
"...สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ได้ทําการโอนเงินค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทุกรายตามสิทธิ เข้าบัญชีธนาคารเต็มตามจํานวน ข้าราชการตํารวจเป็นส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินเกินจาก 15,000 บาท นําเงินส่วนที่เกินมอบให้กับเจ้าหน้าที่การเงินสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ตามที่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ได้สั่งการไว้ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 27 มีนาคม – 30 มิถุนายน 2563 พันตํารวจเอก สมพงศ์ ได้รับเงินค่าตอบแทน จํานวน 34,000 บาท แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้นําเงินส่วนที่เกินจาก 15,000 บาท บริจาคให้กับสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ตามที่ได้มีข้อตกลงในที่ประชุม..."
....................................
"มีพฤติการณ์กระทำความผิดเรื่องเบี้ยเลี้ยง ให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำเงินเบี้ยเลี้ยง (งบโควิด-19) ที่เกิน 15,000 บาท บริจาคให้กับส่วนกลาง ของ สภ.ทุ่งสง ที่ ผกก. มีอำนาจในการใช้จ่าย ซึ่งเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พิจารณาตามสำนวนแล้ว พบว่า มีความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ฉะนั้น จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 72 และมาตรา 90 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ลงโทษไล่ พ.ต.อ.สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล รองผู้บังคับการกฎหมายและคดีตำรวจภูธรภาค 8 ออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป"
คือ รายละเอียดเบื้องต้น ในคำสั่งตำรวจภูธร ภาค 8 ที่ 262 / 2564 เรื่องลงโทษไล่ออกราชการ 'พันตำรวจเอก สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล' เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรง กรณีถูกกล่าวหา เรียกเก็บเงินงบเสี่ยงภัยโควิด-19 จากลูกน้อง นำไปเลี้ยงสังสรรค์
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมารายงานต่อสาธารณชนไปแล้ว
(อ่านประกอบ : ไล่ออกราชการ 'อดีต ผกก.สภ.ทุ่งสง' หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลคดีรีดเงินเสี่ยงภัยโควิดฯ ลูกน้อง)
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดในคำสั่งตำรวจภูธร ภาค 8 ที่ 262 / 2564 เรื่องลงโทษไล่ออกราชการ 'พันตำรวจเอก สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล' ฉบับเต็ม พร้อมระบุที่มาที่ไปของงบประมาณและพฤติการณ์การกระทำความผิดครบถ้วน
..............................
ด้วย พันตํารวจเอก สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล รองผู้บังคับการกฎหมายและคดี ตํารวจภูธรภาค 8 เมื่อครั้งดํารงตําแหน่ง ผู้กํากับการ สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีกรณีถูก คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติในการประชุมครั้งที่ 66/2564 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 วาระที่ 4.17 ชี้มูลความผิดวินัย อย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่ มิควรได้ ฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานกระทําหรือละเว้นการกระทําใด ๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงตามมาตรา 79 (1) (5) และ(6) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจ แห่งชาติ พ.ศ.2547
โดยมีพฤติการณ์การกระทําผิด ดังนี้
สํานักงานงบประมาณและการเงินสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้มีบันทึกข้อความด่วนที่สุด ที่ 0010.182/4108 ลงวันที่ 23 กันยายน 2563 เรื่อง ขออนุมัติหลักการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2563 งบกลาง รายการสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น สําหรับค่าใช้จ่าย ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงของตํารวจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของตํารวจ ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 30 มิถุนายน 2563 หรือจนกว่าสิ้นสุดระยะเวลาตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เป็นเงินทั้งสิ้น 2,521,273,200 บาท โดยให้เบิกจ่ายในงบดําเนินงาน จํานวน 2,267,469,100 บาท และงบลงทุนค่าครุภัณฑ์ จํานวน 253,804,100 บาท
นอกจากนี้ยังได้กําชับให้ทุกหน่วยเร่งรัดการเบิกจ่าย งบประมาณโดยคํานึงถึงค่าตอบแทน ค่าอาหารและหรือค่าใช้จ่ายตามสิทธิให้กับข้าราชการตํารวจที่ได้ปฏิบัติ หน้าที่ตามคําสั่งที่ได้รับมอบหมายเป็นลําดับแรกอย่าให้เกิดการร้องเรียนอย่างเด็ดขาด และให้สามารถถัวจ่ายได้ สําหรับภารกิจนี้เท่านั้น โดยให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คําสั่งของทางราชการอย่างเคร่งครัด
สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับจัดสรรงบประมาณสําหรับค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงของตํารวจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) จํานวน 6,046,299 บาท โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรกเป็น ค่าตอบแทน จํานวน 5,478,300 บาท
ส่วนที่สองเป็นค่าวัสดุโควิด จํานวน 225,999 บาท
และส่วนที่สาม เป็นค่าวัสดุน้ำมัน จํานวน 342,000 บาท
โดยส่วนที่เป็นค่าตอบแทนให้จ่ายแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับคําสั่งให้ ปฏิบัติงานนอกที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงได้ตามข้อตกลงในอัตราคนละ 60 บาทต่อชั่วโมง โดยเบิกจ่ายเท่ากับที่ปฏิบัติงานจริง แต่ไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งในวันราชการและ วันหยุดราชการ
สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ได้จัดให้มีการประชุมประจําเดือน กันยายน 2563 ครั้งที่ 3/2563 ในวันอังคารที่ 29 กันยายน 2563 ณ ห้องประชุม สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง โดยมี พันตํารวจเอก สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผู้กํากับการ สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง (ตําแหน่งในขณะนั้น) เป็นประธานที่ประชุม พันตํารวจตรี สุนิตย์ ยกชม สารวัตรธุรการ สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง (ตําแหน่งในขณะนั้น) เป็นเลขานุการที่ประชุม และมีข้าราชการตํารวจ สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง เข้าร่วมประชุมประมาณ 200 นาย
ในที่ประชุมมีการชี้แจงเรื่องการ ได้รับการจัดสรรงบประมาณสําหรับค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงของตํารวจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)
ซึ่ง พันตํารวจเอก สมพงศ์ และ พันตํารวจตรี สุนิตย์ ได้ชี้แจงรายละเอียดของงบประมาณที่ได้รับและวิธีการเบิกจ่ายให้ที่ประชุมทราบ ส่วนค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ได้สั่งการให้ข้าราชการตํารวจที่ ได้รับเงินเกินจาก 15,000 บาท นําไปบริจาคให้กับสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง เพื่อรวบรวมนําไปจัดสรรให้กับ ข้าราชการตํารวจที่ได้รับเงินตามสิทธิน้อยกว่า 15,000 บาท หรือไม่ได้รับเลย เพื่อให้ได้รับจํานวนที่เท่ากันคือ 15,000 บาท
ส่วนเงินที่เหลือจากการปันส่วน ให้เก็บไว้เป็นกองกลางเป็นเงินบริหารของสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง เพื่อนําไปใช้สําหรับการจัดหาอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน จัดงานวันตํารวจ จัดงานสังสรรค์ เป็นเงินรางวัล สําหรับผู้ปฏิบัติงานและอื่น ๆ โดยให้เจ้าหน้าที่การเงินสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง มีหน้าที่ในการเก็บรวบรวมเงินดังกล่าว
ทั้งที่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเงินค่าตอบแทนที่ได้รับจัดสรรเป็นเงินค่าตอบแทนการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับคําสั่งให้ปฏิบัติงานนอกที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ
ซึ่งในขณะนั้นมีข้าราชการตํารวจหลายรายไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีใครโต้แย้งหรือคัดค้าน
หลังจากนั้น สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ได้ทําการโอนเงินค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทุกรายตามสิทธิ เข้าบัญชีธนาคารเต็มตามจํานวน ข้าราชการตํารวจเป็นส่วนใหญ่ที่ได้รับเงินเกินจาก 15,000 บาท นําเงินส่วนที่เกินมอบให้กับเจ้าหน้าที่การเงินสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ตามที่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ได้สั่งการไว้
จากการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 27 มีนาคม – 30 มิถุนายน 2563 พันตํารวจเอก สมพงศ์ ได้รับเงินค่าตอบแทน จํานวน 34,000 บาท แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้นําเงินส่วนที่เกินจาก 15,000 บาท บริจาคให้กับสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ตามที่ได้มีข้อตกลงในที่ประชุม
ส่วน พันตํารวจตรี สุนิตย์ และเจ้าหน้าที่ธุรการของสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ซึ่งเป็นพรรคพวกของ พันตํารวจเอก สมพงศ์ และได้รับ มอบหมายให้มีหน้าที่ในการเก็บรวบรวมเงิน ซึ่งมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานล่วงเวลารายละ 3,000 บาท เป็นประจําทุกเดือนอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติงานนอกที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ แต่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ สั่งการให้จัดสรรเงินค่าตอบแทน(เบี้ยเลี้ยงงบโควิด-19) จากส่วนที่รับบริจาคจากข้าราชการตํารวจผู้ที่มีสิทธิ
นอกจากนี้ ยังได้จัดสรรให้แก่ข้าราชการตํารวจที่ได้รับเงินค่าตอบแทน(เบี้ยเลี้ยงงบโควิด-19) ตามสิทธิ น้อยกว่า 15,000 บาท เพิ่มจนเต็มจํานวน 15,000 บาท
ส่วนเงินที่เหลือได้เก็บไว้เป็นกองกลางเป็นเงิน บริหารสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ตามเจตนาของ พันตํารวจเอก สมพงศ์
ทั้งที่ สํานักงานงบประมาณและการเงิน สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้กําชับให้เบิกจ่ายงบประมาณโดยคําถึงถึงค่าตอบแทน ค่าอาหารและหรือค่าใช้จ่าย ตามสิทธิให้กับข้าราชการตํารวจที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ คําสั่งของทาง ราชการอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้จากการไต่สวนข้อเท็จจริง ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่าข้าราชการตํารวจหลายรายที่ ได้รับเงินค่าตอบแทนเกินจาก 15,000 บาท แล้วไม่นําไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่การเงินของสถานีตํารวจภูธร ทุ่งสง ตามที่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ได้สั่งการไว้ สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง คําสั่งปรับเปลี่ยนหน้าที่เพื่อไม่ให้ข้าราชการตํารวจรายอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ต่อมาปรากฏว่าได้มีผู้ร้องเรียนทางสื่อมวลชนให้ตรวจสอบการจ่ายเงินค่าตอบแทน(เบี้ยเลี้ยง งบโควิด-19) ของสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง พันตํารวจเอก สมพงศ์ จึงได้เรียกประชุมประจําเดือน ตุลาคม 2563 ครั้งที่ 4/2563 ในวันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ณ ห้องประชุม สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง
ก่อนจะมีการประชุม ได้มีการออกคําสั่งห้ามข้าราชการตํารวจทุกรายที่เข้าร่วมประชุมนําโทรศัพท์เข้าไปภายในห้องประชุม เพื่อป้องกันการแอบบันทึกเสียงในการประชุม และในที่ประชุมพันตํารวจเอก สมพงศ์ ประธานที่ประชุม พันตํารวจตรี สุนิตย์ เลขานุการที่ประชุม ได้ชี้แจงรายละเอียดในการใช้เงินงบประมาณและวิธีการเบิกจ่ายให้ข้าราชการ ตํารวจที่เข้าร่วมประชุมจํานวนประมาณ 200 นายทราบ
ส่วน พันตํารวจโท พิษณุกร จาดเมือง รองผู้กํากับการ ป้องกันและปราบปราม สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง ได้รับมอบหมายจาก พันตํารวจเอก สมพงศ์ ชี้แจงแก่ข้าราชการตํารวจในที่ประชุมว่าข้าราช การตํารวจทุกนายได้ตกลงด้วยความสมัครใจไม่ได้ถูกบังคับ ขู่เข็ญ ให้นําเงินส่วนที่เกินจาก 15,000 บาท มาบริจาคให้กับสถานีตํารวจภูธรทุ่งสง
หลังจากมีเหตุร้องเรียนข้างต้น ตํารวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช มีคําสั่งที่ 1340/2563 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง และคําสั่งที่ 1345/2563 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2563 เพิ่มเติมคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ขึ้นทําการสืบสวนกรณีเรื่องร้องเรียน ข้างต้น ผลการสืบสวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เห็นว่า พฤติการณ์การกระทําของ พันตํารวจเอก สมพงศ์ และ พันตํารวจตรี สุนิตย์ มีมูลเป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ ราชการให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบของทางราชการและนโยบายของรัฐบาล ฐานไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของ ผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ และฐานกระทําการ ใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการหรือระเบียบแบบแผนของตํารวจ ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 78(1) (2) และ (15) โดยมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นควรลงโทษกักยามผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองไว้ มีกําหนดคนละ 3 วัน ตามคําสั่ง ตํารวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ 1454/2563 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 และต่อจากนั้นจึงมีคําสั่งที่ 1499/2563 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการ จัดการเงินค่าตอบแทนตํารวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ของสถานีตํารวจภูธร ทุ่งสง โดยมีเงินที่ยังไม่ได้ทําการจัดสรรหรือนําไปจ่ายในเรื่องอื่นอยู่เป็น จํานวน 1,774,700 บาท คณะกรรมการจัดการเงินดังกล่าวได้จ่ายเงินส่วนนี้คืนให้แก่ข้าราชการตํารวจผู้มีสิทธิได้รับเงินเป็นที่ครบถ้วน เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ จากนั้น ตํารวจภูธรภาค 4 ได้มีคําสั่งที่ 474/2563 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 เพิ่มโทษ พันตํารวจเอก สมพงศ์ และ พันตํารวจตรี สุนิตย์ จากเดิมลงโทษ กักยาม ไว้มีกําหนดคนละ 3 วัน เป็นลงโทษ ตัดเงินเดือน พันตํารวจเอก สมพงศ์ ร้อยละ 5 เป็นเวลา 1 เดือน
ส่วน พันตํารวจตรี สุนิตย์ เป็นลงโทษ กักยาม ไว้มีกําหนด 15 วัน โดยให้นับโทษต่อจากโทษเดิม และให้ยกเลิกคําสั่งลงโทษ กักยาม ของ ตํารวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ 1454/2563 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 66/2564 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 มี มติว่า การกระทําของ พันตํารวจเอก สมพงศ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ อย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง ผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ฐาน กระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานกระทําหรือละเว้นการกระทําใดๆ อันเป็นเหตุให้ เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 7 (1) (5) และ(5)
สําหรับ พันตํารวจตรี สุนิตย์ ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติว่า จากการไต่สวนเบื้องต้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและ พยานหลักฐานที่จะฟังได้ว่า พันตํารวจตรี สุนิตย์ ได้กระทําผิดตามที่ถูกกล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้ข้อ กล่าวหาตกไป
จากนั้น ได้ส่งรายงาน สําเนาสํานวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคําวินิจฉัยให้ ตํารวจภูธร ภาค 8 (ผ่านสํานักงานตํารวจแห่งชาติ) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอํานาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณาลงโทษ ทางวินัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (2)
หลังจาก ตํารวจภูธรภาค 8 ได้รับสําเนาสํานวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคําวินิจฉัย ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พันตํารวจเอก สมพงศ์ ได้ยื่นหนังสือฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ร้องขอ ความเป็นธรรมในการดําเนินการลงโทษทางวินัย โดยขอให้ ตํารวจภูธรภาค 8 มีหนังสือแจ้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้พิจารณาไต่สวนพยานเพิ่มเติม ทบทวนความเห็น และมีคําวินิจฉัยใหม่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งจาก การตรวจสอบเอกสารที่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ยื่นเสนอให้พิจารณา โดยกล่าวอ้างพยานบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ เกี่ยวข้องกับงานการเงินและงบประมาณของหน่วย รวมถึงพยานบุคคลบางนายที่เป็นข้าราชการตํารวจสังกัด สถานีตํารวจภูธรทุ่งสง พิจารณาแล้ว ไม่เป็นพยานหลักฐานใหม่ตามนัยมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จึงได้ส่งสําเนาสํานวนการไต่สวน และเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษ ตํารวจภูธรภาค 8 พิจารณากําหนดโทษตามมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
คณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษ ตามคําสั่ง ตํารวจภูธรภาค 8 ที่ 617/2560 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2560 ได้ประชุมร่วมกัน เมื่อวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 พิจารณา พฤติการณ์การกระทําของ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผู้ถูกกล่าวหาตามที่ปรากฏในสํานวนการ ไต่สวนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. คําวินิจฉัย และเอกสารที่เกี่ยวข้อง แล้วเห็นว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานกระทํา หรือละเว้นการกระทําใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 79 (1) (5) และ(6) นั้น มีหนังสือ สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการตํารวจ ที่ 0039.3/0620 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2552 ได้วางแนวทางการลงโทษวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ระดับโทษคือ ไล่ออก ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2536 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นควรลงโทษ ไล่ผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการ
ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 72 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติตํารวจ แห่งชาติ พ.ศ.2547 จึงให้ลงโทษไล่ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล รองผู้บังคับการกฎหมายและคดี ตํารวจภูธรภาค 8 ออกจากราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2564 เป็นต้นไป โดยให้ยกเลิก คําสั่ง ตํารวจภูธรภาค 8 ที่ 474/2563 ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2563 เรื่อง เพิ่มโทษข้าราชการตํารวจ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ พันตํารวจเอก สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล เท่านั้น ส่วนอื่นๆ ให้มีผลบังคับเช่นเดิม
อนึ่ง หากผู้ถูกลงโทษประสงค์จะอุทธรณ์คําสั่งนี้ ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคําสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคําสั่งหรือคําวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทําคําฟ้องเป็นหนังสือ ยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นันแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือ รับทราบคําวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกําหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
สั่ง ณ วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2564 ลงนามโดย พล.ต.ท.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 8
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา