
ปปง. มีคำสั่งยึด อายัดทรัพย์สิน เงินสด 6 หมื่นบาท คดี จนท.อำเภอเชียงดาว - พวก สวมบัตรประชาชนให้หญิงสาวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน พ่อแม่เป็นคนสัญชาติจีน เรียกเก็บเงิน 7.3 แสน ทำเป็นขบวนการ กำนันร่วมเป็นคนเดินเรื่องพาไปติดต่อที่ว่าการ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.248 /2567 ลงวันที่ 5 กันยายน 2566 เรื่อง รายงานความผิดมูลฐาน ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่ง หน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา นายเพิ่มเกียรติ (ปกปิดชื่อสกุล) เจ้าหน้าที่นายทะเบียนที่ว่าการอำเภอเชียงดาว กับพวก กล่าวคือ เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจพบว่า นางสาวหย่งอุ้ย ซึ่งมาแจ้งความร้องทุกว่า Mr.HAIBO นายไฮโบ บุคคลสัญชาติจีนถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ เป็นผู้สวมบัตรประจำตัวประชาชนสัญชาติไทยของนางสาวอลิศรา ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2546 เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงดาว ให้ดำเนินคดีกับนางสาวหย่งอุ้ย กับพวก จากการสืบสวนพบว่า นางสาวหย่งฮุ้ย ติดต่อ นายอาเบ กำนันต.เมืองนะ อ.เชียงดาว เพื่อติดต่อให้ดำเนินการออกบัตรประชาชนโดยมิชอบ ต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ 2 ครั้ง เป็นเงินรวม 730,000 บาท ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 พิพากษาว่านายเพิ่มเกียรติกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์โดยมิชอบ ทั้งนี้้ทรัพย์ที่ ปปง.มีคำสั่งยึดและอายัด จำนวน 1 รายการ พร้อมดอกผล คือ เงินสด จำนวน 60,000 บาท รายละเอียดดังนี้
เปิดรายละเอียดคำสั่งยึดอายัดทรัพย์
คำสั่งของคณะกรรมการธุรกรรม มีรายละเอียดดังนี้
คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย. 11 /2564 เรื่อง ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับรายงาน จากสถานีตำรวจภูธรเชียงดาว ตามหนังสือที่ ตช 0020 (ชม).4 (10)32/2739 ลงวันที่ 5 กันยายน 2566 เรื่อง รายงานความผิดมูลฐาน ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่ง หน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา
กล่าวคือ เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจพบว่า นางสาวหย่งอุ้ย ซึ่งมาแจ้งความร้องทุกว่า Mr.HAIBO นายไฮโบ บุคคลสัญชาติจีนถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ เป็นผู้สวมบัตรประจำตัวประชาชนสัญชาติไทยของนางสาวอลิศรา ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2546 เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงดาว ให้ดำเนินคดีกับนางสาวหย่งอุ้ย กับพวก ตามคดีอาญาเลขที่ 1517/2565
จากการสืบสวนพบว่า นางสาวหยั่งฮุยเป็นผู้ถือบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน มีบิดาและมารดาเป็นคนสัญชาติจีน ได้ติดต่อกับนายอาเบ กำนันตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว เพื่อติดต่อให้ดำเนินการออกบัตรประจำตัว ประชาชนให้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 นายอาเบ ได้นำนางสาวหย่งอุ้ยมาทำบัตรประจำตัวประชาชนที่ว่าการอำเภอเชียงดาว มีนายเพิ่มเกียรติ เป็นนายทะเบียน และมีนายอมรเทพ ผู้ขอมีบัตรประจำตัวประชาชนของนางสาวอลิศรา เป็นผู้เขียนเอกสารบันทึกคำให้การของ และเป็นผู้ลงนามรับรองในหนังสือรับรอง การปกครองบุตร (ปค.14)
โดยก่อนเข้าทำบัตรประจำตัวประชาชนนายอาเบได้ให้นางสาวหย่งอุ้ย โอนเงินมาให้ จำนวน 250,000 บาท และหลังจากทำบัตรประจำตัวประชาชนเสร็จแล้วให้โอนมาให้อีก 480,000 บาท ซึ่งการโอนเงินทั้งสองครั้งดังกล่าว นางสาวหย่งซุ้ย เป็นผู้โอนเงินมาให้ทั้งสองครั้ง
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่า นายสมศักดิ์ และนายธวัช และนายวาเซ นายสุลอย ร่วมกระทำความผิดในครั้งนี้ด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ในคดีหมายเลขดำที่ อท 16/2566 หมายเลขแดงที่ อท 58/2566 และเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 5 ในคดีหมายเลขดำที่ อท 32/2566 หมายเลขแดงที่ อท 22/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท 42/2566 หมายเลขแดงที่ อท 23/2567 พิพากษาว่า การกระทำของนายเพิ่มเกียรติ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือ ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการ อย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ ส่วนผู้กระทำความผิดคนอื่นให้ลงโทษฐาน เป็นผู้สนันสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว อันเข้าลักษณะเป็นความผิด ตามมาตรา 3 (5) แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า นายเพิ่มเกียรติ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 12/2566 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ที่ประชุมมีมติมอบหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม 769/2566 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2566 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ การกระทำความผิด รายนายเพิ่มเกียรติ กับพวก
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการ ตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฏหลักฐาน เป็นที่เชื่อได้ว่า นายเพิ่มเกียรติ กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดต่อตำแหน่ง หน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ตามมาตรา 3 (5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐาน หรือความผิดฐานฟอกเงิน
และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 1 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ เป็นสังหาริมทรัพย์ ประเภทเงินสด อันเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสามารถปกปิด ซ่อนเร้น หรือโอนเปลี่ยนมือได้โดยง่าย หากมิได้ มีการออกคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สิน ดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่านายเพิ่มเกียรติ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการ กระทำความผิดและอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุม ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 1 รายการ พร้อมดอกผล คือ เงินสด จำนวน 60,000 บาท (หกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ครอบครองหรือเจ้าของกรรมสิทธิ์ นายสมศักดิ์ (ณ วันที่ 6 มกราคม 2566) มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรม มีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 21 มิถุนายน 2568
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
ในกรณีผู้ซึ่งถูกยึดทรัพย์สินตามคำสั่งนี้หรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินดังกล่าว ประสงค์ จะขอให้มีการเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์สินดังกล่าวนั้น ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมด้วยหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่แสดงว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดดังกล่าวนั้น มิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือ อนึ่ง การยักย้าย ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรืออายัดไว้หรือที่ตนรู้หรือควรรู้ว่าจะตกเป็นของแผ่นดิน อาจมีความผิดทางอาญา และต้องระวางโทษตามนัยมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 สั่ง ณ วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา