
‘ธปท.’ เผยเครื่องชี้เศรษฐกิจไทย ส.ค.68 ชะลอตัวจากเดือนก่อน จากปัจจัย ‘อุปทาน’ ขณะที่ ‘การบริโภคภาคเอกชน-ส่งออก-ลงทุน’ ทรงตัว มองโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นฯ แต่อาจกระตุ้นจีดีพีได้ไม่ถึง 0.4%
..................................
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงสรุปภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือน ส.ค.2568 ว่า เศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค.2568 ชะลอลงจากเดือนก่อน จากด้านอุปทานเป็นหลัก โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงจากปัจจัยชั่วคราว และสินค้าคงคลังของบางอุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูง ขณะที่ภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น จากรายรับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ
ส่วนเครื่องชี้ด้านอุปสงค์นั้น การบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการลงทุน ทรงตัวใกล้เคียงเดือนก่อน อย่างไรก็ดี การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงเป็นเดือนแรกนับตั้งแต่เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ รวมทั้งการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลงบ้าง หลังเร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า ในขณะที่การจ้างงานทรงตัว แต่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในภาคการผลิต โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคก่อสร้างยังลดลงต่อเนื่อง
ด้าน เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้นเล็กน้อย จากอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดที่ติดลบมากขึ้นตามราคาผักและเนื้อสัตว์จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานติดลบน้อยลงจากราคาน้ำมันขายปลีกที่ทรงตัวมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นบวกใกล้เคียงกับเดือนก่อน
ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลตามดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลตามการส่งกลับกำไรของบริษัทต่างชาติตามฤดูกาล ประกอบกับดุลการค้าเกินดุลลดลง ด้านตลาดแรงงานโดยรวมทรงตัว (อ่านเพิ่มเติม : ภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือน ส.ค.2568)




น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากการส่งออกสินค้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรภาษีสหรัฐฯ ที่สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคท่องเที่ยวที่เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ประกอบกับผู้ประกอบการหลายธุรกิจอยู่ระหว่างการปรับตัว อาทิ ยานยนต์และร้านอาหาร
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม 2.ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ 3.พัฒนาการภาคการท่องเที่ยว และ 4.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะออกมา
เมื่อถามว่า การส่งออกไทยที่เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่การส่งออกบางเดือนจะติดลบ น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า ไทยส่งออกสินค้าไปหลายประเทศ ไม่ใช่เพียงสหรัฐ แต่มีส่วนที่ ธปท. เห็นสัญญาณว่า อาจติดลบได้ คือ การส่งออกไปสหรัฐ อย่างไรก็ดี การส่งออกในภาพรวม มีทั้งปัจจัยที่เป็นบวกและปัจจัยที่น่ากังวล โดยปัจจัยที่ยังเป็นบวก คือ วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไปได้ ซึ่งจะเห็นว่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังไปได้
ในขณะที่ปัจจัยผลกระทบจากมาตรการภาษี tariff นั้น ยังคงต้องติดตามว่า จะผลกระทบและทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าของไทย
“คงต้องขอดูเพิ่ม แต่ไม่คิดว่าการส่งออกจะติดลบเยอะแยะ แล้วมาจากเรื่อง tariff อย่างเดียว คงต้องดูการปรับตัวของผู้ประกอบการของเราเอง และผู้ประกอบการประเทศอื่นด้วย รวมถึงมาตรการของประเทศอื่นๆที่จะออกมาด้วยว่า จะมีมาตรการตอบโต้หรือไม่ ซึ่งจากประมาณแล้ว คงต้องชะลอ ส่วนจะติดลบหรือไม่ในระยะข้างหน้า คงต้องขอดูอีกครั้ง” น.ส.ชญาวดี กล่าว
ส่วนการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น เป็นเพราะสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯไม่ได้ แล้วไหลเข้ามาที่ประเทศไทยหรือไม่ น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก ซึ่ง ธปท.เองก็จับตาดูอยู่ และระมัดระวังในเรื่อง transshipment เหมือนกัน
น.ส.ชญาวดี กล่าวถึงกรณีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับแนวโน้มอันดับเครดิต (Credit Outlook) ของประเทศไทยและธนาคารบางแห่งในประเทศไทยเป็น ‘ลบ’ ว่า การปรับ Outlook ของธนาคารบางแห่ง หลักๆเป็นการปรับตาม Outlook ของประเทศ ซึ่งแบงก์ที่ถูกปรับลดแนวโน้มฯ ส่วนหนึ่งมีความเชื่อมโยงกับภาครัฐมากกว่าแบงก์อื่นๆ จึงส่งผลให้มีการปรับ Outlook ตามประเทศ ขณะที่แบงก์ต่างชาติเองก็ต้องถูกปรับลงตาม ceiling rating ของประเทศด้วย
“ในแง่ของฐานะของสถาบันการเงิน ในแง่ความสามารถในการดำเนินยังปกติ ซึ่งในรายงานของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ก็เขียนไว้เช่นนั้นเหมือนกัน” น.ส.ชญาวดี กล่าว
สำหรับโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า การแจกเงินให้กับผู้บัตรสวัสดิการและโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ซึ่งมีเม็ดเงินรวมกัน 6.6 หมื่นล้านบาท นั้น คิดเป็น 0.4% ของ nominal GDP แต่ในแง่ของผลในการกระตุ้นจีดีพีอาจไม่ถึง 0.4% เนื่องจากเป็นประเภทเงินโอน ไม่ได้มีการสร้างงานที่จะทำให้เกิดตัวทวีคูณในการสร้างรายได้เพิ่ม แต่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และอาจมีการรั่วไหลได้บ้างผ่านสินค้านำเข้าบางส่วน
“คิดว่าจะช่วยในเรื่องความเชื่อมั่นได้ เพราะเราเห็นแล้วว่า ภาคธุรกิจเอง เขามองไปอีก 3 เดือนข้างหน้า เขาคิดว่าอันนี้จะเป็นปัจจัยเชิงบวก ส่วนผู้บริโภคเองก็มีการพูดถึงตรงนี้ มันจึงน่าจะเป็นบวกต่อความเชื่อมั่น แต่ผลกระทบจริงๆ หรือผลดีจริงๆ จะมากหรือน้อย ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้จ่ายของประชาชนด้วย ต้องประเมินกันต่อไป และคิดว่าคงจะบวกได้ ส่วนจะเยอะหรือน้อย ต้องดูอีกที แต่ไม่น่าจะถึง 0.4% เท่ากับเม็ดเงินเป๊ะๆ” น.ส.ชญาวดี กล่าว
@นำ‘ทุนสำรองฯ’ตั้ง‘กองทุนมั่นคั่ง’ต้องคำนึงถึง‘โครงสร้าง-ที่มา’
น.ส.ชญาวดี ยังกล่าวถึงกรณีที่ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอว่า วันนี้ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่มากเกินไป ควรนำทุนสำรองฯบางส่วน หรือประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่ง ว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่พูดคุยกันมานาน อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่ง ต้องพิจารณาถึงที่มาและโครงสร้างเงินทุนสำรองฯของแต่ละประเทศด้วย
“ในแง่การมองเรื่องทุนสำรองระหว่างประเทศ ต้องบอกว่าในแต่ละประเทศทั่วโลก โครงสร้างของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ มีความแตกต่างกัน ขึ้นต้องอยู่กับที่มาและที่ไปของทุนสำรองฯเหล่านี้ โดยทุนสำรองฯมี 2 ส่วน ส่วนแรก คือ borrowed reserve และส่วนที่สอง คือ เงินที่เราทำมาหาได้จริงๆ เงินที่เราทำหาได้จริงๆ คือ เงินที่เราได้มาจากการค้าขายสินค้าและบริการ และเราเก็บไว้ได้เป็นเงินเย็นหน่อย
เรามี borrowed reserve ซึ่งเป็นเงินที่ต่างชาติเอาเข้ามาเพื่อลงทุน เช่น FDI การลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรต่างๆในประเทศ เรามีส่วนนี้ไม่น้อย ฉะนั้น ก้อนนี้ จึงเป็นก้อนที่มีภาระผูกพัน หากวันใดวันหนึ่งนักลงทุนต่างชาติเหล่านี้จะออกไปจากประเทศ เราต้องมีเงินตราต่างประเทศให้เขาถือกลับไปเช่นกัน แล้วถ้าอยู่ดีๆ วันใดวันหนึ่งเ ราไม่มี มันจะทำให้เครดิตเรตติ้งอะไรต่างๆ และภาพของประเทศ ดูไม่ดี
ไม่เหมือนกับประเทศที่เขามี Sovereign Wealth Fund (กองทุนความมั่งคั่ง) ที่ 1.มีรายได้จากการค้าขายทรัพยากรของชาติ เช่น น้ำมัน ซึ่งเมื่อเขาขายทรัพยากรธรรมชาติออกมาแล้วได้เงินเลย หรืออย่างประเทศสิงคโปร์ ที่มีรายได้จากการบริการในแง่การให้บริการทางการเงิน ซึ่งมาจากหยาดเหงื่อแรงงาน และทรัพยากรของเขาเองเช่นกัน ในขณะที่ของไทยจะมีส่วนที่เป็น borrowed reserve เยอะกว่า
อย่างไรก็ดี ไม่ได้บอกว่า การทำ Sovereign Wealth Fund ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ต้องขึ้นอยู่กับโครงสร้างด้วย ต้องมีการพูดคุยกัน มีการศึกษากัน ถ้าต้องทำหรืออยากจะทำจริงๆ ในแง่ของธรรมาภิบาลแล้ว การเอาเงินทุนสำรองฯส่วนนี้ออกไป หรือการบริหารเงินสำรองฯส่วนนี้ ก็จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะถือเป็นเงินของประเทศ ต้องมีโครงสร้างในการบริการจัดการที่ดี และโปร่งใสมากๆ ซึ่งตรงนี้เป็นคำตอบเดิมที่เราเคยตอบไปแล้ว แต่มาเน้นย้ำอีกรอบ และไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ แต่ต้องดูเรื่องของขนาดที่จะทำ และในแง่ธรรมาภิบาลด้วย” น.ส.ชญาวดี กล่าว
น.ส.ชญาวดี กล่าวด้วยว่า “ในทางกลับกัน การที่เรามีทุนสำรองฯที่เยอะขนาดนี้ ถ้าฟังท่านผู้ว่าฯธปท. ท่านจะพูดเสมอว่า สิ่งหนึ่งที่ไทยไม่น้อยหน้าใคร และถือเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศไทย เศรษฐกิจไทยในด้านต่างประเทศ คนยังมีความเชื่อมั่นในประเทศเราเยอะ และด้วยเงินทุนสำรองฯขนาดนี้ ทำให้ไทยรองรับความเสี่ยงต่างๆได้ดี ถ้ามองจากข้างนอกเข้ามา และเป็นหนึ่งตัวที่เสริมความแข็งแกร่งของพื้นฐานเศรษฐกิจเราอยู่”
อ่านประกอบ :
‘ภาคท่องเที่ยว-ลงทุนเอกชน’ลดลง! ‘ธปท.’เผยเศรษฐกิจ ก.ค.68 ชะลอตัว-แนวโน้มแผ่วต่อเนื่อง
‘ส่งออก-บริโภค-ท่องเที่ยว’ลด! ‘ธปท.’ชี้เศรษฐกิจ มิ.ย.68 ชะลอ-คาดGDPไตรมาส 2 ใกล้เคียง 3%
ธปท.เผยเศรษฐกิจ พ.ค.68 ชะลอตัวจากเดือนก่อน-ชี้‘เงินบาท’เคลื่อนไหวสอดคล้องปัจจัยพื้นฐาน
ธปท.ชี้เศรษฐกิจ เม.ย.ดีขึ้น-มองเจรจาการค้า‘สหรัฐ-จีน’สัญญาณบวก ‘จีดีพี’ปีนี้อาจโตเกิน 2%
‘ธปท.’ชี้เศรษฐกิจ มี.ค.68 ชะลอตัวจากเดือนก่อน เผย‘ส่งออก-ท่องเที่ยว-บริโภค-ลงทุน’แผ่ว
‘ธปท.’ชี้‘ท่องเที่ยว-ส่งออก-บริโภคเอกชน’โต หนุนเศรษฐกิจ ม.ค.68 ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน
‘ธปท.’เผยเศรษฐกิจไทย ธ.ค.ชะลอตัว-หั่นคาดการณ์จีดีพีไตรมาส 4/67 เติบโตไม่ถึง 4%
‘ธปท.’ชี้เศรษฐกิจ พ.ย.ชะลอ หลังเร่งตัวจาก‘เงินโอน’-แนะรัฐบาล‘ลงทุน’ได้ผลดีกว่า‘แจกเงิน’
IMF มองจีดีพีไทยปีหน้าโต 2.9% แนะ‘กนง.’ลดดบ.อีก 1 ครั้ง-‘ธปท.’ชี้เศรษฐกิจ ต.ค.67 ดีขึ้น
‘ธปท.’เผยเศรษฐกิจไทย ก.ย.67 ชะลอลงจากเดือนก่อน-คาดจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัวใกล้ 3%

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา