
"...ประมาณ 95% ของพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นการปลูกพืชไร่ โดยปลูกด้านล่างใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเหลืออยู่ประปราย โดยมีการปลูกไม้ผลอยู่บางส่วน ดังปรากฎในผลการอ่าน แปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศ ปี 2496 การทำประโยชน์ต่อเนื่องมาตลอด แต่ก็ยังเป็นการปลูกพืชไร่และไม้ผลเต็มทั้งพื้นที่เหมือนเดิม...จนถึงก่อนปี 2533 ที่พบว่ามีถนนและสิ่งก่อสร้าง ดังปรากฎผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศปี 2533 และตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมาแปลงที่ดินมีการเตรียมพื้นที่เพื่อการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ดังปรากฎผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศปี 2545 หลังจากนั้น ได้มีการสร้างถนนและโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเต็มทั้งพื้นที่ ดังปรากฎผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายดาวเทียมปี 2558..."
..................................
นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ประเด็นข้อพิพาทด้านสิทธิที่ดินระหว่างรัฐและประชาชนยังคงปรากฏให้เห็นในหลายพื้นที่หลายกรณี อาทิ การประกาศพื้นที่เขตป่าสงวนทับที่ทำกินของชาวบ้าน หรือในกรณีที่มีโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่มีการกำหนดแนวเขตที่ดินทับซ้อนกับพื้นที่ของชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่หรือทำกินมาก่อน
ในกระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรม ‘ภาพถ่ายทางอากาศ’ จึงเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ถูกนำมาใช้เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในประเด็นการพิสูจน์สิทธิว่าชาวบ้านอาศัย ทำกินอยู่ในพื้นที่นั้นๆ มาก่อน (อ่านประกอบ : สุมิตรชัย หัตถสาร : ภาพถ่ายทางอากาศควรเป็นสิ่งที่ประชาชนเข้าถึงได้ )
@ ตัวอย่างการวิเคราะห์ อ่าน แปลภาพถ่ายทางอากาศ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สืบค้นข้อมูลรายงานผลการตรวจสอบ วิเคราะห์และอ่าน แปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศ (เพื่อประกอบการพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดิน) พบว่าเคยมีข้อพิพาทกรณีชาวบ้านที่ได้อาศัย-ทำกินมาก่อนมีการประกาศเป็นที่หวงห้ามในบริเวณที่มีการเวนคืนเพื่อพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 1 ที่มีการระบุตัวอย่างการวิเคราะห์ อ่าน แปลภาพถ่ายทางอากาศไว้น่าสนใจ
โดยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังเฟส 1 ที่ยังไม่ได้รับการชดเชยที่ดิน ได้ขอใช้สิทธิตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 เพื่อขอให้มีการออกโฉนด เมื่อคดีนี้เข้าสู่ศาลยุติธรรม ศาลให้ผู้ชำนาญการเรื่องภาพถ่ายทางอากาศเป็นผู้อ่าน แปลภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งผลการวิเคราะห์ปรากฏว่าพบร่องรอยการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ถึง 90% ก่อนการประกาศเป็นพื้นที่หวงห้าม นอกจากนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ชาวบ้านได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองโดยยื่นฟ้องการท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมธนารักษ์เพื่อให้มีการชดเชย ซึ่งรายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศของผู้เชี่ยวชาญศาลยุติธรรมจะถูกนำมาใช้ในการต่อสู้คดีด้วย
เป็นภาพถ่ายทางอากาศที่อ่าน แปลและวิเคราะห์โดย นายวินัย สายปรีชา ผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรมในทางวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่บริเวณแปลงที่ดินตามหลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 74 หมู่ที่ 4 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ทะเบียนที่ 15/2558 จากรายงานที่รวบรวมโดย Land Watch Thai ซึ่งอ้างอิงจากรายงานฉบับเต็มของผู้เชี่ยวชาญศาลยุติธรรม
ทั้งนี้ การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ กรณีนี้ เพื่อพิสูจน์สิทธิ์และชี้ให้เห็นว่าชาวบ้านได้อาศัย-ทำกินมาก่อนมีการประกาศเป็นที่หวงห้ามในบริเวณที่มีการเวนคืนเพื่อพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ระยะที่ 1

ภาพ กรุงเทพธุรกิจ
จากรายงานการติดตามผลกระทบโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังโดย Land watch thai ระบุว่ายังมีชาวบ้านส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับการชดเชยที่ดินจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากในขั้นตอนการเดินสำรวจที่ดิน เจ้าหน้าที่ไม่ได้สำรวจที่ดินของชาวบ้านกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นที่ดินที่ถูกประกาศเป็นเขตหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และกฎหมายเวนคืนที่ดินและหน่วยงานรัฐให้การยอมรับเฉพาะที่ดินที่มีการถือครองที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่ถือครองที่ดินโดยมีเอกสารแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) จึงทำให้ชาวบ้านที่ถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตหวงห้ามที่ดินมาก่อนการกำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน ต้องสูญเสียสิทธิในการได้รับการชดเชยที่ดิน และถูกยึดที่ดินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมมานับแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน
ชาวบ้านยังไม่ได้รับชดเชยที่ดินจากการเวนคืนที่ดินสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 1 จนถึงทุกวันนี้ มีสาเหตุสำคัญจากการกำหนดเขตหวงห้ามที่ดินของรัฐทับซ้อนที่ดินครอบครองของประชาชน และกระบวนการดำเนินการเวนคืนที่ดินไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงและความเป็นธรรมกับผู้ที่ครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินมาก่อนการกำหนดเขตหวงห้ามของรัฐ ซึ่งได้ขีดเส้นขึ้นมาโดยไม่ได้มีการลงพื้นที่สำรวจการครอบครองที่ดินทำประโยชน์ในที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงพื้นที่ตรงนั้นมีการตั้งของวัด มีการอยู่อาศัยของชาวบ้านโดยรอบ 2-3 หมู่บ้าน
ดังนั้นเมื่อมีการสำรวจเพื่อทำแผนที่ที่ตั้งที่ดินเพื่อที่จะเวนคืน จึงไม่ทำการสำรวจรังวัดให้กับชาวบ้านกลุ่มนี้ โดยระบุว่า ที่ดินเหล่านั้นอยู่ในพื้นที่เขตประกาศหวงห้าม ไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินเวนคืน และไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าชาวบ้านอยู่ในพื้นที่มาก่อนการประกาศจริง ปี พ.ศ.2521 เมื่อมีการกำหนดพื้นที่ที่จะเวนคืนเสร็จสิ้น ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชาและตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แผนที่ปรากฏแนบท้ายจึงไม่มีการกำหนดแปลงที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่นี้ โดยเว้นไว้เป็นสีขาวเกือบทั้งหมด แต่ในแผนที่นี้ ด้านล่างปรากฏแปลงที่ดินที่ได้รับการสำรวจว่าครอบครองมาก่อน พ.ศ.2497 แม้ว่าแปลงนั้นจะอยู่ในเขตประกาศหวงห้าม แสดงให้เห็นว่าแผนที่แนบท้ายที่ใช้ยึดมามีความผิดพลาด
เมื่อมีการแก้ไขประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2551 ชาวบ้าน ได้อาศัยมาตรา 8 ฟ้องศาลยุติธรรม เพื่อขอออกโฉนดที่ดิน และในกระบวนการไต่สวนในชั้นศาลที่เอง ทำให้ชาวบ้านมีโอกาสได้พิสูจน์สิทธิ์อ่านภาพถ่ายทางอากาศ ปี 2496 ก่อนกำหนดเป็นที่ดินหวงห้าม และพบร่องรอยการทำประโยชน์ สิ่งปลูกสร้างในพื้นที่อย่างชัดเจน
@ กรณีตัวอย่างการแปลภาพถ่ายทางอากาศเพื่อพิสูจน์สิทธิ์ นายเจือน วัฒนวิเชียร ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ
นายเจือน วัฒนวิเชียร (ปัจจุบันเสียชีวิต) เกิดเมื่อปี 2466 ที่บ้านเนินไผ่ หมู่ 4 ต.ทุ่งสุขลา ในสมัยนั้นมีราษฎรอยู่ประมาณ 47 ครัวเรือน ในสมัยก่อนพ่อแม่ของนายเจือนได้จับจองที่ดินบริเวณใกล้ๆ หมู่บ้านไว้ 3 แปลง และได้ทำประโยชน์ในที่ดินมาตลอด และได้แจ้ง ส.ค.1 ทั้ง 3 แปลง คือ ส.ค.1 เลขที่ 32 เนื้อที่ประมาณ 22 ไร่, ส.ค. 1 เลขที่ 74 เนื้อที่ประมาณ 39 ไร่, ส.ค. 1 เลขที่ 21 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 2 งาน ในสมัยนั้นทั้ง 3 แปลง ได้ใช้ประโยชน์ปลูกพืชมาอย่างต่อเนื่อง
ที่ดินทั้ง 3 แปลงของนายเจือน ไม่ได้รับค่าเวนคืนที่ดินแต่อย่างใด โดยนายเจือนได้เคยไปสอบถามที่การท่าเรือฯ ได้รับคำตอบว่าจะต้องมีโฉนดมาจึงจะได้รับค่าเวนคืน หลังจากนั้นนายเจือนได้ไปร้องขอความเป็นธรรมหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่ได้รับค่าเวนคืน
อนึ่งนายเจือน เป็น 1 ใน 26 ราย ที่คัดค้านการรังวัดการออกหนังสือสำคัญที่หลวง เมื่อปี 2517 ด้วย แปลงที่ดินตามหลักฐานการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 74 หมู่ 4 ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 39 ไร่ ได้ครอบครองมาก่อนแจ้ง ส.ค.1 ประมาณ 14 ปี สภาพที่ดินเป็นดินทราย ปลูกมะพร้าวและพืชล้มลุกมาตลอด โดยมีผู้รับรองหรือผู้รู้เห็น 2 ราย ได้แก่ นายสนอง ฮวดเฮง ซึ่งมีที่ดินทำกินอยู่ด้านทิศใต้ของที่ดินนายเจือนฯ และนางสาวสุนัน สุขสว่าง ซึ่งเป็นลูกสาวของนายเชื้อ นางทองอยู่ สุขสว่าง ซึ่งมีที่ดินทำกินอยู่ทางด้านทิศเหนือของแปลงที่ดินนายเจือนฯ แต่เดิมแปลงที่ดินเป็นของบิดา มารดาเป็นผู้จับจองไว้ ต่อมาได้ยกให้นายเจือนฯ เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ตั้งแต่ ปี 2484 เรื่อยมาและไม่รู้มาก่อนว่ามีการประกาศเขตหวงห้ามที่ดิน ปี 2497
ในช่วงปี 2558 นายเจือน วัฒนวิเชียร ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอออกโฉนดที่ดิน โดยใช้หลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 74 หมู่ 4 มีการตรวจสอบตำแหน่งแปลงที่ดินตามระเบียบของทางราชการ โดยรังวัดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557 ได้เนื้อที่ประมาณ 38-3-52 ไร่ จากภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียม พบว่า บริเวณที่ดินที่ตรวจสอบ มีร่องรอยของการทำประโยชน์มาก่อน วันที่ 12 มกราคม 2496 ประมาณ 95% ของพื้นที่

ส่วนใหญ่เป็นการปลูกพืชไร่ โดยปลูกด้านล่างใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเหลืออยู่ประปราย โดยมีการปลูกไม้ผลอยู่บางส่วน ดังปรากฎในผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศ ปี 2496
การทำประโยชน์ต่อเนื่องมาตลอด แต่ก็ยังเป็นการปลูกพืชไร่และไม้ผลเต็มทั้งพื้นที่เหมือนเดิม ดังปรากฎในผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศปี 2510

การทำประโยชน์ในลักษณะเดิมยังต่อเนื่องเรื่อยมา ดังปรากฎผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศปี 2518

หลังจากนั้นน่าจะมีการทำประโยชน์ต่อเนื่องมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนถึงก่อนปี 2533 ที่พบว่ามีถนนและสิ่งก่อสร้าง ดังปรากฎผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศปี 2533

และตั้งแต่ปี 2533 เป็นต้นมา แปลงที่ดินมีการเตรียมพื้นที่เพื่อการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ดังปรากฎผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายทางอากาศปี 2545 หลังจากนั้น ได้มีการสร้างถนนและโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเต็มทั้งพื้นที่ ดังปรากฎผลการอ่านแปลฯ ในภาพถ่ายดาวเทียมปี 2558






@ สรุปความเห็นของผู้เชี่ยวชาญศาลยุติธรรมในทางวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าจากการตรวจสอบหลักฐาน จะพบว่าบ้านเนินทรายหรือเนินไผ่ หมู่ 4 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว มีประมาณ 30-40 กว่าครัวเรือน ชาวบ้านประกอบอาชีพการเกษตร ที่ดินจับจองอยู่รอบหมู่บ้าน ภายหลังทางราชการได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พ.ศ. 2497 ให้ไว้ ณ วันที่ 24 เมษายน 2497 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 10 สิงหาคม 2497 แนวเขตหวงห้ามครอบคลุมพื้นด้านทิศตะวันตกของบ้านเนินทรายหรือเนินไผ่บางส่วน ซึ่งเป็นที่ทำกินของชาวบ้านอยู่เดิม


นายเจือนได้ครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนประกาศหวงห้ามฯ ปี 2497 มีหลักฐานการครอบครองที่ดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดินฯ และต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2516 โดยแนวเขตจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของพื้นที่ที่กำหนดเขตหวงห้ามฯ ปี 2497 ทั้งแปลง
ต่อมาในช่วงปี 2517-2518 ได้มีการสำรวจแนวเขต เพื่อออกหนังสือสำคัญที่หลวง โดยในพื้นที่หวงห้ามฯ ปรากฎว่ามีหลักฐานที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 13 แปลง มีผู้คัดค้านจำนวน 26 คน (ในนั้นมีนายเจือน วัฒนวิเชียร รวมอยู่ด้วย) และต่อมาได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2521
จากการสำรวจ ครั้งที่ 1 พบว่า มีจำนวน 491 ราย ต่อมาได้มีการสำรวจเพิ่มเติม
ครั้งที่ 2 มีจำนวน 1,111 ราย โดยไม่มีรายชื่อของชาวบ้านคือนายเจือน วัฒนวิเชียร, นายสง่า แตงไทย (หรือนางลำดวน เลิศลบ) และนายเชือน สังขาราม จึงไม่ได้รับการชดเชยที่ดิน
ขณะที่ พรพนา ก๊วยเจริญ ผู้อำนวยการกลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน (Land watch thai ) อดีตอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่าไม้ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้แผนที่-ภาพถ่ายทางอากาศ สะท้อนถึงสิ่งสำคัญคือแนวทางในการหาทางออกร่วมกันระหว่างรัฐกับชุมชนในการใช้กรรมสิทธิ์ร่วมกัน อีกทั้งแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศอาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น เพื่อเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายรัฐในการประกาศพื้นที่ป่า นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาการใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ที่พบอุปสรรคปัญหาในการจัดสรรพื้นที่ให้แก่ชาวบ้าน รวมทั้งปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในหลายกรณี อาทิ ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนวังน้ำเขียว ระหว่างส.ป.ก.วังน้ำเขียว กับพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน, ปมปัญหาการจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ รวมทั้งตัวอย่างการใช้ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อประกอบการพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดินของชาวบ้านรายหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังระยะที่ 1 ล้วนสะท้อนถึงแง่มุมที่เป็นทั้งประโยชน์และข้อบกพร่องจากการใช้แผนที่-ภาพถ่ายทางอากาศ ในหลากหลายบริบท

พรพนา ก๊วยเจริญ ภาพ : ไทยพีบีเอส
@ ความสำคัญของภาพถ่ายทางอากาศในการเรียกร้องความเป็นธรรมด้านสิทธิที่ดิน
พรพนา ระบุว่า ภาพถ่ายทางอากาศเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่มีผลได้สองทาง ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อม หากมองในมุมที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน เช่น กรณีโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังเฟส 1 มีชาวบ้านที่ยังไม่ได้รับการชดเชยที่ดินเป็นเวลา 40 ปี มาแล้ว โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยเห็นว่าชาวบ้านกลุ่มนี้ อยู่ในที่ดินที่เป็นพื้นที่หวงห้าม ซึ่งที่จริง ชาวบ้านอยู่มาก่อน แต่ไม่มีการนำภาพถ่ายทางอากาศมาอ่าน
"เมื่อรัฐเห็นว่าชุมชน อยู่ในเขตหวงห้ามก็ไม่มีการไปรังวัด ชาวบ้านจึงตกสำรวจ จะร้องเรียนอย่างไรก็ไม่ได้ กระทั่งต่อมามีการแก้ประมวลกฎหมายที่ดิน ชาวบ้านจึงใช้สิทธิตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 เขาจึงไปขอให้มีการออกโฉนด โดยการฟ้องศาล เมื่อเข้าสู่ศาลยุติธรรม ศาลเรียกดูเอกสาร และศาลให้ผู้ชำนาญการเรื่องภาพถ่ายทางอากาศเป็นผู้อ่าน แปลภาพถ่าย ซึ่งผลปรากฏว่า ชาวบ้านที่ร้องศาล มีร่องรอยการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ถึง 90% ของพื้นที่ แล้วภาพถ่ายทางอากาศก็แสดงหลักฐานก่อนการประกาศเป็นพื้นที่หวงห้าม เพราะฉะนั้น ชาวบ้านกลุ่มนี้ ชัดเจนว่า โดยหลักฐานจากภาพถ่ายทางอากาศแล้วเขาต้องได้รับการชดเชย จากนั้นศาลยุติธรรมมีคำแนะนำให้ชาวบ้าน ไปร้องศาลปกครอง นี่เป็นกรณีที่เห็นชัด" พรพนา ระบุ
ส่วนกรณีที่อาจเป็นประโยชน์ต่อรัฐ เพื่อแสดงถึงพื้นที่ที่อยู่ในที่ของรัฐ ทั้งอยู่ก่อนและอยู่หลังการประกาศเขตต่างๆ พรพนากล่าวว่า ยกตัวอย่างเช่นในอดีต ชาวบ้านใช้ระบบการเข้าไปจับจองที่ทำกิน ซึ่งสมัยก่อนเขาก็ถือว่าเขามีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เป็นสิทธิตามจารีตประเพณี แต่ไม่ใช่สิทธิตามกฎหมาย กระทั่งวันหนึ่ง มีการประกาศเขตป่าทับพื้นที่ทำกิน ชาวบ้านก็ไม่รู้ จนเป็นความขัดแย้งในปัจจุบัน ซึ่งหากรัฐไปนำภาพถ่ายเก่าๆ มาอ่าน แล้วไม่พบร่องรอยการทำประโยชน์ของชาวบ้าน รัฐก็อาจก็ยึดแผนที่อันนี้เป็นอันเดียวที่จะมาตัดสิน โดยไม่ดูบริบทอื่นๆ เช่นหลักฐานการตั้งชุมชน หลักฐานพยานบุคคล ในกรณีนี้แผนที่ก็กลายเป็นหลักฐานอันเดียวที่ถูกยอมรับดังนั้น ในแง่นี้ แผนที่จึงไม่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน ในกรณีที่เขาไม่อาจไปหาหลักฐานอื่นมายืนยันได้ หรือในแผนที่อาจไม่เห็นร่องรอยการทำประโยชน์ เพราะจากแผนที่อาจเป็นภาพสวนในแบบดั้งเดิม ที่เห็นเพียงแต่สภาพที่เป็นป่า
"ดังนั้น ถ้าเปรียบเทียบทั้งสองด้าน รัฐก็จะเลือกใช้ภาพถ่ายทางอากาศในกรณีที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายรัฐ แต่กรณีที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน รัฐไม่ทำ" พรพนาระบุ

โครงการท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ภาพ มูลนิธิบูรณะนิเวศ
@ภาพถ่ายทางอากาศควรเป็นสิ่งที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย
พรพนากล่าวว่า ภาคประชาชนเองก็เข้าไม่ถึง ไม่สามารถเข้าถึงภาพถ่ายทางอากาศได้โดยง่าย ชาวบ้านไม่รู้จะไปขอผู้เชี่ยวชาญจากไหน ซึ่งการอ่านแผนที่ต้องมีการขอผู้เชี่ยวชาญอ่าน แต่ชาวบ้านทั่วไปเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีนี้เลย อย่างกรณีโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังเฟส 1 ที่ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จะเห็นชัดมากกรณีนี้ ดังนั้นรัฐควรต้องดำเนินการให้กับประชาชน โดยนำเอาหลักฐานมาดูว่าชาวบ้านควรได้รับสิทธิ์นั้น เพราะชาวบ้านเขาอยู่ในพื้นที่มาก่อน ไม่ควรให้ประชาชนไปฟ้องร้องเอง
พรพนากล่าวว่า ในกรณีที่มีประเด็นข้อพิพาทด้านสิทธิที่ดิน แล้วชาวบ้านเป็นผู้อยู่อาศัยมาก่อน รัฐควรให้สิทธิ์ประชาชนในการเข้าถึงแผนที่ ให้ประชาชนขอภาพถ่ายทางอากาศได้โดยไม่ต้องใช้เงิน เพื่อให้เขาได้มีโอกาสพิสูจน์สิทธิ์ได้มากขึ้น
เมื่อถามว่า land watch thai เคยขอภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเรียกร้องในประเด็นสิทธิที่ดินหรือไม่ พรพนาตอบว่า “เข้าไม่ถึง เข้าถึงยาก มีค่าใช้จ่ายเยอะ ต้องซื้อ แล้วแพงมาก ชาวบ้านไม่มีปัญญา เอ็นจีโอก็ไม่มีเงิน องค์กรเราก็ไม่สามารถซื้อได้ แพงสำหรับเรา” พรพนาระบุ
@ ประสบการณ์การทำงานที่ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ
พรพนากล่าวว่า ประสบการณ์ที่เคยใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายทางอากาศมากที่สุดคือผ่านกลไกรัฐ เช่น ในฐานะคณะอนุกรรมการในกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ( กสม.) ซึ่งในช่วงประมาณปี 2555-2556 พรพนา เป็นคณะอนุกรรมการที่ดินและป่าไม้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้ใช้ข้อมูลแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศจากหน่วยงานรัฐ ในกรณีเช่น หากมีการตรวจสอบที่ต้องใช้แผนที่ของกรมแผนที่ทหาร กสม. ก็ขอให้กรมแผนที่ทหารมาชี้แจง เมื่อชาวบ้านร้องเรียน
@ปัญหาจากการใช้แผนที่-ภาพถ่ายทางอากาศ ในบริบทพื้นที่ทับซ้อนของรัฐ
แม้จะเห็นว่าภาพถ่ายทางอากาศเป็นสิ่งสำคัญ แต่พรพนาก็หยิบยกตัวอย่างประเด็นปัญหาที่พบจากการใช้แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
พรพนาเล่าว่าเมื่อครั้งที่ตนเป็นคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่าไม้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีหลายกรณีที่น่าสนใจ อาทิ เคยมีการประกาศเขตป่าสงวน แต่แผนที่มีขนาดพิกัดที่หยาบ แผนที่แนบท้ายมีขนาดที่หยาบ แล้วเมื่อไปทับซ้อนกับชุมชน พื้นที่ชุมชนไม่ได้ถูกกันออกจากพื้นที่ป่า “เมื่อประกาศเขตป่า แล้วแผนที่สมัยนั้นยังหยาบ ยังไม่มีเทคโนโลยีที่เป็นการระบุพิกัดอย่างละเอียด จึงมีชุมชนที่ถูกประกาศทับที่ แล้วชุมชนเหล่านี้ไม่เคยถูกรัฐใช้ภาพถ่ายทางอากาศมาช่วยพิสูจน์สิทธิความเป็นธรรมแก่พวกเขาเลย เพื่อให้ชาวบ้านเขาได้สิทธิที่เขามี หลังจากถูกรัฐประกาศเขตป่าทับ แต่ก็ไม่เห็นรัฐแก้ปัญหาในเรื่องนี้” พรพนาระบุ
อีกกรณี ที่มีการใช้ข้อมูลแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศขณะที่พรพนาเป็นคณะอนุกรรมการฯที่ดินและป่าไม้ คือเหตุการณ์ช่วงที่มีการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งต้องมีการอพยพชาวบ้านออกมาจากพื้นที่สร้างเขื่อน ซึ่งกระบวนการเยียวยาชาวบ้านคือต้องมีการจัดสรรที่ดินของรัฐให้ แล้วต้องออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการหวงห้าม เพื่อให้เป็นพื้นที่รองรับชุมชน แต่กลายเป็นว่ากลับมีการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับพื้นที่รองรับชาวบ้าน

ภาพ mgronline.com
“ชุมชนที่ถูกย้ายไปตรงนั้น จึงกลายเป็นอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ แล้วก็มีปัญหาเรื่องกริด (Grid:ตารางพิกัด) ของแผนที่ที่ทับซ้อน ซึ่งประเด็นนี้ เป็นแผนที่จากกรมแผนที่ทหารที่ทำออกมา ก็มีการไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วผู้ตรวจการแผ่นดินให้กรมแผนที่ทหารมาตรวจสอบ แล้วพบว่ากริดมันเคลื่อน ไปทับพื้นที่ชาวบ้าน เมื่อเชิญเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการประกาศเขตอุทยานมาหารือ เพื่อให้รับผิดชอบ เขาก็ไม่ยอมรับ บอกว่าทำถูกต้องแล้ว ในครั้งนั้นเสียพื้นที่เป็นหมื่นๆ ไร่ สะท้อนว่า รัฐต้องการกันที่ดินของตนเองไว้ให้มากที่สุดเพื่อให้เป็นที่ดินของรัฐ” พรพนาระบุ
หรือแม้กรณีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนวังน้ำเขียว มีประเด็นกรณีปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ส.ป.ก.วังน้ำเขียว กับพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ทั้งที่ตามหลักคือต้องมีการปฏิรูปที่ดินก่อน แต่ต่อมาอุทยานแห่งชาติทับลานประกาศเขตทับ แล้วเมื่อมีการทำเขตใหม่ในปี 2541 กรมอุทยานก็ไม่ยอมรับว่าตนเองประกาศเขตทับ ก็ขัดแย้งกับ ส.ป.ก. ว่าส.ป.ก. ออกทับ ต่อมาก็มี วัน แม็ป ออกมา ( One Map :แผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 เป้าหมายเพื่อนำเอาเส้นแบ่งเขตแผนที่ที่ไม่ตรงกันของหน่วยงานรัฐมาทำให้เป็นเส้นเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินทับซ้อน )

ภาพ ไทยรัฐ
พรพนากล่าวว่า เดิมที วันแม็ป ถูกคาดหวังว่าจะแก้ไขเรื่องที่ดินของหน่วยงานต่างๆ ที่ทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดที่ทับซ้อนเมื่อรวมอาณาเขตพื้นที่ทับซ้อนทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วจะมากกว่าพื้นที่ประเทศไทยด้วยซ้ำ แล้วบางจังหวัดมีพื้นที่ทับซ้อนของทุกหน่วยงานมาบวกกัน เกินพื้นที่จังหวัดไปเยอะมาก "ในที่สุด วันแม็ปที่ประกาศออกมาจึงใช้ไม่ได้ เป็นปัญหาที่เป็นเขาวงกตมาก ดังนั้น ประเด็นภาพถ่ายทางอากาศ จึงขยายไปถึงปัญหาอื่นๆ ที่เป็นแผนที่ของรัฐ วนกันเป็นเขาวงกต" พรพนาระบุ
@ภาพถ่ายทางอากาศไม่ใช่แนวทางสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาด้านสิทธิที่ดิน
พรพนากล่าวว่า การใช้ภาพถ่ายทางอากาศมาแก้ไขประเด็นปัญหาข้อพิพาทด้านสิทธิที่ดินนั้น ต้องดูเป็นรายกรณี หากในกรณีที่ชาวบ้านต้องการต่อสู้เรียกร้องพิสูจน์สิทธิ์ แล้วจะใช้ภาพถ่ายทางอากาศมาดูทุกครั้งไปหรือไม่นั้น พรพนากล่าวว่า โดยหลักการแล้ว ไม่ใช่ทุกกรณี
“ถ้าชาวบ้านบอกว่าอยู่มานาน เราจะรีเช็ค ตรวจสอบซ้ำทุกครั้ง ว่าต้องมีความมั่นใจว่าชุมชนอยู่มานาน และแนวทางการเรียกร้องจะเป็นอย่างไร ภาพถ่ายทางอากาศอาจไม่ใช่แนวทางสุดท้ายในการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดิน ประเด็นสำคัญคือ อาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครอยู่ก่อนอยู่หลังระหว่างรัฐกับชาวบ้าน แต่สิ่งสำคัญเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ คือเนื่องจากชุมชนอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ควรจะมีทางเลือกใหม่ คือควรมีเรื่องการรับรองสิทธิ์ การใช้กรรมสิทธิ์ร่วม แม้จะเป็นพื้นที่ของรัฐ ก็ควรมีแนวทาง มีกฎหมายในเรื่องโฉนดชุมชน มีเงื่อนไข ของการให้ชุมชนอยู่ตรงนั้นได้โดยที่ไม่ต้องไปเพิกถอน ให้หลายสิทธิ์มันซ้อนกันได้ ไม่ต้องสิทธิ์ใดสิทธิ์หนึ่ง ส่วนตัวแล้วมองแบบนี้มากกว่า เพราะหากพูดถึงแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ก็อาจถูกเอาไปใช้เพื่อผลประโยน์ของทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ แม้ชาวบ้านเห็นว่าชอบธรรมแต่มันก็มีกรณีที่รัฐมองว่าแผนที่สร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายรัฐเช่นกัน ดังนั้น ต้องมองเป็นกรณีไป เป็นเคสบายเคส” ผู้อำนวยการแลนด์วอชท์ไทย กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้ เป็นความเห็นที่สะท้อนถึงประโยชน์และอุปสรรคของภาพถ่ายทางอากาศในหลายแง่มุม ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงสิ่งสำคัญกว่าการนำภาพถ่ายทางอากาศมาพิสูจน์สิทธิ์ นั่นคือการแสวงหาแนวทางและทางออกจากประเด็นข้อพิพาทด้านสิทธิที่ดิน โดยการใช้กรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างพื้นที่รัฐและชุมชน กระนั้นแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศก็ยังนับว่ามีความจำเป็น อีกทั้งควรเป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายและควรเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้อย่างเป็นธรรม
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา