
"...ข้อความที่นํามาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้เป็นบทสนทนาในภาษาต่างประเทศ และจนถึง ปัจจุบันยังไม่ได้มีการแปลโดยผู้มีอํานาจหรือผ่านการรับรองความถูกต้องโดยหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ การนําข้อความในภาษาต่างประเทศมาใช้ในกระบวนการพิจารณาของศาลนี้ โดยเฉพาะในคดีที่กระทบต่อสถานะของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล จึงจําต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถรับ ฟังได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิจารณามีคําสั่งให้แปลข้อความดังกล่าว..."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org): กรณี ศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ในคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
หลังภายประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น.

- เบื้องหลัง! เรียก'แพทองธาร-เลขา สมช.'ไต่สวนคดี‘ฮุนเซน’ให้สิทธิโต้แย้ง-ก่อนชี้ชะตา29 ส.ค.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' ยันไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมคดีฮุนเซน ยื่นพยาน 5 ปาก ได้แค่ เลขาฯ สมช.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (2) อ้าง ’ฮุนเซน’ ไม่พอใจ เลยต้องบอก ‘มทภ.2’ เป็นฝั่งตรงข้าม
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (3) อ้าง 'ฮวด' โทรหาก่อน ตัดสินใจคุย 'ฮุน เซน' แม้อยู่เพียงลำพัง
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร'(4) ยก 8 ประเด็นสู้ อ้าง'สว.'ใช้สิทธิ์ไม่สุจริต-พรรคการเมืองครอบงำ
- เปิดคำชี้แจง'แพทองธาร'(จบ) ตระหนัก-ยึดถือจริยธรรมขรก.การเมือง วิงวอนขอทำหน้าที่นายกฯต่อ
ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา ได้นำรายละอียดคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อต่อสู้ดคีนี้มาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้วหลายส่วน อาทิ การยืนยันว่า การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด การขออนุญาตให้ไต่สวนพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ปาก
การใช้ถ้อยคำว่า "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้" เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
การระบุถึง นายฮวด คนสนิทสมเด็จฮุน เซน เป็นคนกลางประสานเข้ามาเพื่อเสนอให้ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และโน้มน้าวให้ใจเย็นลงได้บ้าง สถานการณ์บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศน่าจะคลี่คลายได้โดยง่ายและเป็นไปโดยราบรื่นมากขึ้น ก่อนที่ฝ่ายกัมพูชาปล่อยคลิปการสนทนาระหว่างตนกับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ตนเองจึงต้องแถลงการณ์เพื่อขอโทษประชาชน และโทรศัพท์ไปอธิบายข้อเท็จจริงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นต้น
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดฉบับเต็ม คำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อต่อสู้ดคีนี้
*****************
เรื่อง ประธานวุฒิสภาส่งคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (8) ประกอบมาตรา 160 (8)
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือให้ยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน เนื่องด้วยประธานวุฒิสภาส่งคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสิบห้าวันนับแต่วันได้รับหนังสือตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 171 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุด ลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ อีกทั้ง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
และขอให้พิจารณามาตรการ หรือวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ประกอบข้อกําหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วย การพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 40 (4) นั้น
ข้าพเจ้า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้อง ขอกราบเรียนต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
ข้อ 1. มูลเหตุความเป็นมาของเรื่อง
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่าก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้โทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ตามที่ปรากฏในคลิปเสียง อันเป็นเหตุของการยื่นคําร้องในเรื่องนี้นั้น มีข้อเท็จจริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้
1.1. เหตุการณ์ก่อนมีการพูดคุยและเผยแพร่คลิปเสียง
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ข้าพเจ้าและกองทัพบกร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมติดตามการทํางานของคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ปชต.)
ณ ห้อง จปร. อาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพบกเฉลิมพระเกียรติ กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดําเนินนอก กรุงเทพมหานคร ปรากฏตามเอกสารแนบท้าย หมายเลข 1 รวม 5 แผ่น
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เวลาประมาณ 15.30 น. ได้เกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก อําเภอน้ํายืน จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากพบทหารกัมพูชาลักลอบก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ําเข้ามาในดินแดนไทย ซึ่งถือเป็นการกระทําที่ละเมิด MOU 43 และเป็นการกระทําที่มีลักษณะเป็นการยั่วยุฝ่ายทหารไทย โดยเฉพาะการขุดคูเลต ระยะทาง 150 เมตร เพื่อสร้างจุดตั้งกําลัง โดยการปะทะได้นําไปสู่การเสียชีวิตของ ทหารกัมพูชา ทําให้ฝ่ายกัมพูชาอาศัยประเด็นดังกล่าวในการยกระดับสถานการณ์และผลักดันให้ปัญหา ยกระดับขึ้นไปสู่ระดับสากล
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ภายใต้คําแนะนําของฝ่ายความมั่นคง ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) ผ่านการส่งข้อความ ถึงสถานการณ์ดังกล่าว และย้ําจุดยืนในการใช้ การเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) โดยใช้ สันติวิธี และถอยกําลัง โดยได้รับการตอบรับว่าจะดําเนินการตามที่ฝ่ายเราร้องขอ
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 แม้จะเป็นวันหยุดราชการเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา ข้าพเจ้าได้เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศ ณ ทําเนียบรัฐบาล เพื่อให้การเจรจา ในการปรับกําลังเป็นไปตามกรอบทวิภาคี ยืนยันว่าจะมีการหาทางออกผ่านการใช้กระบวนการ JBC และ เตรียมร่างแถลงการณ์ฉบับที่ 1 นอกจากนี้ ได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่าทางกัมพูชาได้เริ่มมี การดัดแปลงภูมิประเทศ ขุดคูเลตบริเวณต้นสัตยาบรรณ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ฉบับ 1. ปรากฏตามเอกสารแนบท้าย โดยยึดมั่นในหลักการสันติวิธีในการรักษาอธิปไตย ยึดกรอบการตกลงตามบันทึก ความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนทางบก ค.ศ. 2000 (MOU 43) เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและสูญเสีย อีกทั้งข้าพเจ้าได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ไป เจรจากับฝ่ายกลาโหมของกัมพูชา ณ อําเภออรัญประเทศ โดยเสนอให้มีการปรับกําลังเหมือนปี 2567 กล่าวคือ ให้ทั้งสองฝ่ายถอนกําลังออกจากพื้นที่พิพาท และตรึงกําลังเหมือนเดิมก่อนที่จะมีการปะทะ
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์เรื่องการนําเอาพื้นที่พิพาทไปสู่ การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - IC)) ข้าพเจ้าจึงได้เรียก ประชุมกับกระทรวงการต่างประเทศ ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 กังวลอย่างยิ่งต่อการกระทําของกัมพูชา และเรียกร้องให้กัมพูชาถอนกําลังทหารออกจากพื้นที่ที่มีการอ้างสิทธิ์
2. แสดงความทับซ้อน แถลงการณ์นี้สะท้อนถึงความกังวลของไทยต่อสถานการณ์ที่อาจบานปลาย และเป็นความพยายามที่ จะลดระดับความตึงเครียดโดยการเรียกร้องให้มีการถอนกําลัง การเรียกร้องให้ถอนกําลังทหารเป็นการส่งสัญญาญชัดเจนว่าไทยไม่ต้องการเห็นการใช้กําลังและยังคงยึดมั่นในแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี
อีกทั้งยืนยันว่าประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอํานาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่ควรใช้กลไกทวิภาคี JBC โดยที่ช่วงบ่ายวันนี้ ด้านรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ได้พบกับหน่วยงานกลาโหมของกัมพูชา ซึ่งข้าพเจ้าได้รับรายงานว่ากัมพูชาจะตกลงในกรอบความร่วมมือ ทวิภาคี JBC พร้อมปรับกําลังกลับไปดังเช่นช่วงปี 2567
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภา ความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพทํางานเป็นเอกภาพ พร้อมมอบให้หน่วยงานความมั่นคง เสนอ 4 ขั้นตอนควบคุมชายแดน รวมถึงการกําหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน และมีการแถลงข่าวร่วมกับหน่วยงาน ความมั่นคงโดยในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย (นายอันวาร์ อิบราฮิม) ได้โทรศัพท์มาสอบถามถึง สถานการณ์ และเสนอจะใช้กลไกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ในการแก้ไข ปัญหาดังกล่าว ซึ่งทุกฝ่ายได้ย้ำถึงการแก้ไขสถานการณ์โดยสันติวิธี แต่ในช่วงเย็นวันเดียวกันปรากฏว่ามี เพจของกลาโหมกัมพูชารายงานว่าจะไม่ยอมรับในการเจรจาปรับกําลังพลของทั้งสองฝ่ายบริเวณชายแดน
จากการที่ได้มีการพูดคุยกันระหว่างหน่วยงานกลาโหมของทั้งสองฝ่าย แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เพื่อเป็นการตอบโต้ความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา ที่ไม่ยอมรับ การเจรจาปรับกําลังพล ฝ่ายไทยโดยหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่เริ่มกําหนดเวลาในการเปิด-ปิดด่านชายแดน
เนื่องจากพบว่าฝ่ายกัมพูชามีอาวุธระยะไกลและอาวุธหนักที่จะทําให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชน ทั้งสองฝ่าย ตลอดจนรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ได้ออกแถลงการณ์ในการยกระดับกําลังพล เพื่อ รักษาอธิปไตยไทย และความปลอดภัยของประชาชน ปรากฏตามเอกสารแนบท้าย หมายเลข 4 รวม 1 แผ่น
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีช่วยว่า การกระทรวงกลาโหม (พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์) ได้รายงานผลถึงการเจรจากับพลเอก ถูก บุญชัย ตัวแทน ของกัมพูชาว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับกําลังให้กลับไปเป็นดังเช่นปี 2567 ลดการเผชิญหน้าและความขัดแย้ง ปรับพื้นที่พิพาท รวมถึงดูเลตให้อยู่ในสภาพเดิม โดยที่จะให้มีการเจรจาทวิภาคี JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี ข้าพเจ้าได้มีการหารือผ่านข้อความกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) ในรายละเอียด ต่าง ๆ ซึ่งจะนําไปสู่การเจรจาในวันที่ 14 มิถุนายน 2558 โดยที่ข้าพเจ้าและรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ได้แถลงถึงผลสําเร็จดังกล่าวเพื่อให้สถานการณ์ชายแดนของทั้งสองประเทศกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
โดยที่ข้าพเจ้าได้ยืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันรุนแรงอย่างแน่นอน
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบ สิ่งของบํารุงขวัญให้แก่กําลังพล กองกําลังสุรนารี ณ ฐานปฏิบัติการกองกําลังสุรนารี อําเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โดยมีแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ร่วมตรวจเยี่ยมกําลังพลและให้กําลังใจกับเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยพร้อมกันนี้ได้ร่วมรับฟังปัญหาในการใช้เส้นทางตรวจการณ์ชายแดน
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าได้เชิญปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) และหน่วยงานความมั่นคงอื่น ๆ มาประชุมเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาในเส้นทาง ตรวจการณ์ชายแดน อันสืบเนื่องมาจากการรับฟังปัญหา ขณะที่มีการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกําลังพลเมื่อวาน เพื่อที่จะสนับสนุนทําให้การทํางานของเจ้าหน้าที่สะดวกยิ่งขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและทางกองทัพ ตลอดจนเอกภาพในการทํางานร่วมกัน
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าได้ไปประชุมร่วมกับเอกอัครทูตไทยทั่วโลก เพื่อให้ช่วย ย้ําจุดยืนของไทยต่อนานาอารยประเทศ และมุ่งหน้าสู่การเจรจาทวิภาคี ABC ที่จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
แต่ต่อมาในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 สมเด็จฮุน เซน กลับแถลงถึงจุดยืนหลังจากการประชุม JBC เพื่อกดดันให้ไทยเปิดด่านผ่านแดนทั้งหมด รวมทั้งตอบโต้ในการห้ามนําสินค้า น้ํามัน และเรียกแรงงาน ชาวกัมพูชากลับจากไทย โดยจุดยืนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับผลการประชุม JBC ซึ่งได้มีการตกลงกันไว้ แสดงให้ เห็นถึงความไม่จริงใจ และถือได้ว่าเป็นการยั่วยุประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เพื่อเป็นการตอบโต้แถลงการณ์ของสมเด็จฮุน เซน รัฐบาล ชี้แจงว่าไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานต่างด้าวประเทศใดออกนอกประเทศ พร้อมทั้งแถลงผลประชุม JBC.ว่า กัมพูชาอยากผลักดันประเด็นพื้นที่พิพาท 4. จุดเข้าสู่กระบวนการ IC) และไทยย้ําว่าไทยไม่ได้ยอมรับแผนที่ อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 (แถลงการณ์ของกัมพูชาหลังจากการประชุม JBC ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในที่ ประชุม)
ช่วงบ่ายได้มีการนัดประชุมมาตรการตอบโต้ของกัมพูชากับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ขณะเดียวกัน นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน ได้ประสานขอเข้าพบข้าพเจ้า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดน ข้าพเจ้าได้หารือกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้วเห็นว่าเห็นสมควรให้นายฮวดเข้าพบเพื่อพูดคุยรับทราบสถานการณ์ข้อเท็จจริงที่อาจเป็นประโยชน์
ดังนั้น ข้าพเจ้า พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยม พงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) จึงให้นายฮวดเข้าพบเพื่อพูดคุยรับทราบ สถานการณ์ โดยนายฮวดพยายามให้ข้อมูลว่าการที่สมเด็จฮุน เซน แถลงจุดยืนที่ไม่สอดคล้องกับผลการประชุมJBC เมื่อวานนี้ เป็นผลมาจากความไม่พอใจที่กองทัพภาคที่ 2 มีการกําหนดเวลาเปิด-ปิดชายแดนแต่เพียงฝ่าย เดียว และไม่พอใจแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อสารมวลชนในหลายประเด็น พร้อมกันนี้นายฮวดเสนอ ว่า หากข้าพเจ้าได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และโน้มน้าวให้ใจเย็นลงได้บ้าง สถานการณ์บริเวณชายแดน ของทั้งสองประเทศน่าจะคลี่คลายได้โดยง่ายและเป็นไปโดยราบรื่นมากขึ้น
ในเวลาต่อมา นายฮวดได้แสดงเจตนาว่าจะประสานกับสมเด็จฮุน เซน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ และเป็นผู้ริเริ่มติดต่อจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มหรือเสนอให้มีการสนทนา แต่เป็นการตอบรับสถานการณ์เฉพาะหน้าในฐานะนายกรัฐมนตรีซึ่งต้องพยายามใช้ทุกโอกาสในการรักษาความสงบ เรียบร้อยของประเทศ ทั้งนี้ ข้าพเจ้า พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) อยู่ร่วมกันตลอดช่วงเวลาที่นายฮวดพยายามติดต่อกับสมเด็จฮุน เซนเพื่อเจรจาคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดตาม แนวชายแดน แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน เนื่องจากสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้รับโทรศัพท์ ข้าพเจ้าและคณะจึงปิด ประชุมและต่างแยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมตัวสําหรับการประชุมในวันพรุ่งนี้
อย่างไรก็ดี ในช่วงเย็นวันดังกล่าวหลังข้าพเจ้าแยกย้ายกันคณะทํางานและอยู่เพียงลําพัง นายฮวดได้ติดต่อทางโทรศัพท์กลับมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นนายฮวดที่ติดต่อเข้ามาจึงรับโทรศัพท์ โดยไม่ทราบมาก่อนว่าจะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน แต่เมื่อข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์นายฮวดแล้ว นายฮวดได้ แจ้งว่าจะเชิญสมเด็จฮุน เซน เข้ามาร่วมสนทนาด้วยในลักษณะการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วม (Conference Call) ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจตอบรับที่จะสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมดังกล่าวแม้จะอยู่เพียงลําพัง แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็น โอกาสอันดีที่จะได้พูดคุยกันเพื่อโน้มน้าวสมเด็จฮุน เซน ให้ช่วยเหลือในการร้องขอหรือประสานกับผู้นํารัฐบาล และกองทัพกัมพูชาให้หันหน้าเข้าสู่การเจรจาตามแบบพิธีการระหว่างประเทศเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้มีการคุยผ่านข้อความกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) เพื่อสรุปมาตรการต่าง ๆ หลังจากการประชุม JBC โดยจะให้มีการประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงในวันที่ 16 มิถุนายน 2558 เพื่อตัดสินใจในมาตรการต่าง ๆ ต่อไป

1.2. เหตุการณ์หลังการพูดคุยและการเผยแพร่คลิปเสียง
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ดําเนินการเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทไทย - กัมพูชา ดังนี้
(1) เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงกลุ่มเล็กติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
ณ บ้านพิษณุโลก โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ ไม่ยอมให้บุคคลใดข่มขู่ และจะตั้ง ทีมงานปกป้องและตั้งรับ รวมถึงรวบรวมข้อมูลว่าสามารถปกป้องและตอบโต้ได้อย่างไรบ้าง นอกจากนี้ใน ระหว่างการประชุมซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงของหลายหน่วยงานเข้าร่วม อาทิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ ทหารบก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ข้าพเจ้าได้นําสาระสําคัญ ของการสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวาน พร้อมด้วยเงื่อนไขที่สมเด็จฮุน เซน เรียกร้อง มาแจ้ง ต่อที่ประชุมเพื่อหารือร่วมกันภายในที่ประชุม
(2) ตั้ง “ทีมไทยแลนด์” ติดตามกรณีที่กัมพูชายื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลโลกเพื่อ ติดตามข่าวสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ และส่งข้อความถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชา (นายฮุน มาเนต) ขอเปิดประชุมทวิภาคีในหารือเรื่องการเปิดด่านชายแดน
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ด้วยเหตุความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้า ทําให้ ฝ่ายกัมพูชาปล่อยคลิปการสนทนาระหว่างข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ตามที่ ผู้ร้องกล่าวหา ข้าพเจ้าจึงต้องแถลงการณ์เพื่อขอโทษประชาชน และได้โทรศัพท์ไปอธิบายข้อเท็จจริงและกล่าว คําขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 โดยทางแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีความเข้าใจในสถานการณ์การเจรจากับทางกัมพูชา ยืนยันว่าไม่ติดใจกับกรณีดังกล่าว

พลโท บุญสิน พาดกลาง
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2558 แม้ฝ่ายกัมพูชาจะปล่อยคลิปการสนทนาดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังคงร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับสูง เรื่อง สถานการณ์ไทย- กัมพูชาและได้ร่วมกันแถลงต่อสื่อมวลชนเพื่อแสดงถึงความเป็นเอกภาพในการแก้ไขปัญหาระหว่างข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับสูงทั้งทหารและตํารวจ และย้ําว่าการกระทําของทาง กัมพูชาถือเป็นภัยความมั่นคงต่อชาติ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี พร้อมแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) พบปะกําลังพลกองกําลังสุรนารีและมอบสิ่งของบํารุงขวัญ ณ. ฐานปฏิบัติการมรกต อําเภอ น้ํายืน จังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568. แม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ยืนยันไม่ติดใจ เกี่ยวกับคําพูดของข้าพเจ้าที่ปรากฏตามคลิปเสียง ไม่จําเป็นต้องทําความเข้าใจกัน (เคลียร์ใจ) ยืนยันไม่ได้ ขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีข่าวความขัดแย้งระหว่างข้าพเจ้ากับแม่ทัพภาค 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง)ก็เป็นเพียงความเข้าใจผิดและได้มีการชี้แจงและกล่าวคําขอโทษต่อกันแล้ว ไม่มีผลกระทบต่อการทํางานของกองทัพแต่อย่างใด
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568. ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการ ต่างประเทศออกแถลงการณ์ประณามการกระทําของกัมพูชาอย่างรุนแรง และเรียกร้องให้มีการประชุม JBCโดยเร่งด่วนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามของไทยที่จะกลับไปใช้กลไกการเจรจาที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา เขตแดนโดยเฉพาะการที่ไทยยังคงผลักดันการเจรจาผ่าน JBC แม้จะมีการรุกล้ําซ้ําซ้อน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในกระบวนการทวิภาคี และความปรารถนาที่จะหาทางออกที่ยั่งยืนอย่างสันติวิธีผ่านช่องทางที่กําหนดไว้
ข้าพเจ้าพร้อมแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อยกระดับมาตรการชายแดนไทย - กัมพูชา หากในอนาคตต้องมีการสู้รบกัน จะต้องปิดด่านตลอดแนว ขอให้คนไทยมีความสามัคคีในห้วง ประเทศมีวิกฤต ขอให้มั่นใจว่าทหารอยู่เคียงข้างประชาชน ชายแดนไทยมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน ปรากฏ ตามภาพข่าวเอกสารแนบท้ายหมายเลข 12 รวม 2 แผ่น
ต่อมาแม่ทัพภาคที่ 1 (พลโท อมฤต บุญสยา) ได้เผยแพร่คําสั่งกองทัพภาคที่ 1 เรื่อง สั่งปิดด่านชายแดนไทย - กัมพูชาทั้งหมด ยกเว้นกรณีจําเป็นด้านมนุษยธรรม เช่น ผู้ป่วยและนักเรียนที่ ต้องเดินทางข้ามแดนเพื่อการรักษาพยาบาลหรือการศึกษาซึ่งต้องขออนุญาตเป็นกรณีเฉพาะ โดยระบุถึงความจําเป็นในการควบคุมการเคลื่อนไหวข้ามแดนที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการแอบแฝงของเครือข่ายหลอกลวง ทางไซเบอร์ (Call Center และ Hybrid Scam) มาตรการนี้ห้ามการเดินทางเข้า - ออกของยานพาหนะทุก ประเภท ห้ามประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้า - ออก และห้ามการค้าขาย ทุกประเภท
ข้อ 2. คําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
ข้ออ้างตามคําร้องของผู้ร้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดอันจะถือได้ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่าง ร้ายแรงแต่อย่างใด ข้าพเจ้าขอคัดค้านคําขอตามคําร้องดังกล่าว โดยขอแถลงข้อเท็จจริงและเหตุผลเพื่อ ประกอบการพิจารณา โดยขอโต้แย้งข้อกล่าวหาทุกประเด็นของผู้ร้องดังต่อไปนี้
2.1.การเจรจาระหว่างประเทศ
ที่ผู้ร้องกล่าวหาข้าพเจ้าว่า “หากผู้ถูกร้องมีเจตนาในการเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่าง ประเทศเพื่อประโยชน์ของประเทศไทยจริง ผู้ถูกร้องสามารถดําเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอนและวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักการและมาตรฐานการดําเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใสตามกระบวนการของ กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสําคัญ ไม่มีเหตุผลความจําเป็นใด ๆ ที่จะต้อง แอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว” ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจง ดังนี้
ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีขอกราบเรียนว่า ความจําเป็นในการเจรจากิจการระหว่าง ประเทศนั้น แต่ละประเทศต้องยึดถือประโยชน์ของประเทศตนเป็นสําคัญ หากแต่ในบางกรณีการเจรจาต่อรอง ระหว่างประเทศอาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวังทั้งหมด ในบางครั้งอาจจําเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขบาง ประการ เช่น การเจรจาอัตราภาษีระหว่างชาติต่าง ๆ กับประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ที่หลายชาติต่างต้อง ยอมลดพิกัดอัตราภาษีให้แก่สินค้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีสินค้าของชาติตนที่จะนําไปจําหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา
ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติวิเคราะห์ผลกระทบตามมาจากกรณีคลิปเสียงหลุด (อ้างอิงวิดีโอจาก CNA)
ในการสนทนาของข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซน ในฐานะประธาน วุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งไม่ได้อยู่ในสถานะหรือดํารงตําแหน่งผู้นําของรัฐบาลกัมพูชา และไม่มี ข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่า ข้าพเจ้าจะนําผลประโยชน์ของประเทศไทยไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ มีเพียงแต่ การพยายามเจรจาต่อรองเงื่อนไขเพื่อให้สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาคลี่คลายลงโดยใช้คําพูดเชิงจิตวิทยา ระหว่างการสนทนา เพื่อโน้มน้าวหวังให้สมเด็จฮุน เซน ช่วยกรุณาแนะนําหรือเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อ ประเทศไทยและลดความขัดแย้งผ่านไปยังผู้นํารัฐบาลกัมพูชาเพียงเท่านั้น
สําหรับหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักการและมาตรฐาน ข้าพเจ้าขอ กราบเรียนว่า กระทรวงการต่างประเทศมีการกําหนดขั้นตอนมาตรฐานเฉพาะสําหรับกระบวนการที่เป็น ทางการเท่านั้น เช่น กระบวนการเจรจาจัดทําสนธิสัญญา (Treaty. Negotiation) และมาตรฐานพิธีการ (Protocol & Diplomatic Procedure) แต่ไม่ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการเจรจาทางการทูต สําหรับวิธีการที่ไม่เป็นทางการแต่อย่างใด
ภายใต้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) ที่เน้นการ ใช้เครื่องมือและวิธีการต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น การเจรจาในลักษณะสายตรงระหว่างผู้นํา หรือสายด่วนผู้นํา (Leader to Leader Hotline) เป็นวิธีการเจรจา อย่างไม่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และมักจะใช้เพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนหรือ ประเด็นที่มีความอ่อนไหวอันเป็นวิธีการที่นิยมปฏิบัติต่อกันเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด หรือสร้างความไว้ใจกัน ทั้งในประเด็นเรื่องความมั่นคง ข้อพิพาทตามแนวชายแดน หรือเพื่อป้องกันการเกิดสงคราม ซึ่งโดยปกติ วิธีการ เช่นนี้จะไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และมักไม่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ เช่น สายด่วนระหว่างผู้นํา สหรัฐอเมริกากับรัสเซีย หรือผู้นําเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ ดังนั้นการพูดคุยของข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซนก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับผู้นําประเทศอื่น ๆ และอยู่ภายใต้กรอบการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเป็นสําคัญ
สําหรับข้อที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า “ไม่มีเหตุผลความจําเป็นใด ๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็น การส่วนตัว” นั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงไว้ตามข้อ 1. มูลเหตุความเป็นมาเกิดขึ้นจากการที่นายฮวดพยายาม ติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ข้าพเจ้าอยู่ร่วมหารือถึง แนวทางในการเจรจากับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ซึ่งอยู่ร่วมกันกับข้าพเจ้าตลอดระยะเวลาที่นายฮวดพยายามติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาบริสุทธิ์และไม่ได้มีเจตนาที่จะแอบเจรจากันดังที่ผู้ร้องกล่าวหา แต่เมื่อความพยายาม ของนายฮวดในการติดต่อเพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ทางโทรศัพท์ไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจาก สมเด็จฮุน เซน ไม่รับโทรศัพท์ ข้าพเจ้าและคณะจึงจําเป็นต้องแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ตามอํานาจ หน้าที่ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อข้าพเจ้าอยู่เพียงลําพัง นายฮวดได้โทรศัพท์กลับมาและขอให้มีการเจรจาแบบการ สนทนาทางโทรศัพท์ร่วม การเจรจาแบบส่วนตัวจึงเกิดขึ้นซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติและยังคงดําเนินการสนทนาพูดคุยตามปกติซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่จะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน อยู่แล้ว เช่นเดียวกับ กรณีที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) จะยังอยู่ร่วมด้วยในการเจรจา
อนึ่ง แม้การเจรจาจะเป็นไปแบบส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนของข้าพเจ้า ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาดังกล่าว ข้าพเจ้าได้พยายามโน้มน้าวให้สมเด็จฮุน เซน เห็นด้วยว่าทั้งสองประเทศ สามารถแก้ไขปัญหาความตึงเครียดบริเวณชายแดนด้วยสันติวิธีได้ตามกรอบการเจรจาของประเทศไทย อีกทั้ง
ในวันรุ่งขึ้น (16 มิถุนายน 2568) ในระหว่างการประชุมฝ่ายความมั่นคงกลุ่มเล็กเพื่อติดตามสถานการณ์ ชายแดนไทย - กัมพูชา ณ บ้านพิษณุโลก ซึ่งมีบุคคลสําคัญเข้าร่วม อาทิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ ทหารบก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ข้าพเจ้าก็ได้นําสาระสําคัญ ของการสนทนาดังกล่าวและเงื่อนไขที่สมเด็จฮุน เซน เรียกร้องมาแจ้งต่อที่ประชุม จึงเป็นการยืนยันว่าข้าพเจ้า มีความบริสุทธิ์ใจและไม่ได้มีเจตนาที่จะแอบเจรจากันดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
อย่างไรก็ดี แม้ข้าพเจ้าจะยืนยันว่าการสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุน เซน เป็นไปด้วย เจตนาที่บริสุทธิ์ โดยเห็นแก่ความสงบ.ความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศชาติและประชาชนเป็น สําคัญ แต่ในขณะเดียวกันสมเด็จฮุน เซน กลับไม่ได้มีความคิดเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า แต่กลับเห็นแต่ประโยชน์ ทางการเมืองของตน อันสะท้อนให้เห็นผ่านพฤติกรรมที่ผิดมารยาททางการเมืองระหว่างประเทศ โดยการแอบบันทึกเสียงการสนทนาแล้วนํามาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนแต่ฝ่ายเดียว และเป็นที่คาดการณ์ว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการเล็งผลที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทางการเมืองในประเทศไทย
ทําให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศไทยได้ แล้วฉวยโอกาสดังกล่าวใช้กําลังทหาร เข้าปะทะดังที่เคยทํามาโดยตลอดตามประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา
การร้องเรียนของผู้ร้องถึงคุณสมบัติของข้าพเจ้า จึงอาจสอดคล้องกับเจตนาของสมเด็จฮุนเซน ในการจงใจเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาดังกล่าวและการระงับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าอาจเป็น ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์เกินความคาดหมายของทางกัมพูชาและทําให้ประเทศไทยอาจต้องเสียเปรียบในทางระหว่างประเทศเนื่องจากการแสดงความอ่อนแอในการเมืองภายในจะสร้างความหวังแก่กัมพูชาในการบรรลุเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนพิพาท หากเกิดกรณีความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
2.2. ข้อความในบทสนทนาที่ผู้ร้องเห็นว่าไม่เหมาะสม
ที่ผู้ร้องเห็นว่า ไม่ควรเรียกผู้นําประเทศที่กําลังมีการปะทะกันทางการทหารหรือสภาวะ สงครามที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า uncle.(แปลว่า คุณลุง) และแจ้งว่า “จริง ๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” รวมทั้งเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า “ฝั่งตรงข้าม” ข้าพเจ้า
ขอเรียนชี้แจง ดังนี้
บทสนทนาดังกล่าวเป็นไปในลักษณะของการแสดงเจตนารมณ์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึง เครียดบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา และเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดําเนินไปโดยสันติวิธี มิใช่เพื่อมุ่ง ข้อความบางตอน
หมายให้เกิดประโยชน์ส่วนตนหรือกระทําการใดอันเป็นการบ่อนทําลายผลประโยชน์ของชาติ
ที่ปรากฏ เช่น การเรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “uncle” เป็นการแสดงความเคารพในวัยวุฒิแก่คู่เจรจา และเป็น มารยาทที่ข้าพเจ้ารักษาปฏิบัติเรื่อยมาเป็นปกติวิสัย ในการเจรจากับคู่สนทนาอย่างไม่เป็นทางการ อาทิ การเรียกอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ว่า "อาหนู” หรือการเรียกรองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ว่า “อาสุริยะ” หรือการเรียกเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ว่า “อาหมอ”
จึงเห็นได้ว่าการใช้สรรพนามดังกล่าวสอดคล้องกับขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามของสังคมไทย ดังนั้น การเรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “ uncle” จึงไม่ได้เจตนาแอบแฝงอื่นนอกจากมารยาททางสังคมและความพยายามในการสร้างความไว้วางใจเพื่อนําไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา เท่านั้น
สําหรับถ้อยคําว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” ข้าพเจ้ามีแต่ เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อนซึ่งเป็นหลักการสําคัญของ การเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสําคัญคือการตั้งคําถามเพื่อค้นหา ความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทําความเข้าใจความ ต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นํามาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนําไปสู่การยุติความตึงเครียด ที่เกิดขึ้น
โดยข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะดําเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อสมเด็จฮุน เซน ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อน แล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง ข้าพเจ้าก็เสนอกลับไปว่าให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไข ดังกล่าว
และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของสมเด็จฮุน เซน เช่นเดียวกัน เนื่องจาก ข้อเสนอใด ๆ จากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม ข้าพเจ้าจะต้องนําเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
ส่วนถ้อยคําที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงข้างต้นว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จ ฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อ แม่ทัพภาคที่ 2. 2. พลโท บุญสิน พาดกลาง) เป็นการเฉพาะเจาะจง ข้าพเจ้าจึงจําต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่ แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตําหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใดแต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่าฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหากแต่เป็นการดําเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้มีการชี้แจงและกล่าวคําขอโทษต่อแม่ทัพ ภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) แล้ว และแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ยืนยันต่อสาธารณชน ว่าไม่ติดใจคลิปเสียงของข้าพเจ้าและไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโทบุญสิน พาดกลาง)และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทํางานของกองทัพแต่อย่างใดตามรายละเอียดดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ การที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ในบทสนทนาเกิดขึ้น ภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า ทางการกัมพูชาไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกําลังทหารของไทย ณ ช่องบก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าจึงจําเป็นต้องสื่อสาร เพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคงซึ่งสมเด็จฮุน เซน รู้สึกว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชา ในขณะนั้น และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจที่อาจนําไปสู่การเปิดเจรจาในระดันทางการต่อไปโดยไม่ ใช้มาตรการทางทหาร และทางเศรษฐกิจอันอาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ความตั้งใจเดียวของ ข้าพเจ้าตลอดบทสนทนาจึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วน ตน ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่าไม่มีข้อความตอนใดที่ข้าพเจ้าเรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเอง หรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
รายละเอียดความไม่พอใจของทางฝั่งกัมพูชาปรากฏอยู่ในบทสนทนาที่สมเด็จฮุน เซนกล่าวถึงนาทีที่ 3.45 - 5.01. เป็นภาษากัมพูชา
ทั้งนี้ พฤติการณ์ตลอดบทสนทนาดังกล่าวอยู่ในกรอบแห่ง แนวนโยบายการต่างประเทศซึ่งดําเนินการโดยสันติวิธีตามหลักสากล หาใช่การดําเนินการในเชิงลับหรือมี เจตนาบ่อนทําลายผลประโยชน์ของรัฐไม่ และเป็นไปตามแนวทางการหารือในช่วงบ่าย วันที่ 15 มิถุนายน 2564 ระหว่างข้าพเจ้า กับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช)
นอกจากนี้ ผู้ร่วมสนทนา คือ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของ ประเทศตนหรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทําการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ ระหว่างรัฐได้ อีกทั้งในระหว่างที่มีการสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน นั้น ไทยและกัมพูชายังถือว่ามีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับที่ใกล้ชิดกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกัน และในฐานะประเทศในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ถึงแม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกัน ตามแนวเขตชายแดนบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่มีการปะทะด้วยกําลังกันอย่างรุนแรง และยังไม่มีการลดระดับ ความสัมพันธ์ทางการทูต
อนึ่ง ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งของศาลนี้ ความตึงเครียดระหว่าง ไทยกับกัมพูชาได้เพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นต้องมีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เพื่อเป็นการตอนโต้ กรณีกัมพูชาละเมิดพันธกรณีอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-PersonnelMine, Ban Convention) หรือที่รู้จักกันว่า “อนุสัญญาออตตาวา” (Ottawa Treaty) โดยการแอบฝังทุ่นระเบิด เข้ามาในเขตแดนของราชอาณาจักรไทย และส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ทั้งในวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3 ราย และในวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 6 ราย และนํามาสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น และการปะทะกันทางกําลังทหารระหว่างไทย-กัมพูชา อันเนื่องมาจากการเปิดฉากโจมตีของกองกําลังของกัมพูชาต่อเป้าหมายทางพลเรือนชาวไทยในเขตแดนไทย นับตั้งแต่วันที่24 กรกฎาคม 2568 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจําเป็นที่ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศความตั้งใจเสมอมาว่า ไม่ประสงค์จะให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาจนนําไปสู่การใช้ ความรุนแรง ได้เล็งเห็นถึงภัยคุกคามความมั่นคง และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นประเทศชาติ ทหาร และพลเรือนของทั้ง สองฝ่าย และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธี จึงตัดสินใจยินยอมให้นายฮวดเชิญสมเด็จฮุน เซน เข้าร่วมการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมภายใต้สถานการณ์เฉพาะหน้าดังกล่าว
การตัดสินใจที่จะเจรจากับสมเด็จ ฮุน เซนแบบไม่เป็นทางการจึงเกิดขึ้นด้วยความหวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้สมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสําคัญทางการเมืองของกัมพูชา นําความปรารถนาดีของข้าพเจ้าสะท้อนไปยังผู้มีอํานาจทั้งทางการเมืองและ ทางทหารอื่น ๆ ในประเทศกัมพูชา ให้เห็นถึงความสําคัญในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และกลไกทวิภาคี
การที่ผู้ร้องอ้างว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความจําเป็นที่จะต้องโทรศัพท์ไปเจรจากับสมเด็จฮุน เซน” จึงไม่ใช่ข้อกล่าวอ้าง ที่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมแก่ข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะโทรศัพท์ไปเจรจากับสมเด็จฮุนเซน เพียงลําพังหากแต่เป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องรับโทรศัพท์นายฮวดและยอมให้เกิดการสนทนาทาง โทรศัพท์ร่วมหลายฝ่าย (Conference call)ดังกล่าว
เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์และบทบาทของข้าพเจ้าที่จะต้องพยายามแสวงหาโอกาสทุกวิถีทางเพื่อรักษาความสงบและสันติให้แก่บ้านเมือง การเจรจากับสมเด็จฮุน เซน จึง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามการปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงที่จะเจรจากับสมเด็จฮุน เซน โดยมองข้าม โอกาสที่จะสร้างสันติภาพตามแนวชายแดนกลับเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และมิใช่วิถีทางที่ผู้นําประเทศจึงกระทําเมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสําคัญ
2.3. ข้อกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้อง “ไม่รักชาติ”
กรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า “ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยกลับไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จนบุคคลสําคัญและประชาชนคนไทยต้องออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติหน้าที่ โดยด่วนและเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักชาติ” ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจง ดังนี้
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย ซึ่งได้เข้าถวายสัตย์ ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ มีความตั้งใจทํางานตามบทบาทหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถเพื่อปกป้องซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศและประชาชนชาวไทย ดังจะเห็นได้จากการออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริง แนวทาง หรือตอบโต้ การกระทําต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า หากเป็นกรณีของการดําเนินการเพื่อเปลี่ยนแปลงเขตแดน แห่งประเทศหรือมีผลกระทบต่ออธิปไตยแห่งรัฐนั้น จะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งไม่ใช่อํานาจของนายกรัฐมนตรี หากแต่เป็นอํานาจของรัฐสภาในการพิจารณาให้
ความเห็นชอบ เช่นเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคําวินิจฉัยเกี่ยวกับการพิจารณาหนังสือสัญญาระหว่าง ประเทศไว้ในคําวินิจฉัยที่ 3/2560 โดยการเจรจาของข้าพเจ้านั้นไม่ได้เข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญหรือตามคําวินิจฉัยดังกล่าวแต่อย่างใด
2.4 ข้อกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้อง “คุกคามสื่อมวลชน”
กรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า “ผู้ร้องโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดจาประชดสื่อมวลชน และเมื่อ จบการแถลงข่าวได้เดินบุกไปยังพื้นทีที่สื่อมวลชนยืนอยู่ถามหาสื่อมวลชนผู้ที่ตั้งคําถามอันเป็นการคุกคามสื่อมวลชนอย่างที่นายกรัฐมนตรีไม่พึงปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง”
ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจง ดังนี้
ภายหลังจบการแถลงข่าวดังกล่าว ข้าพเจ้าได้เดินผ่านกลุ่มสื่อมวลชนจึงสอบถามด้วยอัธยาศัย ไมตรีว่า “เค้าโกรธอะไรเหรอ ตะกี้” ซึ่งกลุ่มสื่อมวลชนในขณะนั้น ได้ตอบกลับมาว่า “ไม่ได้โกรธ” “เป็นคาแรคเตอร์” และ “ไม่มีใครโกรธนายกเลยครับ” แล้วยังได้พูดจาหัวเราะกันตามประสาบุคคลที่พบปะ กันบ่อยครั้งและมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าพเจ้ากับสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าที่ผ่านมาไม่เคยมีเจตนาคุกคามสื่อมวลชนแต่ประการใด การกล่าวอ้างของผู้ร้อง จึงเป็นความอคติส่วนตนที่มีต่อข้าพเจ้าโดยตลอด
2.5ข้อความตามคลิปเสียงที่อ้างเป็นพยานหลักฐานยังไม่ได้ผ่านการแปลหรือรับรองความถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อความที่นํามาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้เป็นบทสนทนาในภาษาต่างประเทศ และจนถึง ปัจจุบันยังไม่ได้มีการแปลโดยผู้มีอํานาจหรือผ่านการรับรองความถูกต้องโดยหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ การนําข้อความในภาษาต่างประเทศมาใช้ในกระบวนการพิจารณาของศาลนี้ โดยเฉพาะในคดีที่กระทบต่อสถานะของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล จึงจําต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถรับ ฟังได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิจารณามีคําสั่งให้แปลข้อความดังกล่าว
โดยล่ามที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งไทยและกัมพูชารับรองความถูกต้องของถ้อยคําและบริบทของบทสนทนาดังกล่าวก่อนนํามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี
2.6. พยานหลักฐานที่นําเสนอ ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พยานหลักฐานที่นําเสนอในคําร้องของผู้ร้องเป็นบทสนทนาที่ได้มาจากการบันทึกเสียงหรือการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยปราศจากความยินยอมจากคู่สนทนา ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งข้อมูลโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและหลักนิติธรรม ทั้งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 (2) ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาประกอบมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยกรณีนี้ได้มีการนําข้อมูลบทสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ ในลักษณะอันอาจทําให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้วต่อพนักงาน สอบสวน และคดีอยู่ระหว่างกระบวนการสืบสวนสอบสวน
2.7. การกระทําในเชิงนโยบายระหว่างประเทศ
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าบทบาทสําคัญประการหนึ่งของรัฐบาลคือการกําหนดนโยบายในทางระหว่างประเทศและเนื่องจากกิจการดังกล่าวเป็นกิจการของฝ่ายบริหารโดยแท้ จึงทําให้หลายประเทศทั่วโลก กําหนดให้กิจการเหล่านี้ต้องได้รับการตรวจสอบทางการเมืองเท่านั้น ดังเช่น แนวคิด “การกระทําทางรัฐบาล(Act of Government) หรือแนวคิด “ดุลยพินิจทางการเมือง” (Political Question) ซึ่งในประเทศไทยก็ ปรากฏว่ามีแนวคิดดังกล่าวอยู่ในระบบกฎหมายไทยมาช้านาน เห็นได้จาก มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวิธี ปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่ถือว่า “การดําเนินงานเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ” ไม่เป็นวิธี ปฏิบัติราชการทางปกครอง หรือการกระทําทางปกครอง สําหรับคดีข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญนั้น แม้ว่าศาล รัฐธรรมนูญจะไม่เคยมีคําวินิจฉัยที่ชัดเจนในเรื่องนี้
แต่สํานักงานศาลรัฐธรรมนูญเองเคยมีรายงานการศึกษาใน เรื่องดังกล่าว ได้แก่ “การกระทําทางรัฐบาลกรณีศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทย สาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่ศาลในต่างประเทศ จำกัดอำนาจตัวของตนเองไม่ให้เข้าไปวินิจฉัยการใช้ดุลยพินิจทางการเมือง และปล่อยให้กลไกทางการเมืองทําหน้าที่ตรวจสอบกันเอง โดยเฉพาะในระบบรัฐสภาที่มีกลไกการตรวจสอบทางการเมืองอยู่แล้ว
จากหลักการดังกล่าว การที่ผู้ร้องซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการ ตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งในส่วนของการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งสอบสวนในส่วนของคดีอาญา อันเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา โดยสมาชิกวุฒิสภากลุ่มดังกล่าวได้ถูก คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว
โดยที่ผ่านมามีข้อกังขา แก่สังคมในวงกว้าง ถึงการทําหน้าที่และการใช้สิทธิลงมติต่าง ๆ ของสมาชิกวุฒิสภากลุ่มดังกล่าว ว่าอาจถูกครอบงําทางการเมืองหรือถูกชี้นําโดยพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2564
เมื่อมีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศถอนตัวจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ สมาชิกวุฒิสภา กลุ่มดังกล่าวก็ได้เสนอคําร้องต่อประธานวุฒิสภาในทันที
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการใช้สิทธิยื่นคําร้องในเรื่องนี้ของสมาชิกวุฒิสภาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตน ทั้งที่ทราบหรือควรจะ ทราบดีว่าการตรวจสอบการกระทําที่เป็นนโยบายในทางระหว่างประเทศนั้น ควรถูกตรวจสอบโดยกลไกปกติ ของรัฐสภา
2.8. หลักสุจริต (Bona.fides)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 164 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรี ต้องบริหาร ราชการแผ่นดิน และต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ในการปฏิบัติ หน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเจรจากับสมเด็จฮุน เซน อันเป็น ที่มาสําคัญของการกล่าวหาของผู้ร้องนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ (Good faith) และสุจริตอย่าง แท้จริง
ดังจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ในการเจรจาของข้าพเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและ ประชาชนส่วนรวม แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าอาจมีถ้อยคําบางส่วนที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์การ เจรจาเฉพาะหน้า หากจะรับฟังด้วยใจที่เป็นธรรมจะเห็นว่าข้าพเจ้าได้แสดงออกอย่างชัดเจนที่จะยึดถือ ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อีกทั้งสาระสําคัญของการเจรจาดังกล่าว ข้าพเจ้าก็ได้นํามาแจ้งแก่บุคคลที่ เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ด้วยยึดมั่นว่า “สุจริตคือเกราะบังศาสตร์พ้อง” จึงขอศาลโปรดพิจารณาความ สุจริตของข้าพเจ้าเพื่อเป็นคุณแก่การกระทําดังกล่าวด้วย
ข้อ 3 พันธกิจร่วมของศาลรัฐธรรมนูญและนายกรัฐมนตรีในการธํารงรักษาหลักนิติธรรม
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า ทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารของประเทศ และตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะผู้ใช้อํานาจตุลาการ ต่างมีพันธะในการดํารงตนอยู่ภายใต้กรอบจริยธรรมเดียวกัน ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งในข้อ 12 แห่ง มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ซึ่งกําหนดให้บุคคลดังกล่าวต้องยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด
3.1.หลักนิติธรรมถือเป็นรากฐานสําคัญของระบอบประชาธิปไตย และเป็นหลักการที่ทุก องค์กรของรัฐต้องยึดถือร่วมกัน โดยมีสาระสําคัญที่เชื่อมโยงกับสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรมในสังคม
3.2 ขอบเขตของการพิจารณาพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบภายใต้กรอบของหลักนิติธรรม ข้าพเจ้าขอเรียนเสนอด้วยความเคารพว่า การพิจารณารับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ เช่น การดักฟัง ข้อมูลการสนทนาโดยไม่มีคําสั่งศาล หรือปราศจากความยินยอมของคู่สนทนา ถือเป็นการละเมิดสิทธิ ส่วนบุคคลและขัดต่อหลักที่รัฐมีพันธะต้องธํารงรักษา การยอมรับพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมส่งผลกระทบต่อความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรม และบ่อนทําลายความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อ ระบบกฎหมายโดยรวม ซึ่งเป็ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยที่ยึดถือหลักนิติธรรม
3.3 แนวคําพิพากษาที่เกี่ยวข้อง แนวคําพิพากษาศาลฎีกาได้วางหลักไว้ชัดเจนว่า “พยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบ ย่อมไม่อาจรับฟังได้ในกระบวนการยุติธรรม” หลักการนี้ไม่เพียงเป็น แนวทางปฏิบัติในทางกฎหมาย หากยังสะท้อนถึงการเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการยืนหยัดใน หลักการที่ว่าความยุติธรรมต้องเกิดจากวิธีการที่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีปัจจุบัน ซึ่งเป็นการพิจารณา ความผิดทางจริยธรรมซึ่งมีมาตรฐานที่สูงกว่ากฎหมายทั่วไป อีกทั้งพฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดยังไม่ปรากฏชัดเจน การนําพยานหลักฐานที่แม้ในคดีอาญายังไม่อาจรับฟังได้มาใช้ในกระบวนการพิจารณาทางจริยธรรมอาจไม่สอดคล้องกับหลักความเหมาะสม และขัดต่อหลักนิติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกฝ่ายพึงเคารพ
ข้อ 4. กรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ข้าพเจ้าหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัยนั้น
ผู้ถูกร้องขอประทานกราบเรียนต่อศาลว่า เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ของประเทศชาติเวลานี้ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองล้วนเป็นภาวะที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ปัญหาหลายเรื่องที่มีความสําคัญยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดน สถานการณ์การเจรจาเรื่องการค้ากับประเทศที่เป็นคู่ค้าสําคัญ และเป็นปัญหาระดับโลก สถานการณ์ข้อพิพาท และการใช้กําลังตอบโต้กันระหว่างประเทศในหลายภูมิภาค ของโลกที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองไทยที่อาศัยหรือไปทํางานอยู่ในประเทศเหล่านั้น รวมถึงการแก้ไขผลกระทบ ที่อาจถูกต้องถึงประเทศไทยในด้านอื่นๆด้วย
เมื่อคํานึงถึงสัดส่วนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากผู้ถูกร้อง ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้ต่อไปตามคําขอของผู้ร้อง เป็นที่แน่ชัดว่าย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดิน และแสดงถึงการขาดเสถียรภาพทางการเมืองภายในชาติ รวมถึงการกําหนดท่าที ความชัดเจนทางนโยบาย และโอกาสในการต่อรองเพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศที่จะผันแปรไป การที่ผู้ถูก ร้องจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไปอย่างต่อเนื่องร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมืองโดยไม่มีการชะงักงันหรือเกิดความลังเลในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน ย่อมเป็นประเด็นสําคัญและเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจมองข้ามได้
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง สถานการณ์ และการดําเนินการต่าง ๆ ของ ข้าพเจ้าตามที่ได้กราบเรียนในข้อ 1 ประกอบกับข้อความการสนทนาในคลิปเสียงดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า ข้าพเจ้าให้ความสําคัญต่อปัญหาข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา และได้ติดตามการแก้ไขปัญหา ดังกล่าว โดยตลอด
โดยมีการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับทหารและฝ่ายความมั่นคงอย่างเป็นเอกภาพ สาระสําคัญใน คลิปเสียง คงมีเพียงการพูดคุยระหว่างข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซน เกี่ยวกับปัญหาตามแนวชายแดนระหว่างไทย กับกัมพูชา ในฐานะที่ข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซน รู้จักกันมาก่อน โดยมีเจตนาเพื่อต้องการลดการเผชิญหน้าและ ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น อันจะนํามาซึ่งความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย
ข้าพเจ้าไม่ได้มีการกระทําใดและไม่มี เจตนาที่จะทําให้ประเทศต้องเสียเกียรติภูมิหรือผลประโยชน์ของชาติหรือทําให้กระทบต่อเอกราชอธิปไตยบูรณภาพแห่งอาณาเขตที่ประเทศมีสิทธิอธิปไตยแต่ประการใด และเหตุที่ต้องมีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ก็เพื่อต้องการรักษาความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยบริเวณแนวชายแดน ไม่ได้เป็นไปเพื่อเอื้อ ประโยชน์ใดให้แก่ประเทศกัมพูชาหรือสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ก่อให้เกิดผลผูกพันตามกฎหมายใด ๆ ต่อประเทศ จึงไม่ได้ทําให้ประเทศต้องได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
นอกจากนี้เพียงการสนทนาพูดคุยดังกล่าวก็ไม่ได้มีข้อเท็จจริงอันจะถือว่าข้าพเจ้าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์แต่อย่างใด ในทางกลับกันตลอดระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินที่ผ่านมาข้าพเจ้าในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและคณะรัฐมนตรีได้บริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความ รอบคอบระมัดระวังในการดําเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและความผาสุกของประชาชนส่วนรวมมาตลอด
กรณีจึงไม่มีข้อเท็จจริงใดเลยว่าข้าพเจ้าได้กระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญตามที่ผู้ร้องได้กล่าวอ้าง ส่วนที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าข้าพเจ้ากระทําการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคง ของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามหมวด 2 และความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรตามหมวด3.แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น ก็เป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริง ปราศจากข้อเท็จจริงรองรับอย่างชัดแจ้ง
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าข้าพเจ้ากระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงอันเนื่องมาจากข้อความในคลิปการสนทนานั้น ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า เมื่อพิจารณา เจตนา ของข้าพเจ้าในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ก็จะเข้าใจได้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้กระทําการใด ๆ อันถือว่า เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการ ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อใดทั้งสิ้น

นายมงคล สุรัจจะ ประธานวุฒิสภา
กล่าวคือ ข้าพเจ้ายึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
การปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าได้พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่ง อาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ข้าพเจ้าถือผลประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน โดยการ เจรจากับสมเด็จฮุน เซน ก็มิได้ทําให้ประเทศต้องเสียผลประโยชน์ใด ๆ การปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าก็เป็นไป ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมาตามที่ได้กราบเรียนไว้ข้างต้นแล้ว
นอกจากนี้ การสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ก็ไม่ได้ทําให้การกระทําของข้าพเจ้าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมข้อใด ๆ
สําหรับถ้อยคําสนทนาที่มีการพูดถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น ข้าพเจ้าก็ได้แถลงผ่านสื่อมวลชน อย่างเป็นทางการถึงเจตนาอันแท้จริงและได้เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อทําความเข้าใจ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ก็มิได้ ติดใจในคําพูดของข้าพเจ้าแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็มิได้สร้างความแตกแยกของคนในชาติหรือแสดงให้เห็น ว่าข้าพเจ้ากระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด เช่นกัน
ข้อ 5 จริยธรรมของข้าราชการการเมือง
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ตระหนักและยึดถือแนวทางการ ปฏิบัติตนตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 โดยเคร่งครัด หาเคยฝ่าฝืนหรือละเมิดการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของข้าราชการการเมืองแต่อย่างใดไม่
ยิ่งไปกว่านั้นโดยพฤติการณ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ดําเนินการในฐานะนายกรัฐมนตรีกลับเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการธํารงรักษาผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของประเทศ และการยึดมั่นในหลักความเหมาะสมของผู้ดํารงตําแหน่งทาง การเมืองตามที่บัญญัติไว้ในประมวลจริยธรรมดังกล่าว
โดยขอชี้แจงในรายละเอียด ดังนี้
ประการแรก ข้าพเจ้ามิได้กระทําการใดอันจะถือเป็นการฝ่าฝืนข้อ 4 (1) แห่งประมวล จริยธรรมซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการการเมืองต้องปกป้อง ดูแล และยึดถือประโยชน์ของชาติเป็นสําคัญ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติและไม่ประพฤติตนอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของชาติ
โดยข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าข้าพเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัดต่อภารกิจแห่งรัฐในการธํารงไว้ ซึ่งความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ด้วยการใช้แนวทางทางการทูตควบคู่กับการวางกําลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
มิได้มีพฤติการณ์ใดอันเป็นการละเลยต่ออํานาจอธิปไตยของชาติหรือบั่นทอนเกียรติภูมิของ ประเทศแม้แต่น้อย หากแต่เป็นการพยายามแสวงหาความร่วมมือในระดับภูมิภาคภายใต้หลักการแห่งความ เคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นการดํารงเกียรติของชาติในอีกมิติหนึ่ง
ประการที่สอง ข้าพเจ้ามิได้มีพฤติการณ์อันจะเป็นการฝ่าฝืนข้อ 5 วรรคหนึ่ง (1) และ (6) ซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับใช้ประเทศชาติและประชาชนอย่างเต็มความสามารถและไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง
โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่าข้าพเจ้าได้บูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานด้านการต่างประเทศและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิดและ ต่อเนื่อง มีการประชุมหารืออย่างเป็นทางการเพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สมดุลและรอบคอบ ตลอดจนมีการกํากับการสื่อสารของรัฐต่อประชาชนอย่างมีเอกภาพ จึงไม่มีการกระทําข้อใดตามข้อกล่าวหาของผู้ร้องที่
ข้าพเจ้าได้ประพฤติตนอันเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์แห่งตําแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและเต็มกําลัง
ประการที่สาม ข้าพเจ้ามิได้มีพฤติการณ์ขัดกับข้อ 7 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งกําหนดให้ ข้าราชการการเมืองต้องถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด และไม่กระทําการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม โดยข้าพเจ้ามิได้แสวงหาผลประโยชน์ในทาง ส่วนตัวจากการพูดคุยหรือเจรจากับบุคคลใดในต่างประเทศ ตรงกันข้าม กลับเป็นการกระทําที่มุ่งประโยชน์ของ รัฐไทยในการลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงความรุนแรงในเขตแดนเป็นสําคัญ
ประการสุดท้าย ข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับข้อ 9 และข้อ 10 ซึ่งบัญญัติว่า ข้าราชการการเมืองต้องดํารงตนเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม ปฏิบัติตามกฎหมาย และวางตนให้เป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชน โดยพฤติการณ์ตลอดเวลาของข้าพเจ้าในการบริหารราชการแผ่นดินนั้น สะท้อนให้เห็นถึง ความรับผิดชอบ ความอดทน การแสดงออกที่เหมาะสมต่อสาธารณะ ตลอดจนการตัดสินใจบนพื้นฐานของ ข้อมูลที่รอบด้านและปรึกษาหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การกระทําของข้าพเจ้าตามข้อกล่าวหาของผู้ร้องจึงไม่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2564 แต่อย่างใด อีกทั้งการกระทําของ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตําแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของ ประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดํารงตําแหน่งของข้าพเจ้าแต่ประการใด
ข้อ 6 ขออนุญาตให้ไต่สวนพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ
เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยคํานึงถึงบริบททางภูมิ รัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดํารงอยู่ต่อเนื่องหลายรัฐบาลข้าพเจ้าจึง ใคร่ขอเรียนเป็นกรณีพิเศษว่า ขอให้ศาลโปรดพิจารณาไต่สวนพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวนห้าท่าน ได้แก่
(1) นายฉัตรชัย นางชวด ตําแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้ทํางาน ร่วมกับ ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ และยังเป็นบุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของข้าพเจ้าใน การสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
(2) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ตําแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
(3) พลเอก ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบํานาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา ทํางานด้านปฏิบัติในกัมพูชามาตั้งแต่ยศร้อยโท และทํางานอยู่กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาตั้งแต่ท่านดํารง ตําแหน่งแม่ทัพที่ 2 และผู้บัญชาการรบพิเศษอย่างต่อเนื่อง
(4) พลโท พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ตําแหน่งรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร ในฐานะผู้ชํานาญ ด้านกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของทหารและเรื่องอํานาจอธิปไตยของประเทศ
(5) นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจําประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจํา ประเทศฟิลิปปินส์ และอดีตทูตไทยประจําประเทศรัสเซียในฐานะผู้ชํานาญด้านการต่างประเทศ และสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีปฏิบัติทางการทูตในการเจรจาแบบไม่เป็นทางการ
พยานทั้งห้าท่านมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านความมั่นคงของประเทศและตามแนวชายแดนปัจจุบันและบางท่านมีประสบการณ์ในอดีตทั้งความมั่นคงและการต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็น บุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของข้าพเจ้าในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
อีกทั้งเพื่อให้ศาลได้รับทราบถึง ความคิดเห็นว่าการดำเนินการของข้าพเจ้าในช่วงเหตุการณ์ไม่ได้กระทําโดยมีเจตนาตามที่ผู้ร้องกล่าวหา หรือเป็นการละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ทั้งยังเป็นการดําเนินการตามข้อมูลและคําแนะนําของฝ่ายความมั่นคงที่ประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน และเพื่อแสดงว่าเจตนาของ ข้าพเจ้ามุ่งเพื่อรักษาเอกราช อธิปไตย และความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่เจตนาดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
จึงขอศาลโปรดพิจารณาอนุญาตให้มีการไต่สวนพยานบุคคลดังกล่าว เพื่อให้การพิจารณาคดีมีความครบถ้วน รอบด้าน และเป็นธรรม โดยปราศจากข้อสงสัยอันอาจกระทบต่อความชอบธรรมและสถานะ ของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ
ดังนั้น เมื่อคํานึงถึงความเป็นสัดส่วนในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดปฏิบัติหน้าที่ ของข้าพเจ้าตามที่กล่าวมา หากข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติและอธิปไตยของชาติ อีกทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะบูรณาการเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้สนับสนุนการทําหน้าที่ของฝ่ายทหารและแสดงถึงความเข้มแข็งภายในชาติ
ซึ่งส่งผลเชิงจิตวิทยาแก่กัมพูชาในการรุกรานประเทศไทย ผู้ถูกร้องจึงขอศาลมีคําสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ตามที่ผู้ ร้องมีคําขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย ทั้งนี้ การยกเลิกคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเพื่อให้ผู้ถูกร้องสามารถปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปพลางจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ดังนี้
ข้อ1.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดนําาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน รวมถึงพยานบุคคลทั้ง ห้าซึ่งเป็นพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิอันเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ (ตามข้อ 6) ตามคําร้องของผู้ถูกร้องเข้าสู่กระบวน พิจารณาเพื่อประกอบการพิจารณาคดีและการไต่สวนของศาลในการพิจารณาและมีคําวินิจฉัยตามข้อกําหนด ศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 4 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 ที่กําหนดให้การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน โดยให้ศาลมีอํานาจค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท
ข้อ 2. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดพิจารณามีคําสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561มาตรา 71 ตามที่ผู้ร้องมีคําขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะ มีคําวินิจฉัย
ทั้งนี้การยกเลิกคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเพื่อให้ผู้ถูกร้องสามารถปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปพลางจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
***************
อนึ่ง การเข้าให้ปากคำไต่สวนคดีนี้ ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ตรงวันคล้ายวันเกิดของเจ้าตัว ส่วนรายละเอียดการเข้าให้ปากคำดังกล่าว สำนักข่าวอิศรา จะติดตามมานำเสนอต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา