
ย้อนรอยจุดจบ 5 นายกฯใต้ร่ม ‘ตระกูลชินวัตร’ ไล่เรียง ‘ทักษิณ-สมัคร-สมชาย-ยิ่งลักษณ์-เศรษฐา’ หลังกระแสคลิปลับสะเทือนบัลลังก์นายกฯ ‘แพทองธาร’
พลันที่คลิปเสียงการสนทนาระหว่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย กับ ‘สมเด็จฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ความยาว 17 นาที เผยแพร่สู่สาธารณะ เสียงก่นด่าถาโถมสู่รัฐบาล ชนิดกลบข่าวปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ยังเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องมิดทันที
เสียงในคลิปสนทนาระหว่าง ‘นายกฯตระกูลชิน’ แห่งรัฐบาลไทย กับ ‘อดีตนายกฯตระกูลฮุน’ แห่งกัมพูชา ดังกล่าวมีหลายประโยคฟังแล้วชวนตั้งคำถมในท่าทีและขัดกับความรู้สึกคนไทย เช่น “แม่ทัพภาค 2 เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ก็ไม่อยากให้ทางฝั่งนายฮุนเซนฟังแล้วรู้สึกโกรธ” และ “ทางนั้นเขาอยากดูเท่ห์ เขาก็จะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
โดยเฉพาะที่เป็น ‘ประโยคทอง’ แห่แชร์กันในโลกออนไลน์คือ “ถ้าท่านฮุนเซนอยากได้อะไร ก็ให้บอก จะได้คุยตกลงกันได้” เพราะฟังแล้วราวกับว่าประเทศไทยกำลัง ‘ตกเป็นรอง’ ตลอดจนกังวลว่าจะทำให้ ‘เสียเปรียบ-เพลี้ยงพล้ำ’ จนนำไปสู่การ ‘เสียดินแดน’ หรือไม่
แม้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยสมัยสอง จะเรียนรู้บทเรียนจากในยุครัฐบาลไทยรักไทย และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยนางสาวแพทองธาร ออกมาชี้แจงทันที โดยยอมรับว่า เป็นเสียงของตนเองจริง และการพูดพาดพิงถึง แม่ทัพภาคที่ 2 เป็น เทคนิคในการเจรจา
ทว่าเมื่อคลิปเสียงสนทนาฉบับเต็ม 17 นาที ถูกส่งต่อ-กดแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ เสียงเรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี รับผิดชอบทางการเมืองด้วยการ ‘ลาออก-ยุบสภา’ ก็ลุกลามเร็วเหมือนชนวนระเบิด เลยเถิดไปจนถึง ‘ภาพหลอน’ ว่าอาจจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง
“ไม่อยากให้คนไทยไปหลงกลตรงนี้ เพราะเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า โอ้ย จริงๆ เราทะเลาะกัน เกลียดกัน ไม่นะคะ ประโยคแรกที่ดิฉันพูด คือ ต้องการแสดงความเข้าใจก่อน เพื่อที่จะให้เขา (กัมพูชา) ยอมบอกความต้องการของเขาว่า อะไรที่จะทำให้ประเทศชาติสงบสุข อะไรที่ทำให้การปะทะด้วยอาวุธจบลงสักที” นางสาวแพทองธารชี้แจงตอนหนึ่งระหว่างการแถลงข่าวเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา
- ‘แพทองธาร’ รับคลิปเสียงสนทนาฮุนเซน’ จริง ตำหนิแม่ทัพภาค 2 แค่เทคนิค-ไม่ขอคุยส่วนตัวแล้ว
- แม่ทัพภาค 2 เผยนายกฯโทรมาปรับความเข้าใจแล้ว หลังเหตุพาดพิงในคลิปเสียงเจรจาฮุนเซน
- ส่งแชร์ต่อเพียบ! คลิปเสียงหลุด 'แพทองธาร' คุย ฮุน เซน 17 น. 6 วิ. แก้ขัดแย้งพื้นที่ 2 ปท.
- คำต่อคำ ‘แพทองธาร’ แจงคลิปหลุด คุยลับ ‘ฮุนเซน’
- โพสต์เฟซบุ๊กคือรัฐบาลสั่นคลอนสุดแล้ว! เผยคลิปเสียงภาค 2 แพทองธาร-ฮุนเซน' เจรจาเปิดชายแดน
- อยากได้อะไร...เดี๋ยวจัดการให้! สรุปคลิปเสียง 9 นาที แพทองธาร-ฮุนเซน' เจรจาเปิดด่านชายแดน
จากจังหวะที่เหมือนรัฐบาลกำลังชนะศึกแห่งเกมอำนาจการช่วงชิง ‘กระทรวงมหาดไทย’ ออกจากอ้อมกอด ‘พรรคภูมิใจไทย’ ได้สำเร็จ
แต่เมื่อคลิปเสียงความยาว 17 นาทีหลุดสู่โลกเสมือนจริง-สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลนางสาวแพทองธาร พรรคภูมิใจไทย ‘ศิษย์ครูใหญ่’ แห่งบุรีรัมย์ จึงฉกฉวยจังหวะ ‘พลิกเกม’ จากแค่เพียงเก็บข้าวของออกจากทำเนียบรัฐบาล เป็นการ ‘ย้ายสำมะโนครัว’ ออกจาก ‘รัฐบาลผสมข้ามขั้ว’ ด้วยการประกาศ ‘ถอนตัว’ ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ไปสวมบทบาท ‘ฝ่ายค้าน’
ทำเอาเกมที่คาดว่าจะ ‘ชนะศึก’ พลิกผัน ต้อนรัฐนาวาเข้ามุมอับอีกครั้ง และอาจ ‘แพ้สงคราม’ เมื่อกลุ่ม ‘รวมพลังแผ่นดิน’ นัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 มิถุนายน 68 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะกลายเป็นเหตุการณ์พลิกคว่ำรัฐบาลข้ามขั้วสลับข้างหรือไม่ ?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) พาย้อนไปรำลึกถึงจุดจบแห่งอำนาจของ 5 นายกรัฐมนตรีพะยี่ห้อ ‘ชินวัตร’ ที่แต่ละคนพบจุดจบไม่สวยงามนัก
ที่มาภาพ: Thaksin Official
@ ทักษิณ ชินวัตร (2544-2549)
เริ่มกันที่ต้นตำรับผู้ให้กำเนิดการเมืองสไตล์ไทยรักไทยอย่าง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่สร้างตัวจากธุรกิจดาวเทียมช่วงทศวรรษ 2530 จนได้ฉายา ‘อัศวินคลื่นลูกที่สาม’ เข้าสู่แวดวงการเมืองในปี 2537 ไต่เต้าสร้างพรรคไทยรักไทย จนสามารถเอาชนะการเลือกตั้งทั่วไปปี 2544 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ได้สำเร็จ ด้วยสโลแกน ‘คิดใหม่ ทำใหม่’ กำเนิดนโยบายประชานิยมต้นแบบอย่าง โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, พักชำระหนี้สำหรับเกษตรกร, โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งแม้จะมีข้อกังขากรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้พ้นผิดด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 กรณีซุกหุ้นภาคแรกก็ตาม แต่มหาชนในยุคนั้นก็โห่ร้องยินดีที่ได้นายกฯทักษิณมาทำให้อยู่ดี กินดี เป็นผลให้รัฐบาลนี้เป็นครม.ชุดแรกที่อยู่ครบวาระ 4 ปีในที่สุด
จากยุคแรก ‘คิดใหม่ทำใหม่’ ก้าวสู่ยุค ‘4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง’ พรรคไทยรักไทยได้ชัยชนะอีกครั้ง แถมชนะเด็ดขาดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2548 ด้วยคะแนน 19 ล้านเสียง กุมที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 376 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเบ็ดเสร็จได้เป็นครั้งแรก
แต่ในช่วงสมัยที่ 2 นี้ ‘ทักษิณ’ เจอแรงเสียดทานจากการชุมนุมขับไล่กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ประกอบกับประเด็นการคอร์รัปชั่นและเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้อง โดยเฉพาะคดีซุกหุ้นภาค 2 โดยเป็นการขายหุ้น กลุ่มบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ชินคอร์ป) ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด (เทมาเส็ก) หรือ กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ผ่านบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำนวน 1,487,740,000 หุ้น (49.595% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) มูลค่าหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 73,271,200,910 บาท โดยไม่เสียภาษี ทำให้ต้องประกาศยุบสภาในวันที่ 24 ก.พ. 2549 และให้จัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เพิกถอนการเลือกตั้งดังกล่าว และให้จัดการเลือกตั้งช่วงเดือน ต.ค. 2549 แทน
จนกระทั่งวันที่ 19 ก.ย. 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะ ทำการรัฐประหาร โดยใช้ข้ออ้างเกิดความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายของคนในชาติ เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น แทรกแซงองค์กรอิสระ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง นำไปสู่การปิดฉากนายกรัฐมนตรีคนแรกของตระกูลชินวัตร กลายเป็น อดีตผู้นำพเนจร-ลี้ภัยอยู่นอกประเทศกว่า 17 ปีเต็ม
สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน แถลงหลังจากรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ที่บ้านพักซอยนวมินทร์
ที่มาภาพ: ผู้จัดการออนไลน์
@ สมัคร สุนทรเวช (2551)
หลังจากการรัฐประหารปี 2549 ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาล ‘ขิงแก่’ ที่มีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีประมาณ 1 ปีเศษ ก็เข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2550 ซึ่งกลายเป็น ‘พรรคพลังประชาชน’ พรรคสืบทอดจาก ‘ไทยรักไทย’ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบทิ้งจากกรณีจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง เมื่อปี 2549 ได้คะแนนมากสุดในการจัดตั้งรัฐบาล และได้ ‘สมัคร สุนทรเวช’ มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ท่ามกลางกระแสนายกฯนอมินี
“ผมจะเป็นนอมินีให้นายกฯ ทักษิณหรือไม่ก็สุดแท้แต่ แต่ผมเป็นตัวของตัวของผมเองที่จะมาประกบกับพรรคนี้ และจะเอาคนที่ทำการเมืองได้ จะทำพรรคการเมืองนี้ให้แข็งแรง เพื่อจะเอาประชาธิปไตยกลับมาให้บ้านเมืองนี้” นายสมัครกล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 24 ส.ค.50 (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/politics/detail/9510000007134)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ ‘สมัคร’ เป็นนายกรัฐมนตรี เจอแรงเสียดทานจากกลุ่ม พธม. ชุมนุมขับไล่จากกรณี พยายามผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ในมาตรา 237 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ที่กระทำการทุจริตและยุบพรรคการเมือง และมาตรา 309 ซึ่งเกี่ยวกับการล้มล้างผลพวงของการรัฐประหาร จนนำไปสู่การยึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2551
จุดจบของนายกฯสมัคร เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2551 จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 9 ต่อ 0 วินิจฉัยให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัครสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 (7) เนื่องจากรับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” แต่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการไปจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นปฐมบทของปรากฎการณ์ ‘ตุลาการภิวัฒน์’ จนมาถึง ‘นิติสงคราม’ ในปัจจุบัน

สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ที่จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันไม่ลาออก หลังกลุ่มพันธมิตรฯบุกชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง
ที่มาภาพ: http://www.phaikhwang.go.th/index.php?options=newsall&mode=detail&id=648
@ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (2551)
ความคุกรุ่นของสถานการณ์ยังไม่จางลง หลังจาก ‘สมัคร สุนทรเวช’ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชาชนผลักดัน ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ น้องเขยนายทักษิณขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ท่ามกลางมวลชนสีเหลืองที่ยังปักหลักชุมนุมขับไล่รัฐบาลพลังประชาชน ซึ่งในช่วงที่นายสมชายเป็นนายกรัฐมนตรีมีระยะเวลาสั้นๆเพียง 2 เดือน 14 วัน เท่านั้น แถมได้รับการจารึกเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ไม่ได้ทำงานในทำเนียบรัฐบาล
จุดจบของนายกฯคนที่สามใต้เงาตระกูลชินวัตรเกิดเมื่อ วันที่ 2 ธ.ค. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในส่วนของพรรคพลังประชาชน ด้วยมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคพลังประชาชน จากกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ส.ส.แบบสัดส่วน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาในขณะนั้น เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย มีผลให้ตัดสิทธิทางการเมืองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค 5 ปี (รวม 37 คน) ทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชาชนต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมด้วยนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีและด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย หลังพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2554
ที่มาภาพ: Facbook Yingluck Shinawatra
@ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (2554-2556)
หลังอำนาจฝ่ายบริหารตกไปอยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์นานกว่า 2 ปี ในการเลือกตั้วทั่วไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ทายาทคนที่ 9 ของนายเลิศ ชินวัตร น้องสาว ‘ทักษิณ’ ในฐานะสส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทยขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2554 จารึกประวัติศาสตร์ ‘นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย’ ที่ชูสโลแกน ‘ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ’ และนโยบายประชานิยมที่ยังตรึงใจชาวบ้านไม่ว่าจะเป็น ‘รถคันแรก’, ‘ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ’, ‘จำนำข้าว’ เป็นต้น
ในช่วงระยะเวลาที่ ‘ยิ่งลักษณ์’ ดำรงตำแหน่ง บรรยากาศการเมืองยังอยู่ในความขัดแย้งเสื้อสี มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลหลายครั้ง ทั้งการชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาว, กลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่นำโดยพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ รวมถึงการถูกตั้งคำถามการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวที่มีข้อกังขาด้านทุจริตคอร์รัปชั่น แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถล้มรัฐบาลได้
จนกระทั่งการมาถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่มี ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตเลขาธิการพรรคระชาธิปัตย์เป็นผู้นำ เป็น จุดเปลี่ยนทางการเมือง ครั้งสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ยาวนาน 9 ปีเต็ม
โดยมีชนวนเหตุมาจากการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. .... ซึ่งเดิมนายวรชัย เหมะ สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เป็นผู้เสนอร่าง แต่ภายหลังมีการแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ นำโดยนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ รองประธานกรรมาธิการ และอดีต สส.พรรคไทยรักไทย ซึ่งมีการสอดไส้นิรโทษกรรม ‘ทักษิณ ชินวัตร’ จนเกิดการชุมนุมใหญ่กดดันรัฐบาล แม้ต่อมา รัฐบาลจะส่งต่อให้ สว. พิจารณาและมีมติคว่ำร่างไปแล้ว แต่สถานการณ์ลุกลามจนยากเกินควบคุม
ในที่สุด จุดจบก็นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทยก็เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่าได้ทูลเกล้าฯ ยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่ยังต้องอยู่ในตำแหน่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรี ที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181 ซึ่งกำหนดไว้ด้วยว่า คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรี จะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดมาตราดังกล่าว
‘ยิ่งลักษณ์’ รักษาการต่อไปจนกระทั่งวันที่ 7 พ.ค. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่าการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อันเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรค 1(7) ก่อนที่ในอีก 15 วัน ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในขณะนั้นจะกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการในที่สุด
เศรษฐา ทวีสิน แถลงอำลาหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567
@เศรษฐา ทวีสิน (2566-2567)
ปิดท้ายด้วย ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกฯ คนนอกตระกูลชินวัตร ที่ถอดเสื้อสูทจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังมาลงการเมืองเต็มตัวในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย พะยี่ห้อ ‘นายกฯเซลล์แมน’
หลังประเทศไทยอยู่ในยุค คสช.ยาวนานกว่า 9 ปี การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 ก็เกิดขึ้น แม้ผลการเลือกตั้ง ‘พรรคก้าวไกล’ จะกวาดที่นั่งสส.ได้มากที่สุด แต่ในขั้นตอนฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลที่ต้องพึ่งพาเสียงของสว.ด้วยนั้น ทำให้พรรคคนหนุ่มไฟแรงไปไม่ถึงฝัน เมื่อ สว.ตามบทเฉพาะกาล ที่กำเนิดมากจากคสช. ไม่ยกมือโหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯจากพรรคก้าวไกล โดยใช้ข้ออ้างมาตรา 112 จนต้องกลืนเลือด ปล่อยไม้-หลุดมือไปถึงพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว
ปรากฎการณ์ข้ามขั้ว สลับข้างเกิดขึ้น เมื่อ สว.ซีกพล.อ.ประยุทธ์ลงมติสนับสนุนพรรคเพื่อไทยท่วมท้น ‘เศรษฐา’ นั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 30
แต่นายเศรษฐานั่งบริหารประเทศได้เพียง 11 เดือน ก็พบจุดจบเมื่อศาลรัฐธรรมนูญลงมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ส่งผลให้ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ กรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 ) หรือไม่
จากกรณีนายเศรษฐาได้นำความกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายพิชิตเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือนในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น
“ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนมีจริยธรรม เรื่องที่ถูกร้อง ทำให้ตัดสินแบบนี้ ยืนยันว่าเสียใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วย ผมน้อมรับคำตัดสินครับ ผมคิดว่า คนเรามาถึงอายุขนาดนี้แล้ว การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ลงพื้นที่ไป การเป็นเอกชน เป็นนายเศรษฐา ทวีสิน หรือนายกฯเศรษฐา เรื่องของการเข้าถึงข้อมูล ความรู้ ปัญหา ถ้าไม่มานั่งตรงนี้คงมองไม่เห็น” คำพูดสุดท้ายของนายเศรษฐาเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 67
@ แพทองธาร ชินวัตร (2567-ปัจจุบัน)
ในสมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ‘นายกฯผู้ลูก’ แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่กำลังเผชิญกับ ‘วิกฤตภาวะผู้นำ’ ถาโถมเข้าใส่ จากคลิปเสียงสนทนาระหว่าง ‘หลาน’ กับ ‘Uncle’ กรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กำลังสั่นคลอนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีสายเลือดชินวัตรอีกครั้ง
แม้พรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออีก 5 พรรคจะส่งสัญญาณ ‘ไปต่อ’ แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อพรรค 69 เสียง-ภูมิใจไทยถอนตัวออกไป คะแนนเสียงฝั่งรัฐบาลเกิน 250 ไม่เกิน 10 เสียง กลายเป็น ‘รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ’
หากพรรครวมไทยสร้างชาติ 18 เสียง ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลแพทองธาร จะกลายเป็น ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ ทันที การโหวตร่างกฎหมายสำคัญๆ โดยเฉพาะกฎหมายการเงิน เช่น ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 สุ่มเสี่ยงที่จะคว่ำกลางสภาได้
ถึงแม้จะเรียกใช้บริการ ‘เสียงงูเห่า’ ในการผ่านร่างกฎหมายในสภาในแต่ละครั้ง แต่ก็บริหารงานยาก ไปต่อลำบาก ทางที่มีก็ดูจะตีบตันลงเรื่อยๆ ‘อายุขัยรัฐบาล’ อาจจะ ‘อยู่สั้น’ แค่ปี 69 ‘ไม่อยู่ยาว’ จนครบวาระถึงปี 70
ขณะเดียวกันบั้นปลายชีวิต-จุดจบทางการเมืองของนางสาวแพทองธาร นายกฯคนที่ 31 จะไปสุดทางที่ตรงไหน ชะตากรรมนายกฯ ใต้ร่มเงาตระกูลชินวัตร คนที่ 6 จะเป็นอย่างไร
หลังจากมีผู้ไปร้องดำเนินคดีทั้งทางการเมือง ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี-ครม.พ้นทั้งคณะ และทางอาญา ซึ่งมีโทษหนักถึงขั้นระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต จากกรณี ‘คลิปสนทนาลับ’ ที่ถูกปล่อยออกมาในที่แจ้ง โปรดติดตามด้วยใจระทึก


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา