
'ณพ ณรงค์เดช' แถลงข่าวโต้ข้อกล่าวหาใช้เอกสารปลอมลายเซ็นพ่อโอนหุ้นวินด์หมื่นล้าน งัดคลิปเสียงโต้ ชี้ผู้เป็นพ่อแค่ผู้ถือหุ้นแทนตัวเองเท่านั้น ข้องใจเหตุอัยการ-ผู้พิพากษาเคยแวะเข้าบ้านฝ่ายโจทก์บ่อยครั้ง คาดไม่เกินสัปดาห์หน้าไปร้อง ผบ.ตร.เหตุอดีตผู้กำกับ สน.ห้วยขวางไปรับแจ้งความปลอมลายเซ็นนอกพื้นที่ที่ทองหล่อ
สืบเนื่องจากที่ปรากฎเป็นข่าวเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ศาลอาญารัชดาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก "คุณหญิงกอแก้ว บุญยะจินดา" ภรรยาอดีตอธิบดีกรมตำรวจ และ "นายณพ ณรงค์เดช" คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
จากคดีใช้เอกสารลายเซ็นปลอมของ "นายเกษม ณรงค์เดช" ผู้เป็นโจทก์ในคดี บิดาของนายณพ และเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม KPN เพื่อโอนหุ้นมหาศาลใน "บริษัท วินด์ เอนเนอยี่ โฮลดิ้งส์ (WEH)" มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้อง ซึ่งหลังจากมีคำพิพากษาคุณหญิงกอแล้วและนายณพได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์รายละ 1 แสนบาท

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พ.ย.นายณพได้จัดเวทีแถลงข่าวข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยกล่าวยืนยันว่าไม่ได้มีการใช้เอกสารปลอมแต่อย่างใด
นายณพกล่าวถึงที่มาของการลงทุนในบริษัทว่าย้อนไปเมื่อปี 2558 ได้ซื้อบริษัทวินด์ เอ็นเนอร์จี้โฮลดิ้งมาด้วยตนเอง และได้ชวนพี่น้องร่วมลงทุนแต่ถูกปฏิเสธ โดยถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน ต่อมาในปี 2559 นายณพได้ขายบริษัทนี้ให้กับคุณหญิงกอแก้วซึ่งคุณหญิงกอแก้วได้ชำระเงินค่าหุ้นอย่างชัดเจน
คุณหญิงกอแก้วยังได้แต่งตั้งนายเกษม ให้เป็นตัวแทนถือหุ้น โดยมีเจตนาให้ธุรกิจนี้ตกเป็นของหลานซึ่งก็คือลูกของนายณพในอนาคต หนังสือแต่งตั้งตัวแทนนี้มีผู้ทราบเพียง 4 คน คือนายณพ คุณหญิงกอแก้ว นายเกษมและทนายความ พี่น้องคนอื่นไม่ทราบเรื่องเพราะไม่ได้ร่วมลงทุนตามที่เรียนไปแล้ว
ในระหว่างการแถลงข่าวนายณพได้เปิดคลิปเสียงปี 2561 ที่บันทึกในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 หรือสองปีหลังจากคุณหญิงกอแก้วเป็นเจ้าของ โดยเป็นการสนทนา ณ บ้านคุณหญิงกอแก้ว และมีนายเกษม รวมไปถึงนักบัญชีที่เกี่ยวข้องร่วมอยู่ด้วยซึ่งในนคลิปมีการพูดคุยเรื่องการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาล ซึ่งนายณพได้สอบถามพี่น้องและครอบครัวเกี่ยวกับการร่วมลงทุนอยู่เสมอ แต่ไม่มีใครตอบรับ โดยย้ำว่า "ของฟรีไม่มีในโลก" และเป็นธุรกิจใหม่ที่จะลงทุน ไม่ใช่มรดก
ในคลิปเสียง นายเกษมได้กล่าวถึงหุ้นบริษัทวินที่ตัวเองมีอยู่ว่า "ไม่ใช่ของพ่อ" และ "พ่อไม่ได้จ่ายเงินค่าหุ้น" แต่เซ็นเอกสารในฐานะตัวแทน และนายเกษมเบื่อที่จะเซ็นเอกสารแทนจึงมีการโอนหุ้นคืนให้คุณหญิงกอแก้ว เพื่อเปิดเผยชื่อเจ้าของที่แท้จริงเนื่องจากบริษัทกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์
นายณพกล่าวถึงข้อกล่าวหาที่ว่าตนใช้เอกสารปลอมว่า ข้อเท็จจริงก็คือว่าตนเองเป็นเจ้าของเดิมของบริษัทวินในปี 2558 และคุณหญิงกอแก้วเป็นเจ้าของต่อในปี 2559 โดยมีเส้นทางการเงินที่ชัดเจน จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปลอมแปลงเอกสารเพื่อเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนเองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว
นายณพกล่าวต่อถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาในคดีแพ่ง ตอนหนึ่งศาลระบุว่าโจทก์ (นายกฤษณ์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช พี่ชายและน้องชายของนายณพ )ไม่สามารถแสดงหลักฐานการชำระค่าหุ้นที่ชัดเจนได้ และไม่น่าเชื่อว่านายเกษมจะฟ้องร้องเพื่อบังคับตามเอกสารที่ตนเองรู้ว่าไม่ได้จัดทำขึ้น หากนายเกษมมีสิทธิ์ในหุ้นจริงก็สามารถจัดสรรหุ้นได้ตามความประสงค์ของตัวเอง ซึ่งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งดังกล่าวนั้นเป็นข้อสนับสนุนของตน ที่ยืนยันว่าไม่ได้ใช่เอกสารปลอมแต่อย่างใด
“ผมซื้อธุรกิจนี้มาและคุณหญิงกอแก้วได้เข้ามาช่วยเหลือในวันที่ลำบาก ผมรู้สึกผิดที่ไม่สามารถดูแลคุณหญิงกอแก้วและลูกๆ ของผมเองให้ได้พบคุณปู่ได้ ผมเชื่อว่าคุณพ่อถูกใช้เป็นตัวประกัน เนื่องจากปัญหาสุขภาพและความจำ และมีบางคนใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง” นายณพกล่าว
นายณพยังได้ตั้งคำถามถึงบุคคลที่ทำงานในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ในชั้นตำรวจว่ามีผู้กำกับจาก สถานีตำรวจนครบาล (สน.)ห้วยขวาง ณ เวลานั้น มารับแจ้งความที่บ้านนายเกษมในคดีที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ สน.ทองหล่อ และตั้งข้อสงสัยว่าปกติแล้วตำรวจมีบริการรับแจ้งความถึงบ้านหรือไม่ ขณะที่ในส่วนของการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ผลการตรวจลายมือออกภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งตนตั้งคำถามว่ารวดเร็วผิดปกติหรือไม่ แม้แต่คดีสำคัญระดับชาติอย่างคดีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มก็ใช้เวลาเป็นเดือน ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องฝากให้พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เร่งตรวจสอบด้วย โดยคาดว่าไม่น่าจะเกินสัปดาห์หน้าก็น่าจะไปร้องกับทาง ผบ.ตร.ในเรื่องนี้
นายณพกล่าวต่อว่าในส่วนของอัยการและผู้พิพากษา ที่ตนมีความสงสัย เรื่องนี้ตนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งแต่ปี 2565 ไปแล้ว เกี่ยวกับการที่อัยการเข้าออกบ้านของพี่ชายตน และยังได้ร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ในปี 2565 เรื่องอธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านคู่ความและรองอธิบดีสั่งสำนวนที่ตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม รวมถึงข่าวเรื่องเงินสินบนน้ำหนัก 100 กิโลกกรัม
นายณพยังได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในศาลอุทธรณ์ในคดีอาญาว่าเหตุใด ศาลจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้โจทก์ถึง 100% ทั้งที่โจทก์อ้างความเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทวินด์เพียง 49% และคำสั่งนี้ยังคงอยู่แม้นายกฤษณ์และนายกรณ์จะแพ้คดีทุกข้อหาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งแล้ว ซึ่งปัญหานั้นตกไปถึงผู้ถือหุ้นรายอื่นอีก 51% ด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา