
‘แบงก์ชาติ’ ออกมาตรการ จำกัด ‘ยอดโอน-ชำระเงิน’ ผ่าน ‘mobile banking-internet banking’ กำหนด 'เด็ก-คนแก่' โอนเงินได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท/วัน หลังพบมูลค่าความเสียหาย เคส ‘เหยื่อ’ โดนหลอกให้โอนเงินเอง ยังสูงถึง 2 พันล้านบาท/เดือน
..........................................
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน ว่า แม้ว่าที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกมาตรการต่างๆเพื่อป้องกันภัยทุจริตทางการเงิน ซึ่งมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาได้ค่อนข้างมาก โดย ณ เดือน ก.ค.2568 มีการระงับบัญชีม้า 2.8 ล้านบัญชี และรายชื่อม้า 1.97 แสนรายชื่อ ในขณะที่เคสแอปพลิเคชันดูดเงินเหลือ 0 เคส
แต่ปรากฏว่า ยังเกิดเหตุจำนวนมากที่เหยื่อถูกหลอกให้โอนเงินเอง โดยล่าสุด ณ ไตรมาส 2/2568 มูลค่าความเสียหายกรณีการถูกหลอกให้โอนเงินเอง อยู่ที่ 5,651 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 2,000 ล้านบาท และแม้ว่ามูลค่าความเสียหายดังกล่าว จะลดลงจากในช่วงไตรมาส 2/2567 ที่มีมูลค่าความเสียหาย 8,590 ล้านบาท แต่ก็ต้องถือว่ามูลค่าความเสียหายฯยังอยู่ในระดับที่สูง
โดยกรณีการถูกหลอกให้โอนเงินเองนั้น รูปแบบการหลอกลวงที่มีมูลค่าความเสียหายสูงสุด 4 อันดับแรก ไม่นับการกรณีซื้อสินค้าแต่ไม่ได้สินค้า หรือได้สินค้าไม่ตรงปก ได้แก่ 1.การหลอกให้ลงทุน 2.การหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 3.การหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษ และ 4.การข่มขู่ทางโทรศัพท์ แล้วหลอกให้โอนเงิน โดยเฉพาะในเดือน มิ.ย.2568 มีจำนวนความเสียหาย 24,500 เคส ความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท และยอดโอนสูงสุด 4.9 ล้านบาท/ครั้ง
“เมื่อเจาะลึกลงไป ธุรกรรมที่ (มิจฉาชีพ) โอนเงิน หลังจากหลอกเงินเหยื่อมาได้แล้ว มูลค่าโอนที่สูงกว่า 5 หมื่นบาท มีประมาณ 22% ของธุรกรรมทั้งหมด หรือ 1 ใน 5 แต่คิดเป็น 76% หรือ 3 ใน 4 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด และเมื่อเอาข้อมูลมาเจาะลึกลงไปอีก พบว่า เงินครึ่งหนึ่ง มิจฉาชีพจะโอนออก เมื่อได้รับมาแล้ว ภายใน 3 นาที และภายใน 1 ชั่วโมง จะหายไป 80% ในขณะที่เหยื่อจะรู้ตัวแล้วโทรมาแจ้งข้อมูลกับตำรวจจะอยู่ที่ 19-25 ชั่วโมง หรือเกือบ 1 วัน
คือ กว่าเหยื่อจะรู้ตัว ไม่ใช่ทันทีทันใด แต่โจร เมื่อได้เงินปั๊บ จะโอนเงินออกทันทีทันใด ฉะนั้น โอกาสที่เราจะกักเงินได้เร็ว เพราะว่าคนมาแจ้งความ แล้วเรารู้ว่าบัญชีนี้เป็นบัญชีม้าและกักเงินไว้ มันก็ลดน้อยลงไปเยอะ แล้วถ้าไปดูแต่ละกลุ่มตามช่วงอายุ ค่าเฉลี่ยความเสียหายจะสูงขึ้นตามอายุ โดยจากข้อมูลสะสมในช่วง 3 ปี 3 เดือน (1 มี.ค.2565-30 มิ.ย.2568) พบว่าคนสูงอายุ ความเสียหายต่อเคสจะอยู่ที่ 4 แสนบาท แล้วลดหลั่นลงมา” น.ส.ดารณี กล่าว




น.ส.ดารณี ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกประกาศมาตรฐานและมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับสถาบันการเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 8 ส.ค.3568 โดยเนื้อหาของประกาศฉบับนี้ มีทั้งส่วนที่นำหลักเกณฑ์ที่มีผลบังคับใช้อยู่แล้วในปัจจุบัน เช่น มาตรการจัดการบัญชีม้า และส่วนที่กำหนดเพิ่มเติมเพื่อทำให้เนื้อหาหลักเกณฑ์มีความครอบคลุมเพียงพอ เช่น การแจ้งเตือนลูกค้ากรณีมีเงินออกจากบัญชี เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ด้วยรูปแบบและพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไปต่อเนื่อง ทำให้ความเสียหายจากภัยทุจริตทางการเงิน แม้มีแนวโน้มลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง
ในครั้งนี้ ธปท. จึงร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย ในการยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า (Customer Profiling) เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกัน และจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“เราร่วมกันคิดว่า มีอะไรที่เราจะช่วยป้องกันได้อีก เราก็มองว่า การที่เขา (มิจฉาชีพ) โอนเงินเร็ว และการที่เราจะกักเงินได้เร็ว ทำอะไรได้อีกบ้าง จึงเป็นที่มาว่า เราอยากดำเนินในส่วนนี้เพิ่มเติม เพื่อที่ว่า ถ้าม้ามาใช้บัญชีเหล่านี้เป็นอาวุธในการโอนเงิน จะไม่สามารถโอนไปได้เยอะ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเหยื่อโดนจะช่วยจำกัดความเสียหายไว้ได้ ซึ่งเราเรียกมาตรการนี้ว่า Customer Profiling” น.ส.ดารณี กล่าว
ด้าน นางอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการ Customer Profiling มีเป้าหมายหลัก คือ (1) จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน
และ (2) จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
“พอม้าโอนออกเร็ว แต่เหยื่อรู้ตัวช้า หากเรารอให้เหยื่อรายงานข้อมูล แล้วเราก็ตามเส้นเงิน และหาทางกั้นเงินไว้ ก็จะช้าเกินไป จึงต้องมีกระบวนการท่าใหม่ เพื่อมาขวาง แม้ว่าเหยื่อยังไม่รู้ตัว เราก็อาจจะต้องขวางไม่ให้เงินออกไปได้ง่าย หลักการ คือ ตั้งแต่วันที่เรายังไม่รู้ว่ามีความเสียหายเกิดขึ้น เราจะมีการกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวัน เช่น วันหนึ่งควรโอนได้ไม่เกินเท่าไหร่ ซึ่งจะกำหนดให้เหมาะสมกับการใช้งานและพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน” นางอรมนต์ ระบุ
สำหรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า (Customer Profiling) นั้น หากเป็นลูกค้าที่เข้าข่าววงเงิน S คือ 1.ลูกค้ากลุ่มเสี่ยงต้องสงสัยว่ามิจฉาชีพ 2.ลูกค้าที่สถาบันการเงินรู้จักน้อย 3.ลูกค้าปัจจุบันที่มีข้อมูลและพฤติกรรมการใช้งานไม่เกิน 50,000 บาท/วันอยู่แล้ว และ 4.กลุ่มลูกค้าเปราะบางที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ คือ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป สถาบันการเงินจะกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันไม่เกิน 50,000 บาท/วัน
ส่วนลูกค้าที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายเกิน 50,000 บาท และสถาบันการเงินมีข้อมูลรู้จักลูกค้า รวมทั้งอาจมีการพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น เงินเดือนและสินทรัพย์นั้น สถาบันเงินจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันเป็นกลุ่ม M หรือ L โดยหากถูกจัดเป็นลูกค้ากลุ่ม M จะกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันไว้ที่ไม่เกิน 200,000 บาท/วัน แต่หากถูกจัดเป็นลูกค้ากลุ่ม L จะกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันไว้ที่มากกว่า 200,000 บาท/วันได้



นางอรมนต์ ระบุว่า ในการนี้ ธปท. ได้กำหนดให้ธนาคารต้องมีแนวทางลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อลูกค้าด้วย เช่น มีกระบวนการรองรับกรณีลูกค้ามีความจำเป็นฉุกเฉินต้องโอนเงินหรือชำระเงินสูงกว่าวงเงินต่อวันที่โอนได้ โดยให้ธนาคารดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวกับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ mobile banking หรือ internet banking ภายในสิ้นเดือน ส.ค.2568 และกลุ่มลูกค้าปัจจุบันภายในสิ้นปี 2568



อ่านประกอบ :
แพร่ประกาศ‘ธปท.’วางหลักเกณฑ์ป้องกัน‘สวมรอย’ทำธุรกรรม‘โมบายแบงก์กิ้ง’-สกัด‘บัญชีม้า’
ธปท.ยกระดับจัดการ‘บัญชีม้า’ ปิดกั้นโอนเงินเข้ากลุ่ม‘ดำ-เทาเข้ม’เริ่ม 31 ม.ค.นี้
'แบงก์พาณิชย์'แลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามธนาคาร ระงับบัญชีม้าระดับ'บุคคล' 9 เดือน 1.5 หมื่นราย
‘ธปท.’ยกเครื่องอายัด‘บัญชีม้า’เป็นระดับ‘บุคคล’-เพิ่มทางเลือก‘ล็อควงเงิน’ห้ามทำธุรกรรมฯ
‘ธปท.’ออกมาตรการจัดการภัยการเงิน-โอนเงินผ่าน‘โมบายแบงก์กิ้ง’เกิน 5 หมื่น ต้องสแกนใบหน้า

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา