ทั้งคมนาคม กทม.และเอกชน เบื้องต้นน่าจะได้พูดคุยกันในเร็ว ๆ นี้" นายชัชชาติ กล่าว

อ่านประกอบ

#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage

หมวดหมู่
ข่าว | Isranews
Tags
บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) | กรุงเทพมหานคร | BTS | รถไฟฟ้าสายสีเขียว | กทม.