
คู่มือเลือกสอบวัดระดับภาษาอังกฤษฉบับเข้าใจง่าย ใช้ได้จริง
ภาษาอังกฤษกลายเป็นทักษะจำเป็นในยุคนี้ ไม่ว่าจะเพื่อเรียนต่อ ทำงาน หรือย้ายประเทศ การรู้ว่าภาษาอังกฤษของตัวเองอยู่ระดับไหนเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยวางแผนอนาคตได้ง่ายขึ้น หลายคนจึงเริ่มมองหาวิธี สอบวัดระดับภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เป็นใบเบิกทาง แต่จะเลือกสอบแบบไหนดีล่ะ? แต่ละแบบต่างกันยังไง? บทความนี้เราจะพาไปสำรวจตัวเลือกทั้งหมดแบบเข้าใจง่าย พร้อมแนะนำวิธีเลือกให้ตรงเป้าหมายที่สุด
สอบวัดระดับไปเพื่ออะไร? รู้เป้าหมายก่อนเลือกสอบ
ก่อนจะลงมือสมัครสอบใด ๆ สิ่งแรกที่ควรรู้คือ “สอบไปเพื่ออะไร” เพราะแต่ละการสอบออกแบบมาให้เหมาะกับจุดประสงค์ที่ต่างกัน เช่น
- ใช้เรียนต่อต่างประเทศ
- สมัครงานในบริษัทต่างชาติ
- ยื่นขอวีซ่าทำงานหรือย้ายประเทศ
- ตรวจสอบความสามารถของตัวเองเพื่อพัฒนาเพิ่มเติม
เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว การเลือกสอบก็จะไม่หลงทาง
รู้จักการสอบที่คนทั่วโลกนิยม
การสอบที่เป็นที่รู้จักในระดับสากลมีอยู่หลายแบบ แต่ละแบบมีจุดเด่นต่างกัน ลองมาทำความรู้จักแบบคร่าว ๆ:
- IELTS (International English Language Testing System):
เหมาะกับคนที่ต้องการเรียนต่อหรือย้ายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา อังกฤษ
- TOEFL (Test of English as a Foreign Language):
นิยมใช้เรียนต่อในอเมริกาและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วโลก
- TOEIC (Test of English for International Communication):
เหมาะสำหรับใช้สมัครงานหรือประเมินระดับภาษาในที่ทำงาน
- Cambridge English Test:
มีหลายระดับ เหมาะกับคนที่ต้องการใบรับรองความรู้ภาษาแบบเป็นขั้นตอน
- CEFR Placement Test:
เหมาะสำหรับประเมินระดับภาษาโดยอิงกับมาตรฐานยุโรป A1 – C2
IELTS vs TOEFL ต่างกันยังไง?
ถึงทั้งสองการสอบจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์คล้ายกัน (เช่น เรียนต่อต่างประเทศ) แต่ก็มีความต่างที่ควรรู้:
- IELTS มีทั้งแบบ Academic และ General Training คะแนนเต็ม 9.0 ใช้การสอบพูดแบบสัมภาษณ์ตัวต่อตัว
- TOEFL เป็นแบบออนไลน์ คะแนนเต็ม 120 เน้นการใช้ภาษาในบริบทการเรียนการสอน และการสอบพูดผ่านคอมพิวเตอร์
ใครที่ถนัดพูดกับคนมากกว่าคอมพิวเตอร์ อาจเลือก IELTS จะสบายใจกว่า
ถ้าอยากสมัครงาน ควรเลือกสอบแบบไหนดี?
สำหรับคนที่ต้องการใบรับรองเพื่อใช้สมัครงาน การสอบ TOEIC ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยม เพราะเน้นคำศัพท์และสถานการณ์ที่ใช้ในชีวิตการทำงานจริง เช่น การประชุม การเขียนอีเมล และการติดต่อสื่อสารในองค์กร ปัจจุบันหลายบริษัทในไทย โดยเฉพาะองค์กรข้ามชาติ มักใช้คะแนน TOEIC เป็นหนึ่งในเกณฑ์รับพนักงาน
ไม่ต้องบินไปสอบก็ได้ สอบออนไลน์มีให้เลือกเพียบ
ข่าวดีสำหรับคนไม่สะดวกเดินทาง ปัจจุบันมีตัวเลือกสอบแบบออนไลน์มากมาย เช่น
- Duolingo English Test: สอบได้จากที่บ้าน ได้รับการยอมรับจากหลายมหาวิทยาลัย
- Cambridge Online Placement Test: ประเมินระดับ CEFR ได้ทันทีหลังสอบเสร็จ
แต่ข้อควรระวังคือ บางแบบสอบออนไลน์อาจไม่เป็นที่ยอมรับในทุกองค์กร ควรเช็กก่อนเสมอว่าใบรับรองจากที่สอบนั้นตรงกับที่ปลายทางต้องการหรือไม่
อย่าลืมดูเรื่อง “อายุของคะแนนสอบ”
การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษหลายแบบมีอายุของคะแนน เช่น
- IELTS และ TOEFL: มีอายุ 2 ปี
- TOEIC: มีอายุ 2 ปี
- Cambridge (บางชุด): คะแนนไม่มีวันหมดอายุ
ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าจะใช้คะแนนเมื่อไหร่ ควรวางแผนเวลาสอบให้ดี เพื่อให้คะแนนยังใช้งานได้เมื่อถึงเวลาจริง
เตรียมตัวยังไงให้สอบผ่านในรอบเดียว
ไม่ว่าคุณจะเลือกสอบแบบไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเตรียมตัว” ซึ่งสามารถทำได้หลายแบบ เช่น
- อ่านตัวอย่างข้อสอบจากเว็บทางการ
- ลองทำแบบฝึกหัดจำลอง (mock test)
- เรียนคอร์สติวออนไลน์หรือเรียนสดกับติวเตอร์
- ฝึกภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เช่น ดูหนัง ฟังพอดแคสต์ หรือพูดกับเพื่อนต่างชาติ
อย่าคิดว่าต้องเก่งเลิศถึงจะสอบได้ คะแนนดีขึ้นได้แน่นอนถ้ามีวินัยและฝึกฝนสม่ำเสมอ
สรุป
การเลือกสอบวัดระดับภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ขอแค่เริ่มจากการรู้จุดประสงค์ของตัวเองให้ชัด แล้วเลือกการสอบที่ตอบโจทย์ที่สุด ไม่ว่าจะเพื่อเรียนต่อ สมัครงาน หรือย้ายประเทศ ต่างก็มีแบบสอบที่เหมาะของตัวเอง การเตรียมตัวล่วงหน้าให้ดี ศึกษารูปแบบข้อสอบ และเช็กว่าองค์กรหรือปลายทางที่ต้องใช้รับรองแบบสอบนั้นหรือไม่ จะช่วยให้คุณมั่นใจและสอบได้อย่างคุ้มค่า ทั้งเวลา แรง และค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา