
เครือข่ายประชาชนเข้มแข็ง ร้อง DSI ตรวจสอบ 'กรมควบคุมโรค-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง' ปมจัดซื้อชุดตรวจ ATK และวัคซีนซิโนแวค สมัยโควิดระบาด ด้านเลขาฯยันไม่ได้เอาคืน สธ. กรณีเดินหน้าสอบวินัยร้ายแรง 'หมอสุภัทร'
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 เครือข่ายประชาชนเข้มแข็ง นำโดย นายวรา จันทร์มนี และนายสมเกียรติ ปัญญาใหญ่ ตัวแทนเครือข่ายฯ ยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตรวจสอบการจัดซื้อชุดตรวจ ATK และวัคซีนโควิด-19 (Sinovac) ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมควบคุมโรค รวมทั้งรพ.อื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยผู้รับหนังสือ คือ นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กองบริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ เข้ารับหนังสือดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา
นายวรา ให้สัมภาษณ์ว่า สืบเนื่องจากกรณี นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.รพ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท ถูกตรวจสอบวินัยร้ายแรง กรณีจัดซื้อชุดตรวจ ATK จะมีข่าวว่า ผลสอบวินัยร้ายแรงถึงขั้นจะให้ออกจากราชการ จึงเกิดคำถามว่า ทำไมตรวจแค่คนเดียว และเป็นแพทย์ชนบท จนเกิดคำถามว่า หากนพ.สุภัทร มีปัญหาจัดซื้อชุดตรวจเอทีเค ในราคา 230 บาท และในช่วงการระบาดโควิด ณ ขณะนั้น ก็มีการจัดซื้อเช่นกัน จึงต้องการทราบว่า กรมควบคุมโรค และโรงพยาบาลรัฐอื่นๆ จัดซื้อราคาเท่าไหร่ ประกอบกับขณะนั้นมีข้อยกเว้นจากกรมบัญชีกลางเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง จึงทำให้เกิดคำถามว่า เพราะสาเหตุใดถึงต้องถูกสอบวินัยร้ายแรง และมีกระแสว่า จะให้ถึงกับออกจากราชการ
“จากประเด็นดังกล่าว จึงเกิดข้อสงสัยในเรื่องการตรวจสอบ รวมไปถึงประเด็นการจัดซื้อชุดตรวจเอทีเค และวัดซีนซิโนแวคว่า ขณะนั้นกรมควบคุมโรคมีการจัดซื้ออย่างไร ราคาเท่าไหร่ ดังนั้น วันนี้เครือข่ายฯ จึงเดินทางมายื่นเรื่องเพื่อขอความเป็นธรรมกับดีเอสไอ ให้ช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งทางผู้แทนที่มารับหนังสือแจ้งว่า จะดำเนินการตรวจสอบและแจ้งกับมาทางเครือข่ายอีกครั้ง” นายวรา กล่าว
นายวรา กล่าวว่า นอกจากการยื่นเรื่องต่อ DSI แล้ว เครือข่ายประชาชนเข้มแข็งยังได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะปลัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงเหตุผลการลงโทษ นพ.สุภัทร โดย ทางสภาฯ ได้รับเรื่องแล้ว และคาดว่าจะมีการนัดประชุมไม่เกินหนึ่งเดือน เพื่อพิจารณาความเป็นธรรมในกระบวนการสอบสวน
นายวรา กล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับการสอบสวนว่า อาจไม่บรรลุผล หากปลัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีบทบาทสำคัญในช่วงเวลานั้น กำลังจะเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้ ทำให้สังคมอาจไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน
“หลายองค์กรภาคประชาสังคมเสนอให้ย้ายปลัดออกจากตำแหน่งก่อน เพื่อให้การตรวจสอบเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงการมุ่งเอาผิดแพทย์คนหนึ่ง แต่ควรตรวจสอบผู้บริหารที่ดูแลระบบในภาพรวมด้วย” นายวรา กล่าว
ส่วนข้อสงสัยว่าการยื่นตรวจสอบครั้งนี้เป็นการ 'เอาคืน' กระทรวงสาธารณสุขนั้น นายวรา กล่าวว่า จุดประสงค์คือการทบทวนความถูกต้องในกระบวนการจัดซื้อช่วงโควิด ไม่ใช่การแก้แค้น
“นี่คือการเรียกร้องให้ตรวจสอบอย่างทั่วถึง ว่าหน่วยงานใดจัดซื้อในราคาเท่าใด และเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่สังคมว่าการใช้งบประมาณแผ่นดินในยามวิกฤตเป็นไปอย่างโปร่งใส” นายวรากล่าว

@รายละเอียดหนังสือเครือข่ายฯ ยื่น DSI
เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 (Sinovac) และชุดตรวจ ATK ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมควบคุมโรค และ/หรือ หน่วยงาน/โรงพยาบาลอื่นๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่เห็นว่าจะส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ
เรียน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
จากปัญหาอุบัติภัยโควิด-19 ที่ผ่านมา มีคำถามจากสังคมถึงความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ในการบริหารจัดการ และการใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนหลายหมื่นล้านบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) และชุดตรวจ ATK
ขอยกตัวอย่างประเด็นที่พรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นได้ตั้งคำถามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ดังนี้
1. เรื่องส่วนต่างราคา – มีข้อสังเกตว่ามีการอนุมัติงบประมาณการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อจริง ทำให้เกิดส่วนต่างมูลค่าหลายพันล้านบาท และตั้งคำถามว่าเงินส่วนต่างนี้ไปอยู่ที่ใด
2. เรื่องการจัดซื้อแบบพิเศษ – มีการกล่าวหาว่ารัฐบาลเลี่ยงการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบปกติ และใช้ช่องทางพิเศษให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดซื้อ ซึ่งเป็นการจัดซื้อเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่รัฐต่อรัฐ
3. เรื่องความหลากหลายของวัคซีน – ฝ่ายค้านกล่าวหาว่ารัฐบาลพึ่งพิงวัคซีนซิโนแวคมากเกินไป และตัดสินใจช้าในการจัดหาวัคซีนชนิดอื่น เช่น mRNA ทำให้ประชาชนขาดทางเลือกในการรับวัคซีนที่มีคุณภาพ
4. เรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน – มีคำถามถึงประสิทธิภาพซิโนแวคเมื่อเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น และความสามารถในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่
5. เรื่องการทุจริตและการเอื้อประโยชน์ – มีการกล่าวหาว่าการจัดซื้ออาจเข้าข่ายทุจริตหรือเอื้อประโยชน์พวกพ้อง โดยอ้างถึงประวัติการติดสินบนเจ้าหน้าที่ในต่างประเทศของบริษัทซิโนแวค
นอกจากนี้ ชมรมแพทย์ชนบท ซึ่งอยู่หน้างานในช่วงโควิด ยังได้ตั้งคำถามต่อรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เช่น
1. ประสิทธิภาพวัคซีนซิโนแวคต่ำกว่าวัคซีนชนิดอื่น เช่น ไฟเซอร์ หรือ แอสตราเซเนกา โดยเฉพาะการป้องกันสายพันธุ์เดลต้า
2. การจัดซื้อวัคซีนล่าช้าและไม่หลากหลาย – วิจารณ์การไม่เข้าร่วมโครงการ COVAX และมุ่งซื้อเฉพาะซิโนแวค–แอสตราเซเนกา ขณะที่ไฟเซอร์และโมเดอร์นาเข้ามาช้า
3. การจัดการวัคซีนส่วนเกิน – มีปัญหาวัคซีนล้นคลัง กระจายวัคซีนใกล้หมดอายุไปยัง รพ.สต. จำนวนมาก จนถูกตั้งคำถามว่าเป็นการนำวัคซีนไปทิ้งปลายทางแทนที่จะทำลายอย่างถูกวิธี
จากข้อมูลดังกล่าว ด้วยความห่วงใยต่อประโยชน์ของประชาชน และความเป็นธรรมาภิบาล เครือข่ายประชาชนเข้มแข็งจึงขอเรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคและ ATK รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมโรค โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กระทรวงสาธารณสุข และประเด็นอื่นๆ ที่ส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาล โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ราคาจัดซื้อวัคซีนและ ATK – สูงเกินสมควร เมื่อเทียบกับราคาตลาดและการจัดซื้อใกล้เคียงกัน
2. ประสิทธิภาพวัคซีนซิโนแวค – มีข้อจำกัดในการป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ แต่ยังมีการสั่งซื้อมากในช่วงหลัง
3. กระบวนการคัดเลือกผู้จัดจำหน่าย – ขาดความโปร่งใส อาจมีการใช้อำนาจแทรกแซงหรือละเมิดกลไก อภ. หรือ สปสช.
4. การละเลยคำเตือนผู้เชี่ยวชาญ – แม้ภาควิชาการและภาคประชาสังคมออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนไม่เห็นด้วยกับคุณภาพ ATK และประสิทธิภาพวัคซีนในเวลานั้น
ในการจัดการโควิด-19 หน่วยงานรัฐใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม เครือข่ายประชาชนเข้มแข็งจึงขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และขอความกรุณาแจ้งความคืบหน้า รวมถึงผลการดำเนินการมายังที่อยู่ที่ระบุไว้


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา