“….การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ไม่ระงับการซื้อที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ไว้ เพื่อตรวจสอบให้ได้ความชัดแจ้งเสียก่อน แต่กลับยืนยืนยันให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ตน จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าสมัครใจหรือยินยอมที่จะเสี่ยงภัยหรือรับความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นได้…”
.....................................
เป็นคดีเกี่ยวกับ ‘ที่ดิน’ ที่น่าสนใจ
เมื่อ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1078/2559 คดีหมายเลขแดงที่ อ.222/2567 ซึ่งเป็นคดีที่ 'ผู้ฟ้องคดี 5 ราย' ยื่นฟ้องกรมที่ดินกับพวกรวม 3 ราย (กรมที่ดิน ,อธิบดีกรมที่ดิน และรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน)
กรณีมีคำสั่ง 'เพิกถอน' หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 769 ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เนื้อที่ 31-1-93 ไร่ ของผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ซึ่ง ‘ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต’ และที่ดินดังกล่าวรังวัดอย่างถูกต้อง มี ‘เจ้าหน้าที่ของรัฐ’ และผู้มีส่วนได้เสียมาระวังชี้แนวเขต
โดย ศาลปกครองสูงสุดพิพากษา ‘ยกฟ้อง’ ในคดีนี้ เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งกรมที่ดินที่ให้เพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 769 และคำสั่งขอรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน ที่ให้ 'ยกอุทธรณ์' นั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอสรุป ‘ข้อเท็จจริง’ และ ‘คำวินิจฉัย’ ของศาลปกครองสูงสุดในคดีนี้ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@‘กรมที่ดิน’อ้างคำพิพากษา‘ศาลฎีกา’เพิกถอน‘น.ส.3 ก.’
ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาพยานหลักฐานในคำฟ้อง คำให้การ คำคัดค้านคำให้การ คำให้การเพิ่มเติม คำอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ คำชี้แจง และพยานหลักฐานอื่นจากการแสวงหาข้อเท็จจริงของแล้ว
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ครอบครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 769 ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เนื้อที่ 31-1-93 ไร่ ออกเมื่อวันที่ 16 พ.ย.2535 ซึ่ง นายหลงเหรด หมั่นเพียร ได้อาศัยหลักฐานตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 32 หมู่ 1 ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เนื้อที่ 4 ไร่ มาขอรังวัดออก น.ส.3 ก. เป็นรายการเฉพาะ ตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
และได้ออก น.ส.3 ก. เลขที่ 769 ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เนื้อที่ 31-1-93 ไร่ ให้แก่นายหลงเหรด และในวันเดียวกันนายหลงเหรด ได้ขายที่ดินดังกล่าวให้ นาง ล. กับพวก
ต่อมา ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4692/2550 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2550 ในคดีอาญา ระหว่าง พนักงานอัยการกระบี่ (โจทก์) กับ นายหลงเหรด หมั่นเพียร (จำเลยที่ 1) นายดำรงศักดิ์ ห้าหวา (จำเลยที่ 2) นายเสรด การกล้า (จำเลยที่ 3) และนายประยูร หนูรัตน์ (จำเลยที่ 4) เรื่องความผิดต่อพนักงาน ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ฯ รับฟังเป็นที่ยุติว่า
นายหลงเหรด ได้นำ ส.ค.1 เลขที่ 32 เนื้อที่ 4 ไร่ มาใช้เป็นหลักฐานขอรังวัดออก น.ส.3 ก. เลขที่ 768 เนื้อที่ 31-1-93 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 32 และมีเนื้อที่ต่างกันมาก อีกทั้งเป็นการออก น.ส.3 ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าหลังสอดและป่าควนบากันเกาะ”
อย่างไรก็ดี ต่อมานาง ล. ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 768 เนื้อที่ 31-1-93 ไร่ ให้แก่ ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ตามสัญญาขาย ลงวันที่ 1 ก.พ.2551 ในราคา 7.87 ล้านบาท โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ได้บันทึกหลังสัญญาขายฉบับดังกล่าวว่า “อยู่ระหว่างพิจารณาคดีทางศาล และพิจารณาเพิกถอนแก้ไขตามนัยมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน คู่กรณีทราบและยืนยันให้จดทะเบียน” พร้อมลงลายมือชื่อผู้ซื้อไว้เป็นหลักฐาน
ในเวลาต่อมากรมที่ดิน มีการแต่งตั้ง ‘คณะกรรมการสอบสวนฯ’ ตามคำสั่งที่ 1011/2554 เรื่อง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 27 เม.ย.2554 และต่อมามีการแจ้งไปยังผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 768 ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 ลงวันที่ 27 ก.ค.2550
อย่างไรก็ตาม ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ได้ทำหนังสือคัดค้านการเพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 768 และต่อมา รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาคำอุทธรณ์ ได้พิจารณาคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 และมีคำสั่ง ‘ยกอุทธรณ์’
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 เห็นว่า การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
อีกทั้งผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ได้ซื้อที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 768 จากนาง ล. โดย ‘สุจริตและเสียค่าตอบแทน’ ตามสัญญา ลงวันที่ 1 ก.พ.2551 ซึ่งเจ้าของที่ดินเดิมได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ก่อนมีการกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยได้มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถูกต้องตามกฎหมาย
รวมทั้งผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องใดๆกับจำเลยทั้ง 4 ในการกระทำความผิดอาญา ประกอบศาลฎีกา ก็มิได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 768 แต่อย่างใด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4692/2550 จึงไม่มีผลผูกพันและบังคับถึงผู้ฟ้องคดีทั้ง 5
และเมื่อหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นเอกสารสิทธิ อันเป็นเอกสารราชการที่นายอำเภอเกาะลันตา มีอำนาจออกให้ประชาชนโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2550 วินิจฉัยว่า
การนำ ส.ค.1 เลขที่ 32 มาเป็นหลักฐานในการออก น.ส.3 ก. เลขที่ 768 เป็นที่ดินคนละแปลงกัน ก็เป็นเรื่องการกระทำผิดของจำเลยในคดีดังกล่าว ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดิน มาก่อนมีการกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ
นอกจากนี้ ในการออก น.ส.3 ก. เลขที่ 768 ดังกล่าว ได้รังวัดอย่างถูกต้อง โดยเจ้าของผู้มีสิทธิครองครองที่ดินข้างเคียง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้มีส่วนได้เสียมาระวังชี้แนวเขต ไม่มีผู้โต้แย้งคัดค้านการครอบครองที่ดินและแนวเขตที่ดิน ดังนั้น การออก น.ส.3 ก. เลขที่ 768 ดังกล่าว จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 จึงมาฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยขอให้ศาลฯเพิกถอนคำสั่งของกรมที่ดิน และคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ รวมทั้งให้ชำระสินไหมแก่ผู้ฟ้องคดทั้ง 5 เป็นเงินทั้งสิ้น 113.6 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งศาลปกครองชั้นต้น 'ยกฟ้อง' ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ไม่เห็นพ้องด้วย จึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
@ศาลฯชี้คำสั่งเพิกถอน ‘น.ส.3 ก.’ เกาะลันตา ชอบด้วยกฎหมาย
คำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหา รวม 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ที่ 2728/2555 ลงวันที่ 19 ต.ค.2554 ที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 768 ต.เกาะลันตาน้อย อ.เกาะลันตา จ.กระบี่
และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน) ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ...แต่โดยที่คำพิพากษาฎีกาดังกล่าว (คำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2550) ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติชัดเจนว่า
จำเลยที่ 1 (นายหลงเหรด หมั่นเพียร) ผู้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เป็นการเฉพาะราย ได้นำ ส.ค. 1 เลขที่ 32 เนื้อที่ 4 ไร่ มาขอรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และมีการออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าหลังสอดและป่าควนบากันเกาะ” ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 929 (พ.ศ.2524) ออกตามความใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลง และมีเนื้อที่แตกต่างกันมาก
กรณีจึงฟังได้ว่า ผู้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายในที่ดินพิพาทในขณะนั้น ไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ใช่บุคคลตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้
ดังนั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ออก น.ส.3 ก. เลขที่ 768 ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา ให้แก่นายหลงเหรด หมั่นเพียร ผู้ซึ่งมีชื่อใน น.ส. 3 ก. ดังกล่าว จึงเป็นการออก น.ส. 3 ก. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีที่กรมที่ดิน) โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ที่จะต้องดำเนินการเพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2551 ต่อไป
และเนื่องจากผู้ฟ้องคดีทั้งห้าคู่กรณี ฝ่ายที่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) โดยรองอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งได้รับมอบหมายที่ 2768/2554 ลงวันที่ 19 ต.ค.2554 ที่ให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น
ไม่อาจเสนอพยานหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว จนปราศจากข้อสงสัยตามสมควร ตามข้อ 64 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ว่า ที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ไม่ได้เป็นที่ดินคนละแปลง และไม่ได้มีเนื้อที่แตกต่างกันมากกับที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 32 อันเป็นการออก น.ส.3 ก.โดยชอบด้วยกฎหมาย
จึงทำให้ศาลปกครองที่พิจารณาคดีนี้ ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นประการอื่นได้ เพราะจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกาก่อนหน้า ที่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันกันเอาไว้แล้วเท่านั้น
นอกจากนั้น ก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) โดยรองอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งได้รับมอบหมายจะมีคำสั่งที่ 2728/2555 ลงวันที่ 19 ต.ค.2554 ให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
โดยคณะกรรมการสอบสวนได้เรียก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเอกสารที่ได้จดแจ้งรายการทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ หรือเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง มาพิจารณา พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ผู้มีส่วนได้เสียทราบเพื่อให้โอกาสคัดค้าน ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวน และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ.2553
อันเป็นการดำเนินการตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการ อันเป็นสาระสำคัญสำหรับการเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้ใดโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ที่ 2728/2554 ลงวันที่ 19 ต.ค.2554 ที่ให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 จึงชอบด้วยกฎหมาย
การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอุทธรณ์ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า เป็นบุคคลภายนอก ไม่มีส่วนรู้เห็นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับจำเลยทั้งสี่ในการกระทำความผิดอาญาตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 ทั้งศาลฎีกาก็ไม่ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ดังกล่าว คำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 จึงไม่มีผลผูกพันและบังคับถึงผู้ฟ้องคดีทั้งห้า
เมื่อ น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 เป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการที่นายอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ มีสิทธิออกให้กับประชาชนได้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แม้ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 วินิจฉัยว่า ได้มีการนำ ส.ค. 1 เลขที่ 32 มาเป็นหลักฐานในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และได้มีการออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ซึ่งเป็นที่ดินคนละตำแหน่งกับที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ก็ตาม
ก็เป็นเรื่องการกระทำผิดของจำเลยในคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ที่มีมาก่อนการกำหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติฯ ซึ่งเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินอยู่เดิม สามารถนำมาขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้อยู่แล้วตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ทั้งในการออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ดังกล่าว ก็ได้มีการรังวัดสอบเขตที่ดินจากหน่วยงานราชการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) อย่างถูกต้อง และในการรังวัดสอบเขตที่ดินทั้งสี่ทิศ มีเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินข้างเคียงผู้มีส่วนได้เสีย และเจ้าหน้าที่ของรัฐ มาระวังแนวเขตที่ดินว่า แนวเขตที่ดินถูกต้อง ไม่มีผู้ใดมาโต้แย้งคัดค้านการครอบครองที่ดินและแนวเขตที่ดิน เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา ดังกล่าว
และนายอำเภอเกาะลันตาเห็นว่า ขั้นตอนและวิธีการในการออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ได้ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงได้ออก น.ส. 3 ก. เลขที่ดิน 768 ให้ จึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะต้องเพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768
อีกทั้งคณะกรรมการสอบสวนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ได้มีคำสั่งที่ 1011/2554 ลงวันที่ 27 เม.ย. 2554 ตั้งเพื่อทำการสอบสวนเพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ไม่ได้ดำเนินการสอบสวนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
ตลอดทั้งวิธีการในการสอบสวนและพิจารณา ก็ไม่ได้ดำเนินการตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวน และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ.2553 ข้อ 5 ข้อ 11 และข้อ 12 จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ มีคำสั่งและมีคำวินิจฉัยอุทธรรณ์แล้วแต่กรณี จึงไม่อาจนำผลการพิจารณาตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนที่ไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาเป็นมูลเหตุในการเพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้ นั้น จึงไม่อาจรับฟังได้
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าได้มีหนังสืออุทธรณ์คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย พร้อมทั้งขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน) ในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ นั้น
เห็นว่า ...เมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ซึ่งถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ประกอบความเห็นพร้อมเหตุผลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งได้รับมอบหมายที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย รายงานไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในฐานะผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง พร้อมการเสนอคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าแล้ว
ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 อาศัยเหตุผลทำนองเดียวกันกับการพิจารณาคำอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางงปกครอง ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งห้าได้ทราบอยู่แล้ว
จึงเป็นกรณีที่เป็นข้อยกเว้นตามมาตรา 37 วรรคสาม (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเป็นกรณีที่เหตุผลนั้นเป็นที่รู้กันอยู่แล้วโดยไม่จำต้องระบุอีก โดยไม่จำต้องจัดให้มีเหตุผลลตามมาตรา 37 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันไว้ในคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 อีก
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ได้มีหนังสือที่ มท 0516.2(3)/619 ลงวันที่ 13 ม.ค.2555 ที่ มท 1516/2(3)/620 ลงวันที่ 11 ม.ค.2555 ที่ มท 0516.2(3)/623 ลงวันที่ 11 ม.ค.2555 ที่ มท 0516.2(3)/624 ลงวันที่ 11 ม.ค.2555 และที่ มท 0516.2(3)/625 ลงวันที่ 11 ม.ค.2555
แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าทราบ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงเป็นการดำเนินการตามรูปแบบขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญสำหรับการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง อีกทั้งประกอบด้วยเหตุผลของคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว
@‘กรมที่ดิน’ไม่ต้องชดใช้ฯ เหตุผู้ซื้อรู้อยู่แล้วว่ามีความเสี่ยง
ประเด็นที่ 2 การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลับตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา ให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินเดิม
และต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมที่ดิน) โดยรองอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งได้รับมอบหมาย ได้มีคำสั่งที่ 2728/2554 ลงวันที่ 19 ต.ค.2554 ให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. ดังกล่าว และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้า เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งห้าหรือไม่ หากเป็นการกระทำละเมิด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต้องรับผิดชอบชดใช้สินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าหรือไม่ เพียงใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ... เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4692/2550 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2550 ว่า ผู้ครอบครองที่ดินเดิมได้นำแบบ ส.ค. 1 เลขที่ 32 หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะสันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 4 ไร่ มาขอรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
และพนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา ให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินเดิม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าหลังสอดและป่าควนบากันเกาะ ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลงและมีเนื้อที่แตกต่างกันมาก
กรณีจึงเห็นได้ว่า ผู้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายในที่ดินพิพาทในขณะนั้น ไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ใช่บุคคลตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ได้
ดังนั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 93 ตารางวา ให้แก่ผู้ครอบครองที่ดินเดิม จึงเป็นการออก น.ส. 3 ก. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่ข้อเท็จริงปรากฏต่อไปว่า ผู้มีชื่อใน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าวให้กับ นาง ล. กับพวก ตามหนังสือสัญญาขายที่ดิน ลงวันที่ 16 พ.ย.2535 จากนั้น เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2551 พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้แจ้งให้นาง ล. กับพวก (ผู้ขาย) และผู้ฟ้องคดีทั้งห้า (ผู้ซื้อ) ทราบขณะยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768
โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ได้บันทึกไว้หลังสัญญาขาย ลงวันที่ 1 ก.พ.2551 ว่า “อยู่ระหว่างพิจารณาคดีทางศาล และพิจารณาเพิกถอนแก้ไข ตามนัยมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน คู่กรณีทราบและยืนยันให้จดทะเบียน”
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า โดยนาย น. ผู้รับมอบอำนาจ (ผู้ซื้อ) ได้ลงลายมือชื่อรับทราบ ซึ่งเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า
โดยถือปฏิบัติตามหนังสือผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ที่ มท 0728/ว 22633 ลงวันที่ 12 ก.ย.2544 ข้อ 2 ซึ่งกำหนดว่า หากมีผู้มาขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการพิจารณาเพิกถอนแก้ไขตามข้อ 1 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้ผู้ขอจดทะเบียนทราบว่า ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวอยู่ในระหว่างดำเนินการพิจารณาเพิกถอน แก้ไข ตามนัยมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
หากผู้ขอจดทะเบียนทราบแล้วยังคงยืนยันให้จดทะเบียนก็ให้บันทึกถ้อยคำไว้ และให้ผู้ขอจดทะเบียนลงชื่อรับทราบ แล้วดำเนินการจดทะเบียนให้ผู้ขอได้...
แนวปฏิบัติตามหนังสือดังกล่าวถือเป็นแนวทางป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินที่หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินอยู่ระหว่างตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย หรืออยู่ระหว่างดำเนินการเพิกถอน แก้ไข ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
เมื่อผู้ฟ้องคดีทั้งห้าทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าชอบที่จะไตร่ตรอง เพื่อใช้ความระมัดระวังและความรอบคอบในการตกลงเข้าทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทอย่างวิญญูชนทั่วไป ที่สมควรจะชะลอการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินไว้ จนกว่าจะปรากฎข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติจากผลการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ไม่ระงับการซื้อที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ไว้ เพื่อตรวจสอบให้ได้ความชัดแจ้งเสียก่อน แต่กลับยืนยืนยันให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ตน จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าสมัครใจหรือยินยอมที่จะเสี่ยงภัยหรือรับความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นได้
เมื่อความปรากฏในภายหลังตามผลการพิจารณาตรวจสอบจากพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องของคณะกรรมการสอบสวนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย พบว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 4692/2550 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2550 พิพากษาให้จำคุกผู้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย ที่ต่อมาได้มีการออก น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และผู้ที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากเป็นการออก น.ส. 3 ก. โดยอาศัยหลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 32 หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นที่ดินคนละตำแหน่งกับที่ตั้งที่ดินตามหลักฐาน อีกทั้งเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ซึ่งได้กำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 จึงเป็นหลักฐานที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะกรรมการสอบสวน จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ดังกล่าว จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งได้รับมอบหมาย ได้มีคำสั่งที่ 2728/2554 ลงวันที่ 19 ต.ค.2554 ให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ดังกล่าว อันเป็นผลให้การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมชายที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2551 ถูกเพิกถอน และทำให้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าได้รับความเสียหาย
เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ เกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าสมัครใจหรือยินยอมที่จะเสี่ยงภัยหรือรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเอง โดยการขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมชายที่ดินพิพาทให้แก่ตน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกันกับผู้ฟ้องคดีทั้งห้า จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือโดยผิดกฎหมายของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อันจะถือได้ว่าเป็นการทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) จึงไม่ต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งห้าแต่อย่างใด
การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอุทธรณ์ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และวันที่จะมีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2551
เจ้าพนักงานที่ดินได้รับทราบเหตุแห่งการฟ้องคดีให้เพิกถอน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 ดังกล่าวแล้ว แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้ทำการอายัดที่ดิน และไม่ได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้ทำนิติกรรม จำหน่าย จ่ายโอน ที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 768 แต่กลับได้ทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินให้กับผู้ฟ้องคดีทั้งห้า จึงถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามได้กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งห้า จึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า นั้น ฟังไม่ขึ้น
เหล่านี้เป็นคำวินิจฉัยของ ‘ศาลปกครองสูงสุด’ คดีการเพิกถอน น.ส.3 ก. เนื้อที่ 31 ไร่เศษ ในพื้นที่เกาะลันตา จ.กระบี่ ที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่อาจนำไปเทียบเคียงกับหลายๆคดี ที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนในขณะนี้ แต่ก็ถือเป็นบรรทัดฐานของศาลฯที่จะวินิจฉัยในคดีที่มีลักษณะและเนื้อคดีใกล้เคียงกัน!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา