
‘ดีเอสไอ’ จับมือ 4 หน่วยงาน เปิดปฏิบัติการ ‘ตัดหมอกเวียงแหง’ จับกุม ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ 10 ราย ‘พลเรือน’ 3 ราย ร่วมกันทุจริตให้ ‘คนต่างด้าว’ สวมสิทธิทำบัตรประชาชน
.............................
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 จ.เชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานและร่วมกันแถลงข่าวการดำเนินคดีกับขบวนการนำคนต่างด้าวมาสวมสิทธิทำบัตรประชาชนในพื้นที่อำเภอเวียงแหง จ.เชียงใหม่ ภายใต้ปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง”
กรณีดังกล่าว สืบเนื่องกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับการแจ้งเบาะแสการทุจริต และเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐในกระบวนการขอสัญชาติและสถานะบุคคลในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงมีคำสั่งมอบหมายให้กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ทำการสืบสวนเป็นสำนวนสืบสวนที่ 132/2568
ทางการสืบสวนพบมูลความผิดอาญา จึงประสานข้อมูลกับบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ในการขอหมายจับและหมายค้นของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ในความผิดฐานในความผิดฐานร่วมกันกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ และเป็นเจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต รวมทั้งความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาระหว่างวันที่ 18-19 พ.ย.2568 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มอบหมายให้ ร.ต.อวิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ต.เกรียงไกร สืบสัมพันธ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม นายสมชาย ติไชย ผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 5
และเจ้าหน้าที่กองกิจการอำนวยความยุติธรรมและศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษเขตพื้นที่ 5 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้บูรณาการตามมาตรา 22/1 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ ร่วมกับ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมการปกครอง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
ร่วมปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมตามหมายจับและหมายค้นของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ในพื้นที่เชียงใหม่ พะเยา กรุงเทพมหานคร และสมุทรสาคร เป็นหมายจับบุคคล ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 10 ราย ประกอบด้วย นายอำเภอ 1 ราย ปลัดอำเภอ 2 ราย ลูกจ้างอำเภอ 4 ราย และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จำนวน 3 ราย
พลเรือน จำนวน 3 ราย ได้แก่ พยานรับรองเท็จ 1 รายและบุคคลผู้ทุจริตรายการ เป็นบุคคลสัญชาติจีนที่มาสวมตัวทำบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน (บัตรหัวเลข 0) จำนวน 1 ราย และบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นนายหน้า จำนวน 1 ราย รวมผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้จำนวน 13 ราย
“มีพยานหลักฐานได้เชื่อมโยงไปถึง นายอำเภอเวียงแหง และนายหน้าของขบวนการ ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว โดยนายอำเภอเวียงแหงได้เข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนนายหน้าจะเร่งติดตามตัวต่อไป โดยทางกรมการปกครอง ได้สั่งย้ายนายอำเภอและปลัดอำเภอที่มีส่วนเกี่ยวข้องไปช่วยราชการที่กรมการปกครอง และตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยทันที เพื่อป้องกันการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน” รายงานข่าวระบุ
นอกจากนี้ จากการตรวจค้นพื้นที่จำนวน 3 แห่ง และมีการตรวจยึดสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เช่น โทรศัพท์มือถือ สมุดบัญชีธนาคาร สมุดจดบันทึก หลักฐานการโอนเงิน และเอกสารหลักฐานอื่นที่แสดงความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริตทางทะเบียนราษฎร โดยนำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ถูกจับกุมทั้งหมดถูกส่งตัวให้พนักงานสอบสวน บก.ปปป. แจ้งข้อหาที่สำคัญ อาทิ มาตรา 157 (เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ/ทุจริต), มาตรา 172 พ.ร.ป. ป.ป.ช. (เจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นโดยมิชอบ) และ มาตรา 50 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ร่วมกันใช้หลักฐานอันเป็นเท็จในทะเบียนราษฎรโดยมิชอบ) จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าคนต่างด้าวสัญชาติจีน 3 ราย ที่เกี่ยวข้องได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
จากการสืบสวนเชิงลึก พบว่าขบวนการนี้มีความเชื่อมโยงกับการทุจริตสวมตัวคนไทยสำเร็จในพื้นที่เทศบาลนครรังสิต จ.ปทุมธานี (กรณีโพสต์รับจ้างทำบัตรประชาชนในแพลตฟอร์มจีน “เสี่ยวหงชู”) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเครือข่าย องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างร้ายแรง และอาจเชื่อมโยงกับเครือข่าย “จีนเทา” ที่ประกอบกิจการผิดกฎหมาย เช่น สแกมเมอร์, พนันออนไลน์ และคอลเซ็นเตอร์
สำหรับปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของนายกฯ และรมว.ยุติธรรม ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมาย โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการตามนโยบายล้างบาง “กลุ่มจีนเทา” และคนต่างด้าวที่เป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ช่องทางการสวมตัวเป็นบุคคลสัญชาติไทย เพื่อมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดหรือหลบซ่อนตัว
ด้าน นายอนุทิน แถลงว่า วันนี้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการปกครอง ตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้บูรณาการเปิดปฏิบัติการ “ตัดหมอกเวียงแหง” เพื่อตรวจสอบและปราบปรามขบวนการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิอาศัยถาวรแก่คนต่างด้าวโดยมิชอบ และจากการสืบสวนขยายผลพบว่าขบวนการนี้มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มจีนเทา ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
นายอนุทิน ยังระบุว่า กรณีส่วยสัญชาติดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงตนดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย แต่ช่วงที่เริ่มกระบวนการยื่นขอสถานะ ยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใดของฝ่ายบริหาร เมื่อกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทยเต็มตัว จึงได้สั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการตรวจสอบ และเอาผิดผู้กระทำผิดทันที เหมือนกรณีที่อำเภอฝาง ซึ่งมีผู้ใหญ่บ้านเรียกรับเงินจากผู้มีสิทธิ ปัจจุบันถูกลงโทษให้ออกจากราชการแล้ว
“สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ความน่าอับอาย และเป็นความเลวร้าย เพราะขบวนการนี้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายร่วมด้วย ได้ไปหาประโยชน์จากสิทธิของประชาชนกลุ่มเปราะบางกว่า 4.8 แสนคน ที่รอคอยสถานะทางกฎหมาย และสัญชาติไทยมากกว่า 30-40 ปี ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจาก UNHCR ในการยุติสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่กลับมีผู้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้
ที่สำคัญ มีการใช้ช่องว่างของระบบทะเบียนราษฎร และระบบสัญชาติ ไปเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มจีนเทา นี่คือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะเป็นการเปิดทางให้อาชญากรรมข้ามชาติและธุรกิจผิดกฎหมายเข้ามาปลอมแปลงตัวตน และมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกทางเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมการปกครอง และหน่วยงานที่ร่วมสอบสวน พบว่าอำเภอเวียงแหง เป็นพื้นที่ที่มีการทำทุจริตลักษณะนี้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2554 เคยมีการจับกุมปลัดอำเภอในคดีลักษณะเดียวกัน ถูกลงโทษจำคุก 5 ปี รวมถึงคดีในปี 2563 แต่กลับเกิดขึ้นซ้ำอีกในปีนี้ นี่คือเหตุผลที่ต้องล้างบางให้สิ้นซาก ไม่ให้มีการกระทำผิดซ้ำอีก
"การจับกุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยออกหมายจับระดับ ‘นายอำเภอ’ ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในระบบทะเบียนราษฎร ซึ่งสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่า ตั้งใจจริง เอาจริง และไม่ปกป้องคนผิด ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม" นายอนุทิน ระบุ
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดจากนอกประเทศเข้าสู่ประเทศไทย และกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ซึ่งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ปปส. รวมถึงฝ่ายปกครอง ได้บูรณาการกำลังอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งด้านข่าวกรอง การปิดล้อมตรวจค้น การสกัดกั้นตามเส้นทางธรรมชาติ และการขยายผลไปถึงผู้สั่งการและเครือข่ายทางการเงิน
โดยผลการปฏิบัติการในรอบล่าสุด มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยึดของกลางยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้งยาบ้า ยาไอซ์หลายรายการ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการลำเลียงและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมพยานหลักฐานที่สามารถนำไปขยายผลต่อยอดได้
“ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ด้วยปฏิบัติการ “ตัดวงจรทั้งระบบ” ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ลำเลียง ผู้ค้ารายย่อย ไปจนถึงเครือข่ายการเงินที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด และขอชื่นชม เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องทุกนาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น เสียสละ และทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สังคมไทยปลอดภัยและปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนผลการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามยาเสพติดคดีรายสำคัญ ในพื้นที่ ภ.5 มีจำนวน 3 คดี ดังนี้ 1.สภ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ตรวจยึดยาบ้า 6 ล้านเม็ด รถยนต์ 1 คัน 2.สภ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา จับผู้ต้องหา 1 คน รถยนต์ 1 คัน ยาบ้า 5 ล้านเม็ด 3.กก.สส.ภ.จว.เชียงราย จับผู้ต้องหา 2 คน ตรวจยึดไอซ์ 20 กระสอบ รวมประมาณ 500 กก.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา