"...เรื่องที่เสนอ ในการนี้ จึงเห็นควรนำเรียน รมว.ดศ. เพื่อโปรดพิจารณา ดังนี้ 5.1 ให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนำร่องสู่การพัฒนาศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลของประเทศไทยระหว่าง ดศ. (กระทรวงดีอี) และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC ประเทศสิงคโปร์ 5.2 เห็นชอบให้ ปดศ.(ปลัดกระทรวงดีอี) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในนามของ ดศ...."
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : กรณีปรากฏข่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งยกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ เนื่องจากพบข้อพิรุธและปัญหาหลายประการ รวมถึงความไม่โปร่งใสในกระบวนการจัดทำและการนำไปใช้ประโยชน์ที่อาจนำไปสู่ความเสียหาย
ต่อมา สำนักข่าวอิศรา ได้รับมอบภาพถ่ายพิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ตัวแทนกระทรวงดีอีที่ลงนามใน MOU ฉบับนี้ คือ ศาสตรจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ ในขณะนั้น ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยภาพถ่ายดังกล่าว มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดีอี ในขณะนั้น และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย และนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ เบน สมิธ ร่วมถ่ายภาพเป็นสักขีพยานด้วย นายไชยชนก จึงได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
ขณะที่ สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากอดีตผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งในกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เกี่ยวกับที่มาและวัตถุประสงค์ในการจัดทำ บันทึกความเข้าใจหรือ MOU ว่า จุดเริ่มต้นมาจากการที่ บริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี ได้แจ้งความประสงค์มายังกระทรวงดีอี ว่า จะดำเนินการความร่วมมือในการศึกษาเรื่องระบบ Digital Economy แบบทันสมัยเพื่อรอบรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของประเทศไทย ส่วนวัตถุประสงค์การจัดทำบันทึกความเข้าใจโครงการฯ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อสร้างและจัดทำกรอบความร่วมมือการศึกษาความเป็นไปได้ของศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์แห่งอนาคตที่มีเอกลักษณ์ระดับโลกในประเทศไทย ภายใต้ระบบนิเวศที่มีการควบคุมอย่างดี มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับธุรกิจโดยมีเป้าหมายของการศึกษาเพื่อพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจและการเงินดิจิทัลที่มีศักยภาพ ส่งเสริมนวัตกรรมในปัจจุบันและอนาคตในสินทรัพย์ดิจิทัลและเสมือนบริการออนไลน์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อดึงดูดการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจมายังประเทศไทย
สำหรับโครงการนำร่อง ประกอบด้วย ศูนย์ธุรกิจและการเป็นดิจิทัลระหว่างประเทศของประเทศไทย (Thailand International Digital Business & Finance Centre : TIDC) โดยโครงการจะเกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมการทดสอบพื้นที่ทดลอง (Sandbox) ในบริบทของกฎระเบียบเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำหนด (Digital Economy Regulatory Sandbox : DERS)
เบื้องต้น แหล่งข่าวยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า เท่าที่จำได้ ในการดำเนินงานโครงการฯ นี้ศาสตรจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ ในขณะนั้น เป็นคนทำบันทึกเสนอเรื่องให้นายประเสริฐ จันทรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีในขณะนั้น พิจารณา และในการเสนอเรื่องดังกล่าว ศาสตรจารย์พิเศษวิศิษฏ์ ยังเป็นผู้เสนอขอความเห็นชอบให้ตนเองเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ในฐานะตัวแทนกระทรวงฯด้วย

ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดทั้งหมดในบันทึกข้อความที่ ศาสตรจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ ทำถึงนายประเสริฐ จันทรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีในขณะนั้น พิจารณา และในการเสนอเรื่องดังกล่าว และยังเสนอขอความเห็นชอบให้ตนเองเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ในฐานะตัวแทนกระทรวงฯด้วย ดังกล่าว
ด่วนที่สุด บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ กองการต่างประเทศ โทร. 02141 6899
ที่ คศ.0203.5/21 วันที่ 27 มีนาคม 2567
เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนำร่องสู่การพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัล ของประเทศไทย
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
1. เรื่องเดิม
1.1 บริษัท Prime Opportunity Fund VCC ประเทศสิงคโปร์ ได้มีความประสงค์ จะดำเนินการความร่วมมือกับ ดศ. ในการทำการศึกษาเรื่องระบบ Digital Economy แบบทันสมัย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของประเทศไทย โดยมีรายละเอียดร่างบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนำร่องสู่การพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลของประเทศไทยระหว่าง ดศ. และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC ประเทศสิงคโปร์
1.2 ตท. ได้มีหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อประกอบการพิจารณา การลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตามเรื่องเดิมที่แนบ
2. สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ
2.1 โครงสร้างของร่างบันทึกความเข้าใจฯ
บริษัท Prime Opportunity Fund VCC ได้ยกร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งมีเนื้อหา ที่สำคัญ ได้แก่ (1) การแนะนำโครงการ (Project Introduction) (2) เป้าหมายของโครงการ (Project Goals) (3) เงื่อนไข (Term) (4) สาขาเป้าหมายและการมีส่วนร่วมหลัก (Target Sectors & Key Inclusions) (5) หมายเหตุ (Important Notes) (6) การจัดสรรทรัพยากร (Resource Allocation) (7) การทดสอบโครงการ และตัวชี้วัด (Project Testing and Metrics) (8) ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) (9) เงื่อนไข อื่นๆ (Further Commitments) (10) ต้นทุนและค่าใช้จ่าย (Costs and expenses) (11) ความสำคัญ ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Matters) (12) ชั้นความลับ (Confidentiality) (13) พันธกรณี ที่ไม่มีผลผูกพัน (Non-Binding Obligations) และ (14) กฎหมายที่ใช้บังคับและการระงับข้อพิพาท (Governing Law and Dispute Resolution)
2.2 วัตถุประสงค์ของการจัดทำบันทึกความเข้าใจโครงการฯ
การจัดทำบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและจัดทำ กรอบความร่วมมระหว่าง ดศ. (MDES) และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC (Developer หรือ นักพัฒนา) การศึกษาความเป็นไปได้ของศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์แห่งอนาคตที่มีเอกลักษณ์ ระดับโลกในประเทศไทย ภายใต้ระบบนิเวศที่มีการควบคุมอย่างดี มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับธุรกิจ โดยมีเป้าหมายของการศึกษาเพื่อพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจและการเงินดิจิทัลที่มีศักยภาพ ส่งเสริมนวัตกรรม ในปัจจุบันและอนาคตในสินทรัพย์ดิจิทัลและเสมือนบริการออนไลน์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อดึงดูดการลงทุนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจมายังประเทศไทย
2.3 โครงการนำร่อง ประกอบด้วย ศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ของประเทศไทย (Thailand International Digital Business & Finance Centre : TIDC) โดยโครงการ จะเกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมการทดสอบ Sandbox ในบริบทของกฎระเบียบเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำหนด (Digital Economy Regulatory Sandbox : DERS)
2.4 ค่าใช้จ่าย บริษัทฯ ในฐานะเป็นนักพัฒนาจะต้องรับผิดชอบต้นทุนและค่าใช้จ่าย ที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมด
2.5 ทั้งนี้ เนื้อหาของบันทึกความเข้าใจฯ และถ้อยคำที่กำหนดภายใต้บันทึก ความเข้าใจฉบับนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างผู้เข้าร่วม ร่างบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการฯ
3. ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3.1 ความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
3.1.1 ประเด็นสารัตถะและถ้อยคำ
ไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างบันทึกความเข้าใจฯ หากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อการนี้ไว้แล้ว
3.1.2 ประเด็นมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือ ในการดำเนินโครงการนำร่องฯ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งภายใต้กฎหมายสิงคโปร์ จึงไม่ใช่ผู้ทรงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ กอปรกับหัวข้อ Stakeholder Matters หน้า 4 ของร่างบันทึก ความเข้าใจฯ ระบุว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายที่ใช้บังคับของราชอาณาจักรไทย
ดังนั้น ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญฯ
3.2 ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเรื่องดังกล่าว ประกอบกับมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหลักเกณฑ์การพิจารณาตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 6-7/2551 และที่ 3/2560 แล้ว เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ กับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของสิงคโปร์
มีสาระสำคัญเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ ของศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์แห่งอนาคต ที่มีเอกลักษณ์ระดับโลกในประเทศไทย ภายใต้ระบบ นิเวศที่มีการควบคุมอย่างดี มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับธุรกิจ อันเป็นการดึงดูดการลงทุนและกิจกรรม ทางเศรษฐกิจมายังประเทศไทย อันเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่สามารถดำเนินการได้
กรณีจึงเป็นการทำความตกลงระดับหน่วยงานมิใช่ระดับรัฐ ประกอบกับ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ กำหนดว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีผลผูกพันทางกฎหมาย ระหว่างกัน และจะถูกตีความภายใต้และใช้บังคับโดยกฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นการทำความตกลง โดยหน่วยงานระดับกระทรวงกับบริษัทเอกชนที่มิใช่หน่วยงานของรัฐ กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยที่จะต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
3.3 ความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด
สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวแล้วเห็นว่า หากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการตามข้อกำหนดในร่างบันทึกเข้าใจดังกล่าวจะเป็นประโยชน์และสามารถดำเนินการตามเงื่อนไขและข้อกำหนดในบันทึกความเข้าใจได้ ภายในกรอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้จัดเตรียมการดำเนินการ ที่เกี่ยวข้องตามที่กำหนดไว้ในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดก็ไม่มีข้อขัดข้อง ในการที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว และขอเรียนเป็นข้อสังเกตเพื่อประกอบการพิจารณาของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
3.3.1 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรพิจารณาตรวจสอบว่า การลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าวอยู่ในบังคับที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2557 แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร 0504/ว 173 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2547 เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร 0505/ว 66 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เรื่อง การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ เพื่อให้การดำเนินการถูกต้องครบถ้วนก่อนลงนามในบันทึกความเข้าใจ
3.3.2 ร่างบันทึกความเข้าใจ ในส่วน Term กำหนดระยะเวลาของการดำเนินโครงการ ตามบันทึกความเข้าใจไว้ 36 เดือน และแม้ร่างบันทึกความเข้าใจจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรพิจารณาเจรจากับบริษัทฯ เกี่ยวกับการระบุให้มีการบอกเลิก บันทึกความเข้าใจก่อนครบกำหนดระยะเวลาได้ ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าการดำเนินโครงการ อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
3.3.3 ร่างบันทึกความเข้าใจ ในส่วน Intellectual Property ที่มีข้อกำหนดหลัก ให้สิทธิเป็นของ Developer ฝ่ายเดียว โดยที่ไม่มีความชัดเจนว่า systems, IT infrastructure, architecture, applications ดังกล่าว มีส่วนที่มาจากการพัฒนาขึ้นใหม่หรือเป็นผลมาจากการดำเนินการ ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวหรือไม่ เพียงใด อันอาจทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบได้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจึงควรเจรจาให้ปรับแก้ไขให้ฝ่ายไทยมีส่วนที่จะได้รับสิทธิในทรัพย์สิน ทางปัญญาดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
4. ความเห็นของ สป.ดศ.
สป.ดศ. (ตท.) ได้พิจารณาความเห็นจากหน่วยงานข้างต้นแล้ว ขอเรียนสรุป ดังนี้
4.1 การจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว มีความสอดคล้องกับนโยบายและ แผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2561 - 2580 และวิสัยทัศน์ประเทศไทย 2030 “IGNITE THAILAND จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลาง เมืองแห่ง อุตสาหกรรมระดับโลก” โดยเฉพาะเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) และ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์ในระดับภูมิภาค และเพื่อดึงดูดภาคธุรกิจและ กิจกรรมทางธุรกิจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
4.2 การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ อยู่ในหน้าที่และอำนาจของ ดศ. ที่สามารถ ดำเนินการได้ ซึ่งเป็นการทำความตกลงระดับหน่วยงานมิใช่ระดับรัฐ และร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ระบุว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC มีสถานะเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งภายใต้กฎหมายสิงคโปร์ จึงไม่ใช่ ผู้ทรงสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบกับหัวข้อ Stakeholder Matters หน้า 4 ของร่างบันทึก ความเข้าใจฯ ระบุว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายที่ใช้บังคับของราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เข้าลักษณะ เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ตามความเห็นของ กต.)
นอกจากนี้ เป็นการทำความตกลงโดยหน่วยงานระดับกระทรวงกับบริษัทเอกชนที่มิใช่หน่วยงานของรัฐ กรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยที่จะต้องเสนอเรื่อง ต่อคณะรัฐมนตรี (ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา)
4.3 ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบมติ ครม. ตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วเห็นว่า เป็นไปตามมติ ครม. ดังกล่าว และรับข้อสังเกตอื่น ๆ ในการดำเนินการต่อไป
5. เรื่องที่เสนอ ในการนี้ จึงเห็นควรนำเรียน รมว.ดศ. เพื่อโปรดพิจารณา ดังนี้
5.1 ให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจสำหรับโครงการนำร่องสู่การพัฒนาศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลของประเทศไทยระหว่าง ดศ. (กระทรวงดีอี) และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC ประเทศสิงคโปร์
5.2 เห็นชอบให้ ปดศ.(ปลัดกระทรวงดีอี) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในนามของ ดศ.
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้ความเห็นชอบตามเสนอต่อไปด้วย
ลงชื่อ ศาสตรจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ
ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดีอี ในขณะนั้น ลงนามเห็นชอบตามข้อ 5.1และ 5.2
**************
ทั้งหมดนี้ เป็นรายละเอียดในบันทึกข้อความที่ ศาสตรจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงฯ ทำถึงนายประเสริฐ จันทรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีในขณะนั้น พิจารณา และในการเสนอเรื่องดังกล่าว และยังเสนอขอความเห็นชอบให้ตนเองเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ในฐานะตัวแทนกระทรวงฯ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเงื่อนเวลาในบันทึกข้อความฉบับนี้ จะพบว่า มีการจัดทำเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ขณะที่บันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567
ตรงกันอย่างมีนัยะสำคัญ!
อนึ่ง ปัจจุบันกรณีการลงนามบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างกระทรวงดีอี กับ บริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี (Prime Opportunity Fund VCC) จากสิงคโปร์ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังไม่ได้มีสรุปผลว่ามีการกระทำความผิดทางกฏหมายเกิดขึ้นแต่อย่างใด ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

- ‘ไชยชนก’ สั่งยกเลิก MOU บ.สิงคโปร์ หลังพบพิรุธเพียบ รับอาจเอี่ยวบุคคลโดนสหรัฐฯคว่ำบาตร
- เปิดเอกสารเต็ม MOU กระทรวง DE-บ.สิงคโปร์ หาผู้เชี่ยวชาญ IT 500 คน ทำศูนย์การเงินดิจิทัล
- เปิดภาพพิธีลงนามMOUกระทรวง DE-บ.สิงคโปร์ 'ธรรมนัส-เบน-นฤมล' ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน
- ไชยชนก สั่งสอบเพิ่มMOU บ.สิงคโปร์ เพิ่งเห็นภาพ'เบน'ครั้งแรก-ตรงสมมุติฐานเกี่ยวพันกัน
- คนเดียวกัน? ตัวแทนบ.สิงคโปร์ ลงนามMOU-ดีอี ชื่อเหมือนกก.บ.เมียยิมเลียก-เบน ปปง.อายัดทรัพย์
- แกะรอยเอกสาร! ตัวแทนบ.สิงคโปร์ ลงนามMOU-ดีอี & กก.บ.เมียยิมเลียก-เบน คนเดียวกันหรือไม่?
- ดูกันจุใจ! เปิดภาพชุด 12 ใบ พิธีลงนามMOUกระทรวง DE-บ.สิงคโปร์ 'เบน' โผล่-ไชยชนก สั่งสอบ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา