
“…ขั้นตอนในการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. จึงเป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ส่วนขั้นตอนในการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. เมื่อมาตรา 61 กำหนดว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช. โดยความเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. หลังจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ให้ความเห็นชอบแล้ว…”
..................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลาง ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 1921/25661 คดีหมายเลขแดงที่ 1259/2568 ซึ่งเป็นคดีที่ นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยื่นฟ้อง ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. (ผู้ถูกฟ้องค ดีที่ 1) และคณะกรรมการ กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใน 2 ประเด็น ได้แก่
1.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งหรือประกาศหรือคำวินิจฉัยผลการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) รวมทั้งการกระทำทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมดโดยมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่เริ่มต้น และ
2.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ออกระเบียบหรือประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ ในการคัดเลือกหรือการประเมินความรู้ความสามารถเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. รวมถึงดำเนินการคัดเลือกหรือสรรหาเลขาธิการ กสทช. ใหม่ให้ชอบด้วยกฎหมาย
โดยศาลปกครองกลาง พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ตามหนังสือ ลับ ที่ สทช. 1001/28240 ลงวันที่ 11 ส.ค.2566 ที่ให้ผู้ฟ้องคดี (นางสุรางคณา วายุภาพ) ไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช. นับแต่วันที่มีคำสั่งดังกล่าว
เนื่องจากศาลฯเห็นว่า การออกคำสั่งของประธาน กสทช. ดังกล่าว เป็นผลมาจากการออกประกาศประธาน กสทช. เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ลงวันที่ 17 มี.ค.2566 ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และข้อ 9 ของประกาศรับสมัครฯ ก็ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล นั้น (อ่านประกอบ : ออก'ประกาศรับสมัครฯ'ไม่ชอบ! 'ศาลปค.'เพิกถอนคำสั่ง'ประธาน กสทช.'แจ้งผลคัดเลือก'เลขาธิการ')
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอ ‘คำวินิจฉัย’ ของศาลปกครองกลาง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการออกประกาศประธาน กสทช. เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ลงวันที่ 17 มี.ค.2566 ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้
@‘3 กรรมการ’ท้วง ออกประกาศรับสมัครฯ‘เลขาธิการ’เป็นของบอร์ด
ศาลได้ตรวจพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยแล้ว
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ตามหนังสือ ลับ ที่ สทช. 1001/28240 ลงวันที่ 11 ส.ค.2566 ที่ให้ผู้ฟ้องคดี (นางสุรางคณา วายุภาพ) ไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า ประกาศประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ลงวันที่ 17 มี.ค.2566 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ประกาศดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ออกโดยไม่มีอำนาจ ไม่สุจริต และเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า… เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) จะมีประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ที่เป็นข้อพิพาทในคดีนี้
ที่ประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ได้เคยมีการประชุมเกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งดังดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง โดยได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณา แล้วให้สำนักงาน กสทช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 นำเสนอต่อที่ประชุม
เป็นผลให้ในคราวประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) นัดพิเศษ ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2566 ซึ่งมีกรรมการ กสทช. เข้าร่วมประชุมจำนวน 6 คน สำนักงาน กสทช. ได้เสนอในระเบียบวาระที่ 4.1 ว่า
สำนักงาน กสทช. ได้ปรับปรุงแก้ไขคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ให้สอดคล้องกับมาตรา 61 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 แล้ว
และที่ประชุมคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการประชุมครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2565 มีมติว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) มีอำนาจในการดำเนินกระบวนการสรรหาหรือเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เพื่อให้ความเห็นชอบได้ ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติให้เลื่อนการพิจารณาระเบียบนี้ออกไป
โดยให้ฝ่ายเลขานุการรับข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุงแก้ไข พร้อมทั้งให้นำเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. มาในคราวเดียวกันในการประชุมครั้งต่อไป
พร้อมกันนี้ กรรมการ กสทช. จำนวน 3 คน ได้แก่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต และ รศ. ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย ได้จัดทำบันทึกเป็นหมายเหตุท้ายมติที่ประชุม โดยมีเนื้อหาในทำนองเดียวกันสรุปได้ว่า
มาตรา 58 ได้บัญญัติให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) มีอำนาจออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน และค่าตอบแทนอื่นของเลขาธิการ กสทช. และการบริหารงานบุคคล
และเมื่อพิจารณาประกาศรับสมัครคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ในปี พ.ศ.2554 จะเห็นได้ว่า เป็นประกาศที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ออก โดยอาศัยฐานอำนาจตามมาตรา 58 และมาตรา 61 ซึ่งมีกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมายและโปร่งใส สำนักงาน กสทช. จึงอาจพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์โดยยึดโยงกับประกาศฉบับดังกล่าว
อีกทั้งการคัดเลือกครั้งที่ผ่านมา ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติ แล้วให้ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเข้าแสดงวิสัยทัศน์และสัมภาษณ์กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) แล้วที่ประชุม จึงจะพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ต่อไป
ต่อมาในคราวประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 นัดพิเศษ ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2566 มีกรรมการ กสทช. เข้าร่วมประชุม จำนวน 6 คน สำนักงาน กสทช. ได้เสนอในระเบียบวาระที่ 4.1 โดยอ้างมติการประชุมของคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2565 เช่นเดิม เป็นผลให้ที่ประชุมมีมติให้ถอนวาระนี้ออกไป และให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครั้งที่ 3/2565 ในวาระที่ 4.1
ในการนี้ กรรมการ กสทช. จำนวน 3 คน ได้แก่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต และ รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย ได้จัดทำบันทึกเป็นหมายเหตุท้ายมติที่ประชุม โดยมีเนื้อหาในทำนองเดียวกันสรุปได้ว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เป็นคณะกรรมการ ที่ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ.2553 บัญญัติให้การใช้อำนาจต่างๆ ต้องดำเนินการด้วยการประชุม และมีมติตามกรอบอำนาจและหน้าที่ ซึ่งไม่อาจใช้อำนาจตามลำพังเพียงคนเดียวได้ ยกเว้นกฎหมายได้ให้อำนาจหรือมีมติที่ประชุมมอบหมาย
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีมติครั้งที่ 3/2566 ให้เลื่อนการพิจารณาระเบียบวาระที่ 4.1 ออกไป และให้สำนักงาน กสทช. รับข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุงแก้ไขการกำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. พร้อมทั้งให้นำเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. มาในคราวเดียวกันในการประชุมครั้งต่อไป
แต่ในการประชุมครั้งนี้ มีแต่ระเบียบวาระเดิม ข้อมูลเดิม ไม่มีการเพิ่มเติมเอกสาร โดยมิได้มีการนำข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุง รวมทั้งมิได้เสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. มาให้พิจารณา จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) มอบหมาย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อมติที่ประชุม
ทั้งยังมีการนำเสนอระเบียบวาระที่ 7.1 เรื่อง กระบวนการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ กสทช. ซึ่งเสนอโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) แยกมาเป็นวาระการประชุมอีกวาระหนึ่ง จึงเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องกับมติที่ประชุม ทั้งมีความจำเป็นที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) จะต้องพิจารณาเรื่องคุณสมบัติ และกระบวนการสรรหาไปพร้อมกัน เหมือนเช่นการคัดเลือก กสทช.
@‘3 กก.กสทช.’ชี้‘ประธานฯ’เสนอ-บรรจุ‘วาระ’ขัดระเบียบฯ
จากนั้น เมื่อที่ประชุมได้พิจารณาถึงวาระที่ 7.1 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ได้เสนอ เรื่อง กระบวนการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ กสทช. ให้ที่ประชุมทราบ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ถอนวาระนี้ โดยให้นำไปบรรจุในวาระการประชุมนัดพิเศษต่อไป พร้อมทั้งระบุว่าให้ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ครั้งที่ 3/2566 วาระที่ 4.1
จากนั้น ในคราวประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2566 เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2566 มีกรรมการ กสทช. เข้าร่วมประชุม จำนวน 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) แจ้งต่อที่ประชุมในระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มีเรื่องแจ้งให้ที่ประชุมทราบ 2 ประเด็น
(1) ประเด็นการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะพิจารณาออกประกาศของประธาน กสทช. โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 วรรคหนึ่ง โดยก่อนการเสนอแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. จะพิจารณาคัดเลือกบุคคลโดยวิธีการทาบทามบุคคลที่มีคุณสมบัติ
และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะพิจารณาคัดเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ โดยวิธีการแสดงวิสัยทัศน์และสัมภาษณ์ก่อนเสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อไป
(2) ประเด็นการกำหนดคุณสมบัติอื่นของเลขาธิการ กสทช. ตามมาตรา 61 วรรคสอง สำนักงาน กสทช. ได้เสนอเรื่องพิจารณามาแล้ว ในระเบียบวาระที่ 5.1 ของการประชุมวันนี้ ซึ่งที่ประชุมมีมติ ดังนี้
กรรมการ กสทช. 2 คน ได้แก่ นายต่อพงศ์ เสลานนท์ และพล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร มีมติรับทราบเรื่อง
ส่วน กรรมการ กสทช. 3 คน ได้แก่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต และ รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย เห็นว่า การนำเสนอระเบียบวาระที่ 1 ไม่เป็นไปตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566 จึงมีบันทึกความเห็นท้ายมติที่ประชุมสรุปได้ว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ได้แจ้งโดยวาจาต่อที่ประชุม โดยไม่ปรากฏเอกสารประกอบการประชุมนำส่งหรือนำเสนอต่อต่อที่ประชุม กรณีนี้จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง ตามข้อ 21 ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ.2555
อีกทั้ง แม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้สรุปประเด็นหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหา พร้อมทั้งมติในชั้นต้นแล้ว แต่หากมีกรรมการคัดค้านต้องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งในกรณีนี้ ที่ประชุมมิได้มีการลงมติชี้ขาดในประเด็นนี้แต่อย่างใด จึงไม่เป็นไปตามข้อ 40 ของระเบียบดังกล่าว
และระเบียบวาระที่ 1 ขัดกับมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566 ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ที่ประชุมผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีเจตนาให้มีการเสนอเรื่องการกำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. พร้อมทั้งให้นำเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. มาในระเบียบวาระเดียวกันเป็นระเบียบวาระเพื่อพิจารณา
ดังนั้น หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ต้องการเสนอและบรรจุวาระที่ไม่เป็นไปตามมติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะต้องเสนอให้มีการทบทวน ตามข้อ 23 วรรคสอง ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ.2555 การเสนอในระเบียบวาระที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยข้อ 22 ของระเบียบ กสทช. ข้างต้น
และแม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีความเห็นว่า กระบวนการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ กสทช. เป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่เมื่อยังคงมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายกันอยู่ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็มีทางเลือกที่จะถอนวาระการประชุมครั้งที่ 5/2566 ออกไปก่อน แล้วบรรจุวาระกลับเข้ามาใหม่ตามมติ ครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566
@‘ประธาน กสทช.’อ้างอำนาจตาม ม.61 แต่งตั้ง‘เลขาธิการฯ’
ถัดมา ครั้งที่ 5/2566 เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2566 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ได้เสนอในวาระที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะออกประกาศของประธาน กสทช. โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาในระเบียบวาระที่ 5.1 เรื่อง การพิจารณาคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. : บย. (ลับ) โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้
(1) เห็นชอบให้กำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ตามที่ที่ประชุมได้มีการแก้ไขปรับปรุง
(2) การลงมติในส่วนที่ให้เพิ่มข้อ (ง) ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมไม่น้อยกว่า 10 ปี เป็นคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เพิ่มเติม
กรรมการเสียงข้างมาก เห็นชอบให้คงคุณสมบัติตามมติที่ประชุมข้อที่ 1 ส่วนกรรมการเสียงข้างน้อย มีมติเห็นชอบให้เพิ่มข้อ (ง) เป็นคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เพิ่มเติม
อนึ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แจ้งว่าจะนำกระบวนการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ไปปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของ กรรมการ กสทช. และนำกลับมาเสนอเพื่อรับฟังความคิดเห็นในที่ประชุม กสทช. อีกครั้ง
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ได้มีประกาศประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ลงวันที่ 17 มี.ค.2566 นั้น
กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 25 ม.ค.2566 ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.
โดยที่ประชุมมีมติว่า ให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกไปก่อน พร้อมทั้งให้สำนักงาน กสทช. รับข้อคิดเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุงแก้ไข และให้นำเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. มาในคราวเดียวกันในการประชุมครั้งถัดไป
แต่ปรากฏว่า ในการประชุมครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2566 สำนักงาน กสทช. ก็มิได้เสนอวาระหรือเอกสารการประชุมให้แตกต่างไปจากการประชุมในครั้งที่ 3/2566 ที่ประชุมจึงมีมติให้ถอนวาระออกไป และให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมครั้งที่ 3/2566
เป็นผลให้สำนักงาน กสทช. ซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการ นอกจากจะต้องไปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. แล้ว ยังต้องเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. เพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ได้พิจารณาร่วมกัน และหาข้อยุติในคราวเดียวต่อไป
เนื่องจากในการประชุมทั้งสองคราว ซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการ กสทช. จำนวน 6 คน มีกรรมการจำนวน 3 คน ได้ทำบันทึกท้ายมติที่ประชุมเกี่ยวกับอำนาจในการออกหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช.ว่า เป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พร้อมกับมีข้อเสนอแนะให้นำหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาในการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช เมื่อปี พ.ศ.2554 มาใช้ในการคัดเลือกครั้งนี้ด้วย
แต่ปรากฏว่าในการประชุมครั้งถัดมา ครั้งที่ 5/2566 เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2566 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ได้เสนอในวาระที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะออกประกาศของประธาน กสทช. โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
โดยจะพิจารณาคัดเลือกด้วยวิธีการทาบทามบุคคลที่มีคุณสมบัติ และคัดเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ โดยวิธีการแสดงวิสัยทัศน์และสัมภาษณ์ ก่อนเสนอแต่งตั้งต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.)
ส่วนประเด็นการกำหนดคุณสมบัติอื่น สำนักงาน กสทช. ได้เสนอเรื่องมาแล้วในระเบียบวาระที่ 5.1 ซึ่ง กรรมการ กสทช. 2 คน มีมติรับทราบเรื่อง ส่วนกรรมการ กสทช. อีก 3 คน มีมติไม่รับทราบ เนื่องจากเห็นว่า การนำเสนอระเบียบวาระที่ 1 ไม่เป็นไปตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ในคราวประชมครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566
พร้อมทั้งจัดทำบันทึกความเห็นท้ายมติในทำนองเดียวกันว่า ระเบียบวาระที่ 1 ขัดกับมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566 เนื่องจากมติในการประชุมทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นว่า
ที่ประชุมมีเจตนาให้มีการเสนอเรื่องการกำหนดคุณสมบัติอื่นผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. พร้อมทั้งให้นำเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. มาในระเบียบวาระเดียวกันเป็นระเบียบวาระพิจารณา เพื่อให้ที่ประชุมได้พิจารณาทั้งสองเรื่องไปพร้อมกัน อีกทั้งระเบียบวาระเรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ จะต้องเป็นเรื่องทั่วไปที่ไม่ใช่เรื่องที่ยังมีข้อโต้แย้งหรือเป็นเรื่องที่ต้องหาข้อยุติกันอยู่
และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ได้นำเสนอเรื่องด้วยวาจา โดยไม่ปรากฏเอกสารประกอบการประชุม กรณีนี้จึงเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นไปตามระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุม กสทช. พ.ศ.2555
จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาในระเบียบวาระที่ 5.1 เรื่อง การพิจารณาคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ตามที่ที่ที่ประชุมได้มีการแก้ไขปรับปรุง
พร้อมกันนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า จะนำกระบวนการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ไปปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของกรรมการ กสทช. และจะนำกลับมาเสนอเพื่อรับฟังความคิดเห็นในที่ประชุม กสทช. อีกครั้ง
@‘กสทช.’เป็น‘องค์กรกลุ่ม’ไม่อาจให้‘บุคคลคนเดียว’ใช้ดุลพินิจลำพัง
หากพิจารณาการประชุมในคราวนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า วาระที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ โดยหลักจะต้องเป็นเรื่องทั่วไปที่มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อแจ้งให้ที่ประชุมทราบเท่านั้น จึงไม่จำต้องจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) กลับแจ้งเรื่องกระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. มาในระเบียบวาระนี้
ทั้งที่ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566 ที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. นำเสนอหลักเกณฑ์และกระบวนการสรรหาเลขาธิการ กสทช. มาพร้อมกับการกำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. มาในระเบียบวาระเดียวกัน
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) แจ้งให้ที่ประชุมทราบในระเบียบวาระที่ 1 ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะออกประกาศรับสมัครคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. และจะไปกำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ตามที่ที่ประชุมมีมติในระเบียบวาระที่ 5.1 โดยจะนำมาเสนอต่อที่ประชุมอีกครั้ง
แต่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ได้มีประกาศประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ลงวันที่ 17 มี.ค.2566
โดยอ้างว่าอาศัยอำนาจตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคนาคม พ.ศ.2553 ประกอบมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในคราวประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2566 จึงเป็นการออกประกาศที่ไม่เป็นไปตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
และเมื่อพิจารณา พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 แล้ว
จะเห็นได้ว่า มาตรา 6 ได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เป็นองค์กรกลุ่ม ซึ่งรูปแบบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยการช่วยกันระดมความรู้ความสามารถของบุคคลหลายคนแล้วมีมติในเรื่องนั้น
การดำเนินการใดๆ ขององค์กรกลุ่ม จึงไม่อาจให้บุคคลคนเดียว มีอำนาจดุลพินิจในการตัดสินใจได้โดยลำพัง เว้นเสียแต่ว่า จะได้รับมติหรือได้รับมอบอำนาจจากที่ประชุมแล้วเท่านั้น
และกฎหมายได้กำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ในมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงหรือเป็นผู้ทรงอำนาจในการปฏิบัติให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำแผนแม่บทในการบริหารคลื่นความถี่ การกำหนดหลักเกณฑ์และการพิจารณาอนุญาตเกี่ยวกับกิจการวิทยุ กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม การกำกับดูแลกิจการดังกล่าว การอนุมัติรายจ่ายของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ในการออกระเบียบหรือประกาศตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 58
ส่วนสำนักงาน กสทช. กฎหมายกำหนดให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของสำนักงาน กสทช. แล้วเสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เพื่อให้ความเห็นชอบ รับผิดชอบงานธุรการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มอบหมาย
ทั้งนี้ ตามมาตรา 56 และมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) จึงเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของสำนักงาน กสทช. ให้เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายหรือหลักเกณฑ์ที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนด ซึ่งสอดดคล้องกับมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่บัญญัติให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีอำนาจในการออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล
การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของสำนักงาน กสทช. ซึ่งรวมไปถึงอำนาจในการแบ่งส่วนงานภายในของสำนักงาน กสทช และขอบเขตหน้าที่ของส่วนงานดังกล่าว การกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน และค่าตอบแทนอื่นของเลขาธิการ กสทช. พนักงาน และลูกจ้างของสำนักงาน กสทช. ตลอดจนค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายของกรรมการอื่นและอนุกรรมการ
การคัดเลือกหรือสรรหา หรือการประเมินความรู้ความสามารถ เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หรือการเลื่อนขั้นเงินเดือน หลักเกณฑ์การต่อสัญญาจ้าง และการจ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกจ้าง เนื่องจากไม่ผ่านการประเมิน การบริหารงานบุคคล รวมตลอดทั้งการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์ และร้องทุกข์
การรักษาการแทนและการปฏิบัติแทน การกำหนดเครื่องแบบและการแต่งกายของพนักงานและลูกจ้างของสำนักงาน กสทช. การจ้างและการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. รวมทั้งจำนวนและอัตราค่าตอบแทนของตำแหน่งดังกล่าว
การบริหารและจัดการงบประมาณ ทรัพย์สิน และการพัสดุของสำนักงาน กสทช. และการจัดสวัสดิการหรือการสงเคราะห์อื่น และโดยที่การบริหารงานบุคคลมีกระบวนการหลายขั้นตอน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีกระบวนการตั้งแต่การกำหนดตำแหน่ง การให้ได้รับเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่ง
การสรรหาหรือการคัดเลือก การบรรจุ การแต่งตั้ง การเพิ่มพูนประสิทธิภาพ การเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน การรักษาวินัย การออกหรือให้พ้นจากตำแหน่ง และการอุทธรณ์ ซึ่งการสรรหาหรือการคัดเลือกบุคคลเพื่อมาบรรจุแต่งตั้ง หรือเพื่อให้มาปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างให้ดำรงตำแหน่งในสำนักงาน กสทช. ก็ต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นเช่นกัน
ดังนั้น ผู้ซึ่งมีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ก็ย่อมมีอำนาจในการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลโดยตัวเองอยู่แล้ว เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
แม้มาตรา 56 และมาตรา 60 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 จะกำหนดให้เลขาธิการ กสทช. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) และขึ้นตรงต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็ตาม
แต่ก็เป็นการกำหนดเพื่อให้การบริหารงาน การบริหารงบประมาณ และการบริหารงานบุคคลมีประสิทธิภาพและมีความเป็นเอกภาพนั่นเอง โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) มีหน้าที่กำกับดูแลแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เท่านั้น
@ศาลฯชี้สรรหา-คัดเลือก‘เลขาธิการฯ’เป็นอำนาจ‘บอร์ด กสทช.’
ส่วนกรณีที่มาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว บัญญัติว่า ให้ประธานกรรมการ โดยความเห็นชอบของ กสทช. เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช. นั้น หากพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนการบริหารงานบุคคลแล้ว จะเห็นได้ว่า การสรรหาหรือการคัดเลือกบุคคลเป็นคนละขั้นตอนกับการแต่งตั้ง
เมื่อมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน อยู่ในหมวดที่ 5 ว่าด้วยเรื่องสำนักงาน กสทช. ได้กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เป็นผู้มีอำนาจในการออกระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลตั้งแต่ตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. พนักงาน และลูกจ้าง
ขั้นตอนในการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. จึงเป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ส่วนขั้นตอนในการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. เมื่อมาตรา 61 กำหนดว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช. โดยความเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
จึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. หลังจากที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งหากแปลความว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีอำนาจในการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ด้วย ย่อมไม่สอดคล้องกับการบริหารงานบุคคลที่แยกขั้นตอนแต่ละขั้นตอนออกจากกันไว้แล้ว
และไม่สอดคล้องกับมาตรา 63 (7) แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่เลขาธิการ กสทช. มีเหตุบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หย่อนความสามารถ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
กฎหมายได้ให้อำนาจผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมด ให้เลขาธิการ กสทช. ออกจากตำแหน่งได้ ซึ่งมีผลให้ต้องมีการถอดถอนเลขาธิการ กสทช. ตามมาตรา 61 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวต่อไป
โดยสรุปการแปลความมาตรา 61 ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) มีอำนาจหน้าที่ ทั้งการสรรหาหรือการคัดเลือก การแต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช. แต่เพียงผู้เดียว ย่อมขัดกับมาตรา 58 และมาตรา 63 (7) แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
ส่วนขั้นตอนในการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ตามมาตรา 61 เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) เท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มาตรา 61 มีความหมายแต่เพียงว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งหรือถอดถอนเลขาธิการ กสทช. แทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เท่านั้น
และหากพิจารณาเปรียบเทียบกับการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงขององค์กรของรัฐ เช่น องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร องค์กรอิสระ และองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญ
จะเห็นได้ว่า กฎหมายจัดตั้งองค์กรของรัฐต่างๆ ได้กำหนดไว้เป็นหลักการทั่วไปว่า ให้มีองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ในการออกหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เช่น องค์กรของรัฐ ฝ่ายบริหารที่สังกัดกระทรวง ทบวง กรม ก็จะมีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือเรียกโดยย่อว่า ก.พ.
เป็นองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคล ที่ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มอบอำนาจให้มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เช่น ออกเป็นกฎ ประกาศ หรือระเบียบ ก.พ. แล้วแต่กรณี เว้นแต่กฎหมายดังกล่าว ได้กำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลไว้โดยเฉพาะแล้ว
เช่น มาตรา 57 (1) พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ซึ่งการกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการดังกล่าว โดยหลักแล้วจะมีองค์ประกอบอย่างน้อย 3 ประการ คือ การกำหนดว่าตำแหน่งใดเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดำที่ดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการ และการกำหนดวิธีการในการดำเนินการของเรื่องนั้นๆ
ส่วนองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็จะมีองค์กรกลางในรูปแบบของคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ออกหลักเกณฑ์ขั้นตอน หรือวิธีการ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลในรูปแบบของระเบียบหรือประกาศเช่นกัน
ในทำนองเดียวกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ก็เป็นองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญประเภทหนึ่ง ที่มาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 กำหนดให้มีอำนาจในการออกระเบียบหรือประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล และประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนใช้บังคับต่อไป
@ประกาศ‘ปธ.กสทช.’รับสมัคร‘เลขาธิการฯ’ขัด‘หลักธรรมาภิบาล’
อีกทั้งหากพิจารณาประกาศประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ลงวันที่ 17 มี.ค.2566 ในข้อ 9 ที่กำหนดว่า
“ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคนาคมแห่งชาติ จะดำเนินการคัดเลือกโดยการประเมินจากเอกสารประกอบการสมัคร การแสดงวิสัยทัศน์ และการสัมภาษณ์จากรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกตามข้อ 8
และจะเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป”
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ให้การว่า การกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว มิใช่หลักเกณฑ์ในการสอบแข่งขัน แต่เป็นการคัดเลือกผู้บริหารระดับสูง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงสามารถไข้ดุลพินิจในการคัดเลือกได้ โดยไม่จำต้องกำหนดกรอบการให้คะแนน นั้น
เมื่อการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ในครั้งนี้มีผู้สมัครรับเลือก จำนวน 9 คน แต่เข้าแสดงวิสัยทัศน์และสัมภาษณ์จริง จำนวน 8 คน โดยผู้สมัครแต่ละรายมีเวลาในการแสดงวิสัยทัศน์และสัมภาษณ์คนละประมาณ 30 นาทีรวมระยะเวลาในการดำเนินการทั้งสิ้น 240 นาที หรือ 4 ชั่วโมง
ซึ่งโดยสภาพข้อเท็จจริงแล้ว ผู้ซึ่งทำหน้าที่ในการสรรหาหรือการคัดเลือก ย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบเพื่อวัดความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และทัศนคติของผู้สมัครแต่ละรายได้ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือหรือเกณฑ์ในการให้คะแนน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาและตัดสินใจ แล้วนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกัน
และเมื่อตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่สนับสนุนและรับผิดชอบงานธุรการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) อันเป็นภารกิจของรัฐที่มีผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนรวม การคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. จึงต้องมีเกณฑ์การคัดเลือกที่อยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล คือ จะต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความสุจริต ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติแล้วว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) ยังมิได้มีมติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ชั้นตอนหรือวิธีการเกี่ยวกับการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช.
และนับตั้งแต่มีการจัดตั้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ขึ้นมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยังมิได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการเกี่ยวกับการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามที่มาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 กำหนดไว้
ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) จึงเป็นผู้มีอำนาจในการดำเนินการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช.
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) ออกประกาศประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ลงวันที่ 17 มี.ค.2566
และกำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการเกี่ยวกับการสรรหาหรือการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช.ด้วยตัวเอง โดยมิได้รับความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) หรือตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีมติ จึงเป็นการออกประกาศโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น เมื่อคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามหนังสือ ลับ ที่ สทช. 1001/27240 ลงวันที่ 11 ส.ค.2566 ที่ให้ผู้ฟ้องคดี (นางสุรางคณา วายุภาพ) ไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เป็นผลมาจากการออกประกาศรับสมัครที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และข้อ 9 ของประกาศรับสมัครนี้ก็ไม่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ย่อมส่งผลให้คำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับการคัดเลือกดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน…
@‘กฎหมาย’ออกแบบให้‘บอร์ด กสทช.’มีอำนาจ‘บริหารงานบุคคล’
ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) กล่าวอ้างว่า มาตรา 56 มาตรา 60 และมาตรา 61 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 อยู่ในหมวด 5
บัญญัติเรื่องการจัดตั้งสำนักงาน กสทช. โดยกำหนดให้เลขาธิการ กสทช. รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักงาน กสทช. ขึ้นตรงต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งการได้มาหรือการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. มาตรา 61 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีอำนาจแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. โดยความเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยบทบัญญัติทั้ง 3 มาตราดังกล่าว ต่างบัญญัติไว้สอดคล้องกัน เพื่อให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
กล่าวคือ เมื่อมาตรา 60 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เลขาธิการ กสทช. รับผิดชอบการปฏิบัติงานของสำนักงาน กสทช. และขึ้นตรงต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มาตรา 61 วรรคหนึ่ง จึงบัญญัติให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นผู้แต่งตั้งเลขาธิการ กสทช.
แต่เพื่อเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการเสนอแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. มาตรา 61 วรรคหนึ่ง จึงกำหนดเงื่อนไขว่า จะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ก่อนด้วย
ดังเหตุผลที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในคดีหมายเลขดำที่ อท 168/2566 และคดีหมายเลขแดงที่ อท 31/2567 ในหน้าที่ 45 ความตอนหนึ่งว่า
“แม้กฎหมายกำหนดให้ประธาน กสทช. มีอำนาจแต่งตั้ง แต่หากกรรมการ กสทช. ไม่เห็นชอบ ก็ไม่อาจแต่งตั้งได้ ต้องสรรหาใหม่ การที่โจทก์ยกมากล่าวอ้างไว้ในฟ้องว่ากรรมการ กสทช.คนใดคนหนึ่ง หรือ กสทช. เสียงข้างมาก เป็นผู้มีอำนาจเสนอแต่งตั้งได้เอง แล้วยังมีอำนาจในการเห็นชอบด้วย
ย่อมไม่สอดคล้องกับหลักการในกฎหมายที่กำหนดไว้ให้เกิดระบบตรวจสอบถ่วงดุลของประธาน กสทช. กับกรรมการ กสทช.” นั้น
เห็นว่า เมื่อพิจารณา พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ในมาตรา 27 และมาตรา 58 แล้ว กฎหมายออกแบบให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานบุคคลของสำนักงาน กสทช.
โดยไม่ปรากฏว่า กฎหมายกำหนดให้มีองค์กรอื่นที่ทำหน้าที่ดังกล่าวอีก ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบริหาร การกำกับดูแล และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ และการบริหารงานของสำนักงาน กสทช.
ดังนั้น เมื่อมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการ กสทช.) เป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจหน้าที่ออกหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการบริหารงานบุคคล
กรณีจึงไม่จำต้องมีการถ่วงดุลอ่านาจแต่อย่างใด ข้อกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) จึงไม่อาจรับฟังได้
เหล่านี้เป็นคำวินิจฉัยของ ‘ศาลปกครองกลาง’ ที่ได้วินิจฉัยว่า การออกประกาศประธาน กสทช. เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ลงวันที่ 17 มี.ค.2566 เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นไปตาม ‘หลักธรรมาธิบาล’
จึงพิพากษาให้ ‘เพิกถอน’ คำสั่ง ประธาน กสทช. ที่ให้ นางสุรางคณา วายุภาพ ไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. นับแต่วันที่มีคำสั่งดังกล่าว ที่สำคัญศาลปกครองกลางยังชี้ว่า อำนาจในขั้นตอนการสรรหาและคัดเลือก ‘เลขาธิการ กสทช.’ นั้น เป็นของ ‘บอร์ด กสทช.’ ไม่ใช่อำนาจของ ‘ประธาน กสทช.’ เพียงคนเดียว
อนึ่ง เนื่องจากคดีนี้ผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 (ประธาน กสทช. และคณะกรรมการ กสทช.) มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ต่อศาลปกครองสูงสุด จึงต้องติดตามกันต่อไปว่า หากมีการยื่นอุทธรณ์ฯ ท้ายที่สุดแล้วศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร?
อ่านประกอบ :
'ศาลปค.'ยกคำร้อง'สภาผู้บริโภค'ยื่นขอ'ไต่สวนฉุกเฉินฯ' เพิกถอนประกาศหลักเกณฑ์ประมูลคลื่นฯ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา