"...ทรัพย์สินของกรรมการตรวจการจ้างบางคนที่ปรากฎเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อ สโกด้า ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศมีลักษณะพิเศษระบบอัตโนมัติถอยเข้าช่องจอดรถได้ รถยนต์ยี่ห้อดังกล่าว ไม่ใช่เป็นรถบ้านที่ใช้กันแพร่หลาย จึงไม่น่ามีศูนย์บริการตรวจซ่อมและบำรุงรักษาแพร่หลายภายในประเทศ ลำพังบุคคลที่เป็นราชการอย่างวิญญูชนทั่วไป ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีฐานะร่ำรวยที่ถึงขนาดสั่งซื้อรถยนต์ประเภทนี้มาขับโชว์ ไม่น่าเสี่ยงที่จะสั่งชื้อรถยนต์ประเภทนี้มาจากต่างประเทศ ข้าพเจ้าขอให้ สตง.ตรวจสอบความเป็นมาของรถยนต์ดังกล่าวแล้ว แต่ทราบว่า สตง.ยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน ..."
กรณีปัญหางานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 1 วงเงินกว่า 393.1 ล้านบาท ของสำนักงานศาลยุติธรรม เกิดปัญหางานจ้างชำรุดบกพร่องกว่า 600 รายการ หลังตรวจรับงานได้ไม่นานนัก ส่งผลทำให้ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องทำหนังสือถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งให้เข้ามาทำการตรวจสอบกระบวนการตรวจจ้างและรับมอบงานพร้อมหาตัวผู้รับผิดชอบโดยด่วน โดยมีการตั้งข้อสังเกตพฤติการณ์ดังกล่าวว่าอาจมีกระบวนการเร่งส่งมอบงานและตรวจรับงานก่อสร้างทั้งหมดให้เสร็จสิ้นไปก่อน แล้วมาดำเนินการซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดบกพร่องกันภายหลัง
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำข้อมูลเชิงลึกมาเสนออย่างต่อเนื่องในขณะนี้ กำลังถูกจับตามองมากขึ้น
เมื่อสำนักข่าวอิศรา ได้รับการเปิดเผยข้อมูลใหม่ว่า ภายหลังจากที่ ประธานศาลฎีกา ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสดับตรับฟังข้อเท็จจริงเรื่องนี้ หลังจากสำนักงานศาลยุติธรรมได้รับหนังสือจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งผลการตรวจสอบการตรวจรับงานจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามสัญญาเลขที่ 58/2559 ลงวันที่ 28 เม.ย.2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมีการเสนอเรื่องให้ประธานศาลฎีกาพิจารณา ปัจจุบันคณะกรรมการอยู่ระหว่างดำเนินการสดับตรับฟังข้อเท็จจริงอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ
ขณะที่ผลการตรวจสอบกรณีนี้ของ สตง. แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ กรณีการก่อสร้างหน้าต่างบานกระทุ้ง ชั้น 3 เกินกว่าแบบรูปรายการ จำนวน 9 บาน และ กรณีความชำรุดบกพร่องจากน้ำฝนรั่วซึมเข้าอาคารทั้ง 4 ทิศ ซึ่งมีข้อมูลใหม่ปรากฏว่า เอกชนผู้รับจ้างงานมีการนำงานบางส่วนไปจ้างช่วงอีกต่อหนึ่ง แต่ผู้รับจ้างช่วงไม่มีมาตรฐานฝีมือจึงทำให้งานเกิดปัญหา ขณะที่คำชี้แจงของกรรมการตรวจการจ้างบางราย ยอมรับว่ามิได้มีความรู้เชี่ยวชาญในงานก่อสร้าง แต่การตรวจรับงานครั้งสุดท้าย คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ใช้ระยะเวลาพิจารณหลายครั้ง แสดงให้เห็นว่า มิได้ให้การอนุมัติตรวจรับงานทันทีทันใด พฤติการณ์ที่ปรากฏจึงยังไม่พอรับฟังว่ามีลักษณะเป็นการทุจริต แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่อันบกพร่องและก่อให้เกิดความเสียหายตามมาเท่านั้น พร้อมแจ้งให้ดำเนินการทางวินัยแก่คณะกรรมการตรวจการจ้าง จำนวน 7 ราย ซึ่งมีชื่อผู้พิพากษาระดับสูงรวมอยู่ด้วย พร้อมให้มีการชดใช้ค่าเสียหายแก่สำนักงาน ศาลยุติธรรม เป็นเงิน จำนวน 6,903,079.05 บาท ด้วย

- ชำรุดเพียบ 600 รายการ! ปธ.ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แจ้ง สตง.สอบงานก่อสร้างอาคารที่ทำการ 393 ล. (1)
- มีร้องเรียนจริง! สตง.ลุยตรวจงานสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชำรุด 600 รายการแล้ว (2)
- ซ่อมตั้งแต่เปิดใช้! แฉปมศาลอุทธรณ์ภาค1ชำรุด 600 รายการ รีบส่งมอบ-เร่งตรวจรับให้จบ (3)
- เปิดลิสต์! ปัญหาอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชำรุด หนักสุดฝนรั่วเข้าห้องทำงาน พ.12 คน-ปธ.ด้วย (4)
- ปธ.ศาลฎีกา ตั้งคกก.สดับตรับฟังข้อเท็จจริง สตง.แจ้งผลสอบอาคารศาลอุทธรณ์ภาค1 ชำรุดเพียบ (5)
- แค่บกพร่องไม่ทุจริต! ล้วงผลสอบอาคารศาลอุทธรณ์ภาค1ชำรุด สตง.แจ้งโทษวินัย 7คน-ชดใช้ 6.9 ล. (6)
- เปิด 2 ประเด็น! สตง.สอบอาคารศาลอุทธรณ์ภาค1ชำรุด แจ้งโทษวินัย 7คน-พบปัญหาจ้างช่วงงานด้วย (7)
ปรากฏว่า นายสันติ วงศ์รัตนานนท์ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นผู้ทำหนังสือถึง นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าฯ สตง. ขณะนั้น เพื่อแจ้งให้เข้ามาตรวจสอบกระบวนการตรวจการจ้างและรับมองงานจ้างก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 1 หลังรับทราบว่า อาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ดำเนินการก่อสร้างงานตามสัญญา เมื่อปี 2559 ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562 มีการตรวจรับมอบงานครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562 งานจ้างยังมีความชำรุดบกพร่องหลายรายการ อันเกิดจากการใช้วัสดุอุปกรณ์ไม่ถูกต้องตามรูปแบบรายการ ทำไว้ไม่เรียบร้อย และทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานแห่งหลักวิชา ในช่วงเดือนม.ค.2566
ได้ทำหนังสือฉบับใหม่ ถึงเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อขอไปให้ถ้อยคำและเพิ่มประเด็นตรวจสอบกรณีความชำรุดของการก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าว
โดย นายสันติ ยืนยันว่า รายงาน สตง. น่าจะมีการตรวจสอบไม่ครบประเด็นตามข้อเท็จจริงที่ตนเองเคยไปให้ถ้อยคำ และยังคาดเคลื่อนต่อหลักการตรวจสอบการทุจริต
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทรัพย์สินของกรรมการตรวจการจ้างบางราย เป็นรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงพฤติกรรมของกรรมการตรวจการจ้างรายหนึ่ง ที่เคยมีผู้รับเหมาบางงานของศาล มาบ่นให้ฟังว่าถูกกรรมการตรวจการจ้างคนนั้นเรียกเงินไปด้วย
หนังสือของ นายสันติ ที่แจ้งถึง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ลงวันที่ 24 ม.ค.2568 ระบุว่า ตามที่เป็นข่าวจากสำนักข่าวอิศรา กรณีความชำรุดบกพร่องของการก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ส่งรายงานการตรวจสอบถึงสำนักงานยุติธรรม โดยสรุปผลการตรวจว่า มีข้อบกพร่อง เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีหรือแบบแผนการปฏิบัติราชการและก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานศาลยุติธรรม แต่ยังไม่พอฟ้องว่ามีการทุจริตและได้แจ้งให้ดำเนินการทางวินัยแก่คณะกรรมการตรวจการจ้าง ซึ่งต่อมาท่านประธานศาลฎีกาได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสดับรับฟังข้อเท็จจริงนั้น
ข้าพเจ้าเห็นว่ารายงาน สตง. ดังกล่าว น่าจะมีการตรวจสอบไม่ครบประเด็นตามข้อเท็จจริงที่ข้าพเจ้าเคยไปให้ถ้อยคำต่อ สตง.และยังจารณาคลาดเคลื่อนต่อหลักการตรวจสอบการทุจริตดังนี้
ข้อ 1. การที่มีการละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการจนก่อให้เกิดความเสียหายเท่ากับเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับจ้างถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่แล้ว เพราะย่อมเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่า การละเว้นดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐต้องด้วยเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้ว
ดังนั้น หากยึดถือมาตราฐานผลการให้ความเห็นของ สตง.ดังกล่าว ย่อมเสมือนกับที่มีการกล่าวกันว่าจะต้องมีใบเสร็จรับเงินจึงจะถือว่าเป็นการทุจริต นโยบายการป้องกันและปราบปรามคอรัปชันคงไร้ผล โดยเฉพาะกับบรรดานักกฎหมายที่ไม่สุจริต คงยากที่จะจับการทุจริตได้
ข้อ 2. การตรวจรับงานก่อสร้างมีการเร่งส่งมอบงานก่อสร้างทั้งหมดไปก่อนทั้งที่งานมีความชำรุดบกพร่อง เป็นผลให้สำนักงานศาลยุติธธรรม ต้องจ่ายเงินค่าจ้างไปก่อนเวลาอันสมควรหรือไม่สมควรต้องจ่าย ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ อย่างน้อยที่เห็นเป็นตัวเงินได้ชัดเจน คือ ดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินค่าจ้างซึ่งหากค่าจ้างดังกล่าวยังไม่ถูกจ่ายไป ตัวเงินก็จะยังอยู่ในบัญชีเงินฝากของรัฐ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นย่อมตกเป็นของรัฐ
ข้อ 3. การตรวจรับงานจ้างเหมาก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 1 นี้ นอกจากตั้งกรรมการตรวจการจ้างซึ่งประกอบด้วยวิศวกรถึง 2 คนแล้ว สำนักงานศาลยังว่าจ้างบริษัทอื่นให้มาควบคุมงานก่อสร้างด้วย ดังนั้น ความชำรุดบกพร่องซึ่งเห็นประจักษ์เกิดขึ้นมากเช่นนี้ หากผู้รับเหมางานก่อสร้างไม่มั่นใจว่างานจะผ่านการตรวจรับคงไม่กล้าที่จะส่งมอบงานเช่นนี้ เพราะเสี่ยงต่อการที่จะถูกสั่งให้รื้อทำใหม่นำมาซึ่งผลการขาดทุน
ข้อ 4. ประธานตรวจการจ้างเป็นผู้มีประสบการณ์เคยทำหน้าที่รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม มีอำนาจหน้าที่จัดการและดูแลอาคารศาลทั่วประเทศมานานหลายปี ไม่น่าเชื่อว่าจะแค่ประมาทบกพร่องไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนราชการ
ข้อ 5. สำนักงานศาลยุติธธรรม ประเมินความเสียหายได้ประมาณ 13 ล้านบาท และกำลังดำเนินการซ่อมแซมอาคาร ไม่ใช่ 6.9 ล้านบาท ตามผลของการตรวจสอบของ สตง.
ความเสียหาย 13 ล้านบาท ตามที่สำนักงานศาลประเมินหรือ 6.9 ล้านบาท ตามที่ สตง.อ้างเป็นเพียงความเสียหายจากรายการความชำรุดบกพร่องที่ยังไม่ได้ซ่อมแซมให้เรียบร้อยความชำรุดบกพร่องที่แท้จริง คือ จำนวน 600 กว่ารายการที่ปรากฎภายหลังตรวจรับมอบงานงวดสุดท้ายไปแล้ว
ความชำรุดบกพร่อง 600 กว่ารายการนี้ที่เป็นข้อบ่งชี้ว่ามีขบวนการเร่งตรวจรับมอบงานให้เสร็จสิ้นไปก่อนแล้วจึงมาทำรายการซ่อมภายหลังอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐตามที่กล่าวมาในข้อ 2.
ดังนั้น การที่ สตง.เอาแค่รายการความชำรุดบกพร่องที่ยังไม่ได้ซ่อมแชมเพียงไม่กี่รายการมาคำนวณแล้วพิจารณาลงความเห็นว่า ไม่ปรากฏความทุจริตจึงคลาดเคลื่อนต่อความจริง
สำหรับรายการที่ซ่อมแชมไปแล้วก็ใช่จะเรียบร้อย เช่นบริเวณชั้น 8 ของอาคาร ปัจจุบันยังมีกลิ่นเหม็นทั่วทั้งชั้นตลอดปี ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ข้อ 6. เกี่ยวกับทรัพย์สินของกรรมการตรวจการจ้างบางคนที่ปรากฎเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อ สโกด้า ซึ่งเป็นรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศมีลักษณะพิเศษระบบอัตโนมัติถอยเข้าช่องจอดรถได้ รถยนต์ยี่ห้อดังกล่าว ไม่ใช่เป็นรถบ้านที่ใช้กันแพร่หลาย จึงไม่น่ามีศูนย์บริการตรวจซ่อมและบำรุงรักษาแพร่หลายภายในประเทศ ลำพังบุคคลที่เป็นราชการอย่างวิญญูชนทั่วไป ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีฐานะร่ำรวยที่ถึงขนาดสั่งซื้อรถยนต์ประเภทนี้มาขับโชว์ ไม่น่าเสี่ยงที่จะสั่งชื้อรถยนต์ประเภทนี้มาจากต่างประเทศ
ข้าพเจ้าขอให้ สตง.ตรวจสอบความเป็นมาของรถยนต์ดังกล่าวแล้ว แต่ทราบว่า สตง.ยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน
ข้อ 7. เกี่ยวกับพฤติกรรมของกรรมการตรวจการจ้างคนหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยทราบจากาการพูดคุยกับผู้พิพากษาบางท่านในศาลว่า มีผู้รับเหมาบางงานของศาล มาบ่นให้ฟังว่าถูกกรรมการตรวจการจ้างคนนั้นเรียกเงินไป
ข้อ 8. สตง.ใช้เวลาตรวจสอบนานเกินกรอบระยะเวลาไปมาก จนกรรมการตรวจการจ้างบางคนลาออกจากราชการศาลไปแล้ว หากเป็นไปตามผลสรุปของ สตง. ไม่อาจเอาผิดกับกรรมการตรวจการจ้างที่ลาออกไป
จากที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้การตรวจสอบของคณะกรรมการสดับรับฟังมีข้อเท็จจริง ที่รอบด้าน ข้าพเจ้าจึงประสงค์จะไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการดังกล่าวและขอให้ตั้งประเต็นเพิ่มเติมเรื่องการทุจริตด้วย
จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
******
อนึ่งก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า สำหรับคณะกรรมการตรวจการจ้าง จำนวน 7 ราย ที่ถูกสตง.แจ้งให้ดำเนินการทางวินัยซึ่งมีชื่อผู้พิพากษาระดับสูงรวมอยู่ด้วยนั้น แบ่งเป็น ผู้บริหารระดับสูงในศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำนวน 2 ราย , ผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานศาลยุติธรรม 1 ราย เป็นผู้บริหารระดับผู้อำนวยการในสำนักงานศาลยุติธรรม 2 ราย และวิศกรของหน่วยงานในสำนักงานศาลยุติธรรม 2 ราย
ปัจจุบัน หนึ่งในคณะกรรมการตรวจการจ้างที่ถูกแจ้งให้ดำเนินการทางวินัย มีตำแหน่งเป็นหนึ่งในกรรมการขององค์กรอิสระแห่งหนึ่งด้วย
ส่วนใครจะมีพฤติการณ์ตามที่ นายสันติ วงศ์รัตนานนท์ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 กล่าวอ้างถึงบ้าง คงต้องรอดูกันต่อไป
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม จะมีการเชิญ นายสันติ วงศ์รัตนานนท์ เข้าไปให้ถ้อยคำเพิ่มเติม ตามที่มีการร้องขอไปหรือไม่?
ท้ายที่สุดผลการสอบสวนของ คณะกรรมการสดับรับฟังข้อเท็จจริง จะออกมาเป็นอย่างไร ?
พฤติการณ์ของคณะกรรมการตรวจการจ้าง จาก แค่บกพร่อง จะขยายผลเป็นเรื่องทุจริตหรือไม่ ?
น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง!!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา