
"...นางสุวรรณี ตั้งวีระพรพงศ์ ขออุทธรณ์ โดยอ้างว่า ไม่มีเจตนาทุจริต การใช้รถยนต์ส่วนกลาง นำแฟ้มงานราชการไปเกษียณสั่งการที่บ้านพักในจังหวัดนครราชสีมา 17 ครั้ง เป็นไปตามคำสั่ง ที่ให้อำนาจผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคทรวงอก สั่งใช้รถราชการส่วนกลางได้ทั่วราชอาณาจักร แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบ ใช้รถยนต์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว..."
นางสุวรรณี ตั้งวีระพรพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ ตกเป็นจำเลยในคดีทุจริตใช้รถยนต์ส่วนกลางของสถาบันโรคทรวงอกเพื่อประโยชนส่วนตน และเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการโดยมิชอบ หลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดตามอาญา และส่งสำนวนพยานเอกสารหลักฐาน ให้อัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย
โดย เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มีคำพิพากษาว่า นางสุวรรณี ตั้งวีระพรพงศ์ จำเลยมีความผิดตามมาตรา 157 (เดิม) พ.ร.ป. ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ ที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามมาตรา 91 ความผิดแต่ละกรรมเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ ที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90 ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 30,000 บาท รวม 27 กระทง เป็นจำคุก 27 ปี และปรับ 810,000 บาท
จำเลยนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามมาตรา 78 กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน และปรับกระทงละ 20,000 บาท รวมเป็นจำคุก 18 ปี และปรับ 540,000 บาท
ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนความผิดแต่ละกระทงศาลลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปีจำเลยได้ชดใช้เงินคืนทางราชการครบถ้วนและถูกลงโทษทางวินัยให้ไล่ออกจากราชการแล้ว
โทษจำคุกจังให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามมาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29 , 30 (ที่แก้ไขใหม่) คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้น

คือ ข้อมูลทางคดีที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นดังกล่าว ซึ่ง นางสุวรรณี ตั้งวีระพรพงศ์ ขออุทธรณ์ โดยอ้างว่า ไม่มีเจตนาทุจริต การใช้รถยนต์ส่วนกลาง นำแฟ้มงานราชการไปเกษียณสั่งการที่บ้านพักในจังหวัดนครราชสีมา 17 ครั้ง เป็นไปตามคำสั่ง ที่ให้อำนาจผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคทรวงอก สั่งใช้รถราชการส่วนกลางได้ทั่วราชอาณาจักร
แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบ และเป็นการใช้รถยนต์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ปรากฏข้อมูลดังต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ระบุว่า นางสุวรรณี จำเลยได้อุทธรณ์ว่า ขณะที่โรงพยาบาลโรคทรวงอกอยู่ในสังกัดกรมควบคุมโรคติดต่อ กรมควบคุมโรคติดต่อ มีคำสั่งที่ 838/2543 เรื่อง แก้ไขตารางผู้มีอำนาจสั่งใช้รถยนต์ส่วนกลาง ให้อำนาจผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคทรวงอก สั่งใช้รถราชการส่วนกลางได้ทั่วราชอาณาจักร
ช่วงขณะเกิดเหตุปี 2555 กรมการแพทย์ไม่ได้มีคำสั่งหรือมอบอำนาจให้รองอธิบดีหรือผู้ใดมีอำนาจอนุญาตใช้รถราชการส่วนกลางตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้รถราชการ พ.ศ. 2523 ให้แก่ส่วนราชการในสังกัด เป็นอำนาจอธิบดีกรมการแพทย์โดยตรง
ต่างกับการอนุญาตใช้รถราชการส่วนกลางของโรคทรวงอก ตามคำสั่งกรมควบคุมโรคติดต่อที่ 838/2543 กรมการแพทย์ต้องรับโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมากม สิทธิ์ หนี้ ภาระผูกพันข้าราชการ และอัตรากำลัง รวมถึงอำนาจหน้าที่ของสถาบันโรคทรวงอก ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่งของกรมควบคุมโรคติดต่อในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลโรคทรวงอก เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอกจึงมีอำนานาจตามคำสั่งกรมควมคุมโรคติดต่อในการอนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลาง คำสั่งกรมการแพทย์ ที่ 248/2554 เรื่อง การมอบอำนาจตามพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 38 (7) (8) (9) ให้รองอธิบดีกรมการแพทย์ใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุม กำกับดูแลในเรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องงาน
คำสั่งดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับการขออนุญาตใช้รถราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.. 2523 คำสั่งที่ 838/2543 ยังคงใช้บังคับอยู่ โดยไม่มีคำสั่งของกรมการแพทย์ให้ยกเลิกคำสั่ง ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอกคนก่อน ๆ ก็ถือปฏิบัติตามคำสั่งนี้เช่นกัน
จนกระทั่งปี 2556 กรมการแพทย์ออกคำสั่งที่ 717/2556 มาใช้บังคับ คำสั่งที่ 838/2543 จึงสิ้นสุดลง
จำเลยนำแฟ้มงานราชการไปเกษียณสั่งการที่บ้านพักในจังหวัดนครราชสีมา 17 ครั้ง เป็นไปตามคำสั่งกรมควบคุมโรคติดต่อที่ 828/2543 อนุญาตให้สั่งใช้รถราชการส่วนกลาง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ.2523 และแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 13 วรรคสองไม่ต้องขออนุญาต ตามคำสั่ง กรมการแพทย์ที่ 248/2554 นาง พ. (ตัวย่อ) ใช้คำสั่งที่ 838/2543 ของกรมควบคุมโรคติดต่อต่อเนื่องมาตั้งแต่สถาบันโรคทรวงอกยังเป็นโรงพยาบาลโรคทรวงอก สังกัดกรมควบคุมโรคติดต่อ
จนกระทั่งมีพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการ การบริหารและอำนาจหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. 2545 มาตรา 139 ให้โอนโรงพยาบาลโรคทรวงอกไปสังกัดกรมการแพทย์ โดยมีผลใน วันที่ 9 ตุลาคม 2545 ยังคงใช้คำสั่งกรมควบคุมโรคติดต่อที่ 838/2543 เรื่อยมาจนถึงข่วงเวลาที่เกิดเหตุ
จำเลยไม่มีเจตนาทุจริต
เห็นว่า จำเลย ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก สังกัดกรมการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555
ขณะเกิดเหตุการณใช้รถยนต์ส่วนกลางของจำเลย จึงต้องมีการขออนุญาตให้ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ.2523 และคำสั่งการแพทย์ ที่ 248/2554 เรื่อง มอบอำนาจในการอนุมัติและการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จำยต่าง ๆ ซึ่งรถราชการให้ใช้เพื่อกิจการอันเป็นส่วนรามของส่วนราชการ หรือ เพื่อประโยชน์ของทางราชการตามหลักเกณฑ์ที่ส่วนราชการเจ้าของรถนั้นกำหนดขึ้น ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. 2523 ข้อ 13 วรรคสอง และอธิบดีกรมการแพทย์ออกคำสั่งมอบอำนาจให้รองอธิบดีกรมการแพทย์พิจารณาอนุมัติการเดินทาง และการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการสำหรับผู้อำนวยการสถาบันตามคำสั่งกรมการแพทย์ ที่ 248/2554 ข้อ 1
การเดินทางของจำเลยทั้ง 17 ครั้ง ดังกล่าว เป็นการเดินทางออกจากสถาบันโรคทรวงอกไปนอกพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงต้องขออนุมัติการเดินทางทุกครั้งกับรองอธิบดีกรมการแพทย์ เพื่อให้การอนุมัติเดินทางในแต่ละครั้งจะได้มีการพิจารณาว่าจำเลยไปราชการหรือไม่
จำเลย ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอกเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของสถาบันโรคทรวงอก ย่อมจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับกฎ ระเบียบต่างๆ ของกรมการแพทย์
เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎ ระเบียบดังกล่าว
จึงรับฟังได้ว่า การใช้รถยนต์ส่วนกลางของสถาบันโรคทรวงอกของจำเลยตามฟ้องเป็นการใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ราชการได้รับความเสียหาย หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ส่วนที่ศาลขั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษปรับและรอการลงโทษจำคุกจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติเห็นพ้องด้วย
อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน./
ขณะที่สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบตามที่ อัยการสูงสุด (อสส.) หารือไม่ฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เห็นควรไม่ฎีกาคำพิพากษา
แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า นางสุวรรณี ยื่นฎีกาต่อสู้คดีนี้อีกหรือไม่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา