
‘ชาญชัย-พวก’ บุกยื่นหนังสือถึงถึง ‘ป.ป.ช.’ เอาผิด ‘คณะกรรมาธิการฯ-สส.-สว.-เจ้าหน้าที่รัฐ’ ร่วมโหวตโยกงบ 3.5 หมื่นล.โปะ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้เข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุน ‘ครม.เศรษฐา’ กระทำความผิด จี้เคลียร์ปมโยกงบไม่ขัด ‘รธน.’ ม.144
...........................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2568 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแต่งตั้งองค์คณะไต่สวน คดีกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก กรณีร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 รายจ่ายงบกลาง (5) ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ (Digital Wallet)
อันอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 โดยผู้ถูกกล่าวหาที่จะถูกไต่สวนคดีนี้ ประกอบไปด้วย
1.นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี
2.คณะรัฐมนตรีในรัฐบาล นายเศรษฐา ที่เข้าร่วมประชุม และมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 ส.ค.2567 ซึ่งมีชื่อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยกเว้นรัฐมนตรี 3 ราย ที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุม
และ 3.นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (ตำแหน่งในขณะนั้น) นายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (ตำแหน่งในขณะนั้น) ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวน 5 แห่ง นั้น (อ่านประกอบ : ครบชุด! ที่มามติป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน 'เศรษฐา-ครม.รวมอนุทิน' คดีโยกงบใช้หนี้ 3.5 หมื่นล.)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์, พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป, นายสมชาย แสวงการ, อ.เจษฎ์ โทณะวณิก และนายนิติธร ล้ำเหลือ ในนามคณะผู้ร้องฯ เข้ายื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. กรณี ป.ป.ช. มีมติตั้งองค์คณะไต่สวน คดีกล่าวหา นายเศรษฐา กับพวก ในกรณีดังกล่าว โดยคณะผู้ร้องฯ เห็นว่า เนื่องจากกรณีนี้อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 172 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ดังนั้น คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่ลงมติเห็นชอบการลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของ SFIs ทั้ง 5 แห่ง ,สส. เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ และ สว. รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีส่วนรับผิดในกรณีนี้ด้วย ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ ครม.นายเศรษฐา ทวีสิน กระทำความผิด
“เมื่อ ป.ป.ช. จะดำเนินคดีความผิด กับ ครม. นายเศรษฐา ทวีสิน ด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 จึงเท่ากับต้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการนำผู้กระทำความผิดในข้อหาเดียวกัน มาลงโทษ และเรียกเก็บเงินจาก 35,000 ล้านบาท ในการกระทำความผิดชดใช้แก่แผ่นดินด้วย
เพราะ ครม.มิอาจจะกระทำการขอแปรญัตติตัดทอน ปรับลดงบประมาณต้องห้าม ผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และกฎหมายอื่นๆ องค์ประกอบ ต้องให้กรรมาธิการเห็นชอบ และ สส. เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ และ สว. ต้องเห็นชอบจึงจะทำการแปรญัตติ เป็นผลทำให้เงินงบประมาณจาก 5 ธนาคาร เป็นการใช้หนี้และดอกเบี้ยตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง โยกไปอยู่ในหมวดงบกลางเพื่อนำไปใช้ในโครงการ DW 10,000 บาท เพื่อคะแนนของพรรคการเมือง
จึงขอให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ดำเนินการฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ ครม. นายเศรษฐา ทวีสิน กระทำผิดกฎหมายตามที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด โดยดำเนินคดีกับคณะกรรมาธิการ ส.ส. และส.ว. ที่เห็นชอบด้วย จึงจะถูกต้องตามกฎหมาย” เอกสารแถลงข่าวของคณะผู้ร้องฯทั้ง 5 ราย ระบุ
นอกจากนี้ คณะผู้ร้องฯ ยังขอให้ ป.ป.ช. พิจารณาทบทวนมติ กรณีที่มีมติว่า การปรับลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของ SFIs จำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท และนำไปเพิ่มเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ หรืองบโครงการ Digital Wallet ไม่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง และยุติการสอบสวนทางลับ โดยได้หยิบยกกล่าวอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอาจเป็นการกล่าวอ้างที่เกินกว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
@ต้องยื่น‘ศาล รธน.’ตีความโยกงบโปะ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ส่อขัด‘รธน.’
สำหรับรายละเอียดของหนังสือของนายชาญชัยและคณะผู้ร้องฯ มีดังนี้
“ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เผยแพร่เอกสารข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ต่อสาธารณะจำนวน 3 แผ่น รวม 5 หน้า เรื่องคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเกี่ยวกับคดีสำคัญจำนวน 2 เรื่อง ความสรุปเรื่องที่ 2 “ข้อกล่าวหาที่ 1 ........คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป จึงมีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
อย่างไรก็ดี........โดยมีเจตนาที่จะนำงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศหาเสียงไว้ เพื่อมุ่งสร้างสร้างความนิยมทางการเมือง จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งมีมูลเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้........
ข้อกล่าวหาที่ 2 ซึ่งไม่ปรากฏข้อมูลว่าได้มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาแต่อย่างใด........คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติในประเด็นข้อกล่าวหานี้ว่า จากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ของสำนักงานเลขาธิการผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710.300 ตามที่มีการกล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนในทางลับ ความทราบโดยทั่วกันแล้ว
ข้าพเจ้า นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ และคณะผู้มีรายชื่อปรากฎแนบท้ายหนังสือฉบับนี้ ขอเรียนข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อสนับสนุน ข้อโต้แย้ง ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนี้
ข้อ 1. ข้าพเจ้าและคณะ ได้ใช้สิทธิเสรีภาพและทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองคุ้มครองไว้ทุกประการ และเป็นไปตามสิทธิที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 88 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้าและคณะเห็นว่า คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ ข้าพเจ้าจึงนำความการกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ แจ้งเรื่องให้ความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยข้อมูลพยานหลักฐานชัดแจ้ง เพื่อประกอบการดำเนินการสอบสวนทางลับโดยพลัน ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ข้าพเจ้าและคณะขอเรียนย้ำให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่า คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันกระทำการ สนับสนุนกระทำการ ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ทั้งวรรคหนึ่งและวรรคสอง ไม่ใช่ฝ่าฝืนวรรคใดวรรคหนึ่ง
ทั้งเป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยครอบคลุมทุกประเด็นทุกวรรค เกี่ยวกับการกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ทั้งวรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ และการใช้สิทธิตรวจสอบตามวรรคหก ประกอบมาตรา 88 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัย กรณีที่ข้าพเจ้าและคณะในฐานะปวงชนชาวไทยได้ใช้สิทธิตามมาตรา 88 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ประกอบบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหก ประกอบวรรคสาม ประกอบวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ดังนั้น การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาสอบสวนในลักษณะ อาจจงใจใช้ดุลยพินิจหยิบยกกล่าวอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัย เฉพาะกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตามวรรคสาม เพื่อพิจารณากรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคน ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง แล้วนำมากล่าวอ้างเพื่อให้ครอบคลุมถึงการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่งด้วยนั้น เป็นการกล่าวอ้างที่เกินกว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ประการสำคัญ การใช้สิทธิและการทำหน้าที่ปวงชนชาวไทย ของข้าพเจ้าและคณะ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหก ประกอบวรรคสาม วรรคหนึ่ง วรรคสอง ประกอบมาตรา 88 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
เมื่อพิจารณาถึงหลักความจริงแห่งการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายแผ่นดิน ที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน (วาระ) คือ 1.รับหลักการ
2.การแปรญัตติ 3.การลงมติ จะเห็นได้ว่าระหว่างการพิจารณาจะต้องมีการเสนอ มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขเพิ่มเติม ลด ตัดทอน มีการแปรญัตติ หรือมีการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้มีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่าน 3 ขั้นตอน (วาระ) แล้วก็ตาม ก็ยังมิอาจเบิกจ่ายใช้งบประมาณแผ่นดินได้จนกว่าจะประกาศบังคับใช้กฎหมายแล้ว
แต่เมื่อพิจารณาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสามตอนท้าย ที่บัญญัติว่า........ให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย และในวรรคห้า ก็ได้บัญญัติไว้ว่า “การเรียกเงินคืนตามวรรคสามหรือวรรคสี่ ให้กระทำการได้ภายในยี่สิบปีนับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น”
ถ้อยคำที่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม วรรคห้า บัญญัติไว้นั้น ชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า มิได้บัญญัติในลักษณะจำกัดว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลธรรมนูญวินิจฉัย การฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ต้องยื่นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ เฉพาะระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าว หรือต้องห้ามยื่นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว
ทั้งเมื่อพิจารณาประกอบหนังสือความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จัดทำเผยแพร่สาธารณะโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับมาตรา 144 จะเห็นได้ว่ามิได้มีข้อห้าม ข้อจำกัด เกี่ยวกับการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ข้อ 2. บทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ ได้บัญญัติถ้อยคำเกี่ยวกับการกระทำและการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายของคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการ และเจ้าหน้าที่รัฐ ไว้ดังนี้
วรรคหนึ่ง การพิจารณา การแปรญัตติ การเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือเพิ่มเติมจำนวนในรายการ แปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่าย
วรรคสอง การพิจารณา การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
วรรคสาม การกระทำที่ฝ่าฝืน ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำ กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วแต่มิได้ยับยั้ง
วรรคสี่ ผู้จัดทำโครงการ หรืออนุมัติ หรือจัดสรรเงิน รู้ว่ามีการดำเนินการอันเป็นการฝ่าฝืน
เมื่อพิจารณาถ้อยคำตามที่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ ได้บัญญัติไว้ หากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้กระทำการในลักษณะใดๆ ตามที่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ได้บัญญัติไว้ และหากการกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นไปตามข้อห้ามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ต้องถือว่าผู้กระทำการดังกล่าวจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
อาศัยข้อมูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ปรากฏตามข่าวเผยแพร่ ของสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2568 พิจารณาได้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการสอบสวนในทางลับแล้ว เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว ข้าพเจ้าและคณะขอเรียนแจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนี้
2.1 หน้าที่ 2 ข้อกล่าวหาที่หนึ่ง........
ย่อหน้า รับฟังได้ว่า........โดยมิได้เกิดจากฝ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะกรรมธิการวิสามัญเป็นผู้เสนอขอแปรญัตติเองตามระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลง งบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) แต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่มีการแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามรัฐธรรมนูญ คดีจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง (3)
อย่างไรก็ดี เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการสอบสวนว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงบ.) กับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งคำขอไว้
โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลง เพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล และต่อมาคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบกับการเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เสนอ
หน้าที่ 3........ จนกระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว........
จากข้อความบางส่วนที่กล่าวมาข้างต้น พิจารณาได้ความลักษณะดังนี้
1.การสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ปรากฏข้อมูลชัดแจ้งถึงการกระทำฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคหนึ่ง วรรคสาม วรรคสี่ ของคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการ เจ้าหน้าที่รัฐ ตามถ้อยคำลักษณะการกระทำตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้
2.การสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจถือได้ว่า จงใจกระทำการ มีเหตุอันควรสงสัยเข้าข่ายลักษณะ ตัดทอนข้อมูล พยานหลักฐาน เบี่ยงเบนข้อบัญญัติกฎหมาย หลีกเลี่ยงการปรับข้อมูลข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ให้สอดคล้องกัน พบการตัดแยก แบ่งการกระทำ ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้พฤติกรรมแห่งการกระทำ และการบังคับตามกฎหมายเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญอย่างมีนัยยะ ในลักษณะที่อาจถือได้ว่าไม่สุจริต เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามหลักนิยมของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
3.เมื่อพิจารณาโดยละเอียด ตามข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 หน้า 2 หน้า 3 จากการสอบสวนปรากฏข้อเท็จจริงดังนี้
ข้อกล่าวหาที่ 1 จะเห็นได้ว่ามีการบรรยายข้อมูลขัดแย้งกันชัดแจ้ง ทั้งมีการเลือกใช้เฉพาะถ้อยคำในลักษณะที่อาจถือได้ว่า ทำให้มีความหมายที่แคบลงในข้อบัญญัติกฎหมาย กฎหมายเกี่ยวกับการพิจารณาการกระทำ ฯลฯ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ดังปรากฏข้อความว่า “โดยมิได้เกิดจากฝ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะกรรมาธิการวิสามัญเป็นผู้เสนอขอแปรญัตติเอง.......ไม่มีการแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมาธิการวิสามัญ........
แต่เมื่อพิจารณาข้อความในหน้า 3 ปรากฏข้อความว่า........จนกระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว.....
ตามที่กล่าวมา จะเห็นได้โดยง่ายและชัดแจ้งว่า บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 มิได้บัญญัติการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะกรณีการเสนอเท่านั้น หากแต่รวมถึงการกระทำอื่นด้วย กล่าวไว้แล้วข้างต้น และเมื่อพิจารณาข้อความตามที่กล่าวข้างต้นประกอบกัน ย่อมเห็นได้ว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติเสียงข้างมากเห็นชอบ ดังนั้น ก่อนลงมติเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว ย่อมต้องมีการพิจารณา มีการกระทำ มีการแปรญัตติจนเสร็จสิ้นกระบวนการ มิฉะนั้น จะมีการลงมติมิได้
ทั้งเมื่อพิจารณาเอกสารบันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ครั้งที่ 38 วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งเอกสารดังกล่าว ข้าพเจ้าและคณะได้นำเสนอเป็นข้อมูลพยานหลักฐานประกอบหนังสือที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว รวม 13 แผ่น
และในหน้าที่ 3 ปรากฏข้อมูลว่า วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2567 กำหนดนัดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอคำแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการ วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2567 ลงมติรายมาตรา ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องพิจารณาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พิจารณารายการเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงงบประมาณและในหน้า 8, 9, 10, 11, 12 ยังปรากฏข้อความเกี่ยวกับการพิจารณารายการเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงงบประมาณเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และในหน้า 12 ตอนท้ายต่อเนื่องหน้า 13 มติที่ประชุมข้อ 2 ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบกับรายการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จากรัฐวิสาหกิจ 5 หน่วยงาน.......รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารบันทึกการประชุม วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2567 รวม 13 แผ่น สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 1 (ได้ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อใช้เป็นข้อมูล พยานหลักฐาน ประกอบการสอบสวนไว้ครั้งหนึ่งแล้ว คราวยื่นหนังสือแจ้งเรื่องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.)
@จี้‘ป.ป.ช.’ขยายผลไต่สวนฯ‘แพทองธาร-ผู้ร่วมกระทำผิด’รายอื่น
ข้อ 3. ตามเอกสารข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 หน้า 4 หน้า 5 ข้อกล่าวหาที่ 2 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติในประเด็นข้อกล่าวหานี้ว่า จากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันกันแปรญัติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 1,256,710,300 บาท ตามที่มีการกล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนทางลับ
เมื่อพิจารณาข้อมูลตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เผยแพร่ตามข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. ข้อกล่าวหาที่ 2 เห็นว่า การสอบสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีลักษณะคลาดเคลื่อนจากข้อมูล พยานหลักฐาน ที่ข้าพเจ้าและคณะนำเสนอทำความปรากฏแจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
กล่าวคือ เอกสารบันทึกข้อความ ส่วนราชการกลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักบริหารงานกลาง ที่ สอง 0003.05 / 5753 วันที่ 3 กันยายน 2567 เรื่องบันทึกการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาครั้งที่ ๓ / 2567 และบันทึกการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาครั้งที่ 3/2567 วันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2567 รวม 13 แผ่น สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 2
จากเอกสารดังกล่าว แผ่นที่ 5 ปรากฏข้อความชัดเจน ตาม 3.2 รับทราบการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2568 ในส่วนของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา....... และยังปรากฏข้อความในหน้า 8 ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ การพิจารณาของกรรมาธิการ ตามรายการเสนอเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 ให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อาจเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 1
และเมื่อพิจารณาประกอบราชกิจจานุเบกษา เล่ม 141 ตอนที่ 59 ก 30 กันยายน 2567 พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 หน้า 2 มาตรา 6(12) เงินสำรองรายจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 96,556,710,300 บาท
ข้อมูลตามเอกสารที่กล่าวมาข้างต้นปรากฏข้อมูลว่า ได้มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนพวกผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา โดยใช้วิธีการแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วยการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณ เอาไปใส่ไว้ส่วนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ตามมาตรา 6 (12) เพื่อหลบเลี่ยงฝ่าฝืนการปฎิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ซึ่งอาจถือได้ว่ากระทำการโดยทุจริต
อีกทั้ง เมื่อพิจารณาเอกสารด่วนที่สุดที่ สผ 0005/10171 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 30 กันยายน 2568 เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็นรายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาเพิ่มเติม เรียน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี รวม ๕ แผ่น ซึ่งความในหน้า 2 ข้อ 2 ความเร่งด่วนของเรื่อง มีข้อความว่า
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ ประมาณการค่าใช้จ่ายรายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาถึงเดือนกันยายน 2568 จำนวนทั้งสิ้น 555,669,083.78 บาท ยังขาดอีกจำนวน 335,882,643.78 บาท เพื่อให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีงบประมาณเพียงพอในการใช้จ่ายจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นรายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาจำนวน 289,399,100 บาท........
และข้อความในหน้า 3 มีข้อความว่า........จึงจำเป็นต้องเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็น รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาเพิ่มเติม จำนวนทั้งสิ้น 335,882,643.78 บาท สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 4 รวม 5 แผ่น
นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อมูลตามเอกสาร ด่วนที่สุดที่ นร 0505/25965 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองรายจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินจำเป็น รายการกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาเพิ่มเติม เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 5
และปรากฏข้อมูลตามหนังสือด่วนที่สุดที่ นร 0505/25966 , 25967 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี วันที่ 30 กันยายน 2568 สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 6 รวมถึงข้อมูลที่ปรากฏตามหนังสือด่วนที่สุดที่ 0505/25964 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี วันที่ 30 กันยายน 2568 สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข ๗
ตามที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เผยแพร่ข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. โดยมีความบางตอนว่า ไม่ปรากฏข้อมูลว่าได้มีการแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาแต่อย่างใด
........จึงมีมติในประเด็นข้อกล่าวหาที่ว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนทางลับนั้น เป็นการกระทำในลักษณะที่อาจกล่าวได้ว่า มีการพิจารณา การสอบสวน การใช้ดุลยพินิจไม่ละเอียดรอบคอบ อาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหก
ข้อ 4. ข้าพเจ้าและคณะมีความเห็นด้วย ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคลตามลำดับ 1, 2, 3 ความปรากฏตามข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 หน้า 3
4.1 ข้าพเจ้าและคณะไม่เห็นด้วย ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวนบุคคล คณะบุคคล ตามลำดับ 1, 2, 3 เนื่องจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีส่วนกระทำการในลักษณะรู้ว่ามีการกระทำการดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ยังคงให้มีการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
ส่วนบุคคล คณะบุคคล ตามลำดับ 2, 3 นั้น มีข้อมูลพยานหลักฐานประจักษ์ชัด ตามหนังสือที่ข้าพเจ้าและคณะนำความ การฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วหลายครั้ง และปรากฎตามข้อมูลพยานหลักฐาน ประกอบหนังสือฉบับนี้
ดังนั้น ตามข้อ 4 หนังสือฉบับนี้ ข้าพเจ้าและคณะจึงขอคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ได้ดำเนินการสอบสวนทางลับมาเป็นระยะเวลานานเกินสมควร ได้พิจารณาเร่งรัดไต่สวน กรณีอาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 และขยายผลไต่สวนถึงผู้ร่วมกระทำความผิด ผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
ขณะเดียวกันก็ขอให้ทบทวนมติไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน กรณีบุคคล คณะบุคคลตามลำดับ 1, 2, 3 ปรากฏข้อความในหน้าที่ 4 ข่าวสำนักงาน ป.ป.ช. 31 ตุลาคม 2568
@ขู่ตรวจสอบ-ฟ้องร้อง‘ป.ป.ช.’หากพบไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ
ข้อ 5. ตามที่กล่าวมาข้างต้น พร้อมด้วยข้อมูล พยานหลักฐานประกอบตามหนังสือฉบับนี้ ขอเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ความสรุปดังนี้
-ตามข้อกล่าวหาที่ 1 ข้อกล่าวหาที่ 2 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และไม่เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ในลักษณะมีข้ออันควรสงสัยว่าการพิจารณาข้อมูล พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย การใช้ดุลยพินิจ ไม่ครบถ้วนละเอียดรอบคอบ
-มีการอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและแปลความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเกินส่วน ทั้งที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยครอบคลุมทุกประเด็น ทุกวรรค ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144
-คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อำนาจหน้าที่ ในลักษณะที่อาจถือได้ว่าตีความบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ทั้งที่กฎหมายมิได้บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ในการตีความบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
-คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะที่อาจถือได้ว่าเข้าข่ายก้าวล่วงละเมิดอำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ
-คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะที่อาจถือได้ว่าตัดสิทธิ หน้าที่ ของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองคุ้มครองไว้ และยังอาจถือได้ว่าเป็นการตัดสิทธิเพื่อให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินการตรวจสอบการพิจารณาการกระทำใดอันเกี่ยวกับการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และตามบทบัญญัติมาตรา 88 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
-คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อำนาจหน้าที่ในลักษณะที่อาจพิจารณาได้ว่าจำกัดอำนาจหน้าที่ของตนเอง ไม่ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้ ทั้งไม่สอดคล้องตามเจตนารมณ์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ทั้งยังอาจส่งผลให้การบังคับใช้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ไม่สมบูรณ์ หรือมิอาจใช้บังคับได้อย่างแท้จริง
-การดำเนินการไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ขอให้พิจารณารวมถึงความเสียหาย และให้ผู้กระทำความผิดต้องรับผิดชดใช้เงินคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย
ข้าพเจ้าและคณะ มีความพร้อมที่จะดำเนินการตรวจสอบ ฟ้องร้องดำเนินคดีกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. หากปรากฏความอันเชื่อได้โดยสุจริตว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงขอคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ทบทวนการพิจารณาสอบสวนข้อมูล พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย การใช้ดุลยพินิจ การไม่เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป และมีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับ พร้อมทั้งชี้แจงต่อสาธารณะเพื่อทราบโดยทั่วกันว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติกฎหมายใด ในการพิจารณาประเด็นตามข้อ 5 ที่กล่าวข้างต้น

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา