"...หนึ่งในหัวข้อพูดคุยหลักคือ การแสดงความห่วงใย ‘อุ๊งอิ๊ง’ ที่ก้าวเข้าสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ทั้ง ๆ ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ กระทั่งคลอดบุตรสาว เป็นหลานคนที่ 7 ของ ‘ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน’ นอกจากนี้ยังแสดงความเป็นห่วงถึง ‘ทักษิณ’ ที่พยายามจะดึงดันกลับไทย โดยอ้างว่าจะกลับมาเลี้ยงหลานในเดือน ก.ค.นี้ แต่ขณะนี้ ‘ฟ้ายังไม่เปิด’ เต็มที่ ทำให้คนในครอบครัวจำเป็นต้องทัดทานการกลับไทยของ ‘ทักษิณ’ เอาไว้ชั่วคราวก่อน..."
เรียกได้ว่าขยับครั้งไหน เป็นอันสะเทือนวงการเมือง
สำหรับ ‘คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์’ อดีตภริยา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี
หญิงแกร่งผู้อยู่ ‘หลังบ้าน’ คอยซัพพอร์ต ‘ทักษิณ’ นับตั้งแต่วันแรกที่ลงเล่นการเมือง ผ่านร้อนผ่านหนาว เผชิญคดีความ ‘สามี’ ต้องลี้ภัย ไม่เว้นแม้แต่วงศ์วานว่านเครือตระกูล ‘ดามาพงศ์-ชินวัตร’ ที่เผชิญวิบากทางการเมือง นับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 และปี 2557 ส่งผลให้ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ต้องหลบหนีไปต่างประเทศอีกคน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2566 ว่ากันว่า ‘คุณหญิงพจมาน’ นัดรับประทานอาหารกับครอบครัว โดยมีลูก 2 คนคือ ‘เอม’ พิณทองทา คุณากรวงศ์ ผู้บริหารเครือ ‘เอสซี แอสเสท’ ธุรกิจตระกูลชินวัตร และสามี รวมถึง ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และสามี เข้าร่วมวงด้วย
หนึ่งในหัวข้อพูดคุยหลักคือ การแสดงความห่วงใย ‘อุ๊งอิ๊ง’ ที่ก้าวเข้าสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ทั้ง ๆ ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ กระทั่งคลอดบุตรสาว เป็นหลานคนที่ 7 ของ ‘ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน’
นอกจากนี้ยังแสดงความเป็นห่วงถึง ‘ทักษิณ’ ที่พยายามจะดึงดันกลับไทย โดยอ้างว่าจะกลับมาเลี้ยงหลานในเดือน ก.ค.นี้ แต่ขณะนี้ ‘ฟ้ายังไม่เปิด’ เต็มที่ ทำให้คนในครอบครัวจำเป็นต้องทัดทานการกลับไทยของ ‘ทักษิณ’ เอาไว้ชั่วคราวก่อน
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ภายหลัง ‘ทักษิณ’ ต้องหลบหนีคดีที่ดินรัชดาฯเมื่อปี 2551 เคยหล่นวาทกรรมว่าจะกลับบ้าน-กลับไทย มาแล้วไม่ต่ำกว่า 19 ครั้ง โดยครั้งสำคัญเกิดขึ้นในห้วงเวลา ‘คนเสื้อแดง’ ชุมนุมทางการเมืองระหว่างปี 2552-2553
หลังจากนั้นก็เงียบหายไปนาน กระทั่งภายหลังการเลือกตั้งปี 2562 เป็นต้นมา ‘ทักษิณ’ ปรับภาพลักษณ์ในยุคเทคโนโลยีครองเมือง เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โทนี่ วู้ดซัม’ ประกาศผ่านรายการ ‘แคร์ทอล์ก’ ออกอากาศทางแอปพลิเคชั่น ‘คลับเฮ้าส์’ บ่อยครั้งว่า อยากกลับไทย แต่ขอดูเวลาเหมาะเจาะเสียก่อน โดยยืนยันว่า จะกลับมา ‘ช่องทางปกติ’ ไม่ใช้วิธีนิรโทษกรรม
กระทั่งครั้งที่ 19 ครั้งล่าสุดที่ ‘ทักษิณ’ บอกว่าจะกลับไทย ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า “ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้วที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ”
“ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเองด้วยความรักความผูกพันกับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา”
ทักษิณ ชินวัตร / https://th.wikipedia.org/
สำหรับวันคล้ายวันเกิดของ ‘ทักษิณ’ ตรงกับวันที่ 26 ก.ค. หากนับตั้งแต่วันที่เขียน (8 มิ.ย. 2566) ‘ทักษิณ’ จะเหลือเวลาอีกอย่างน้อย 48 วันว่า ตกลงจะกลับไทยหรือไม่
ทว่าในวงรับประทานอาหารล่าสุดของ ‘ครอบครัวชินวัตร’ ว่ากันว่าในวงได้พยายาม ‘เบรก’ ยังไม่อยากให้ ‘ทักษิณ’ กลับไทยในช่วงเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้ เนื่องจากยังไม่มั่นใจว่าจะ ‘ถูกหลอก’ หรือไม่ โดยอยากให้กลับมาภายหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
คำว่า ‘ถูกหลอก’ ในที่นี้ อาจหมายความถึง ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วย การปฏิบัติต่อผู้ถูกกักกัน พ.ศ. 2566 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีหลักใหญ่ใจความสำคัญคือเปิดช่องให้ ‘ผู้ต้องขัง’ สามารถถูกกักขังอยู่ที่บ้าน โดยไม่ต้องเข้าเรือนจำได้ เป็นไปตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ มาตรา 36
แต่ระเบียบฉบับนี้ ถูก ‘บิ๊กเนมกรมราชทัณฑ์’ ออกมาสยบข่าวลือว่าเปิดช่องเอื้อ ‘ทักษิณ’ ทันควัน โดยยืนยันว่า นับเฉพาะคดีที่ศาลพิพากษาให้ ‘กักขัง-กักกัน’ มิใช่นิยามคำว่า ‘จำคุก’ ซึ่ง ‘ทักษิณ’ เผชิญโทษตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเอาไว้อย่างน้อย 3 คดี รวมโทษจำคุก 12 ปี
ขณะที่ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมืองที่เตรียมนำเสนอโดย ‘ก้าวไกล’ ก็ไม่มีนิยามแน่ชัดว่า ‘ทักษิณ’ เข้าข่ายเป็น ‘นักโทษทางการเมือง’ หรือ ‘นักโทษคดีทุจริต’ โดยแกนนำพรรคก้าวไกล เคยหารือในวงลับถกกันว่า อยากให้ ‘ทักษิณ’ ชะลอการกลับไทยออกไปก่อน เพราะต้องการให้กลับเข้ามาช่องทางปกติ ส่วนกฎหมายนิรโทษกรรมฯ มีรายละเอียดอีกมาก ต้องรอหารือกันในสภาฯชุดหน้า
แม้ว่าปัจจุบันพรรคเพื่อไทย จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี นับตั้งแต่การก่อร่างสร้างพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2544 ก็ตาม แต่ทิศทางลมทางการเมืองดูเหมือนว่า ‘เพื่อไทย’ ยังคงมีแต้มต่อเหนือ ‘พรรคก้าวไกล’ ที่ชนะได้ ส.ส.มาเป็นลำดับ 1 อยู่พอสมควร
เพราะต้องไม่ลืมว่าในรัฐธรรมนูญ ระบุว่า การโหวตเลือกนายกฯ ต้องได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมรัฐสภา (เสียง ส.ส. และ ส.ว.) เท่ากับว่า ‘ก้าวไกล’ และอีก 7 พรรคร่วมที่ปัจจุบันมี 312 ส.ส.ในมือ ยังขาดอีก 64 เสียง จำเป็นต้องพึ่ง ส.ว.มาช่วยโหวตนายกฯด้วย
แต่ขณะนี้มี ส.ว.ไม่ถึง 20 คนเท่านั้นที่จะช่วยโหวตให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ นั่งเก้าอี้นายกฯ ยังเหลือ ส.ว.อีก 44 คน เพราะฉะนั้นจึงยากมากที่จะฝ่าด่าน ส.ว.เข้าไปได้
นอกจากนี้ยังมีคดีเฉพาะตัว อย่างกรณีถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น
แม้ ‘พิธา’ จะอ้างว่าโอนแล้วเมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
แต่ตามข้อเท็จจริงเท่ากับว่า ‘พิธา’ ถือหุ้นไว้ในช่วงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.และได้รับการเสนอชื่อเป็น 'แคนดิเดต' นายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่ 3-7 เม.ย. 2566 ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ขัดเจนว่า ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น ''แคนดิเดต' นายกฯต้องไม่ถือหุ้นสื่อเช่นเดียวกัน
@ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ดังนั้นหาก กกต.ตัดสินออกมา ‘ไม่เป็นคุณ’ กับ ‘พิธา’ เป็นอุปสรรคต่อการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ขณะที่ ‘ก้าวไกล’ เสนอชื่อ ‘พิธา’ เป็นแคนดิเดตนายกฯแค่คนเดียว ดังนั้น จึงไม่อาจเสนอชื่อคนอื่นแข่งได้อีก
หากถึงเวลานั้นเท่ากับว่า ‘ส้มหล่น’ มาถึงคิวของ ‘เพื่อไทย’ ในฐานะพรรคอันดับ 2 จะกลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยทันที แบบไม่มีข้อโต้แย้ง
ส่วนจะจับมือกับใคร เทใครกันบ้าง คงต้องรอให้เวลานั้นเกิดขึ้นเสียก่อน
อ่านประกอบ :