“...แนวรบทั้งกระแส กระสุน และบุคคลที่ลงขันลงแรงในการเลือกตั้งรอบนี้ แนวรบของแต่ละฝ่ายยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยแนวรบจัดตั้ง คนจะเลือกตามที่มีการจัดตั้งมาของแต่ละฝ่าย ส่วนแนวรบที่มาจากความนิยมเชิงกระแสและความนิยมของพรรคการเมือง ก็ยังเหมือนเดิมว่า คนที่เลือกพรรคประชาชนก็ยังเลือกพรรคประชาชน ส่วนคนที่ไม่เอาก็เลือกพรรคอื่น…”
การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) จำนวน 47 จังหวัดผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปภาพรวมมีคนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายกอบจ.จำนวน 16.362 ล้านคน คิดเป็น 58.45% จากผู้มีสิทธิ์กว่า 27 ล้านคน ส่วนส.อบจ.มีผู้มาใช้สิทธิ์ 26.418 ล้านคน จากผู้มีสิทธิ์จำนวน 47.124 ล้านคน
โฟกัสผลการเลือกตั้งนายกอบจ.จำนวน 47 จังหวัด พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้จำนวนนายกอบจ.มากสุด 18 จังหวัด รองลงมาเป็นพรรคภูมิใจไทย 12 จังหวัด ตามมาด้วยผู้สมัครอิสระ 6 จังหวัด พรรคประชาธิปัตย์ 4 จังหวัด พรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคประชาชาติคนละ 2 จังหวัด และพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาชน แบ่งกันคนละ 1 จังหวัด
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสการเลือกตั้งนายกอบจ.รอบนี้คึกคักมากกว่าครั้งก่อนๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรดาแฟนคลับพลพรรคสีส้มให้ความสนใจจนกลายเป็นกระแสขึ้นมา ประกอบกับอีกฟากฝั่งหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามพรรคประชาชน ก็เฝ้าดูว่าการเลือกตั้งใหญ่หนนี้ พรรคส้มจะได้นายกบจ.มาอยู่ในมือสักจังหวัดหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้แพ้กราวรูดมาโดยตลอด
ประกอบกับปรากฎการณ์ ‘ผู้มีบารมีนอกพรรคเพื่อไทย’ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงตระเวนลงพื้นที่หาเสียงต่อเนื่องหลายจังหวัด จนเป็นข่าวทุกๆสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงทำให้ประชาชนจับตาการเลือกตั้งครั้งนี้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สนทนากับดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ปรากฎการณ์และมองการเมืองไปถึงปี 2570
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า
@เลือกตั้งนายก-ส.อบจ. แนวรบยังไม่เปลี่ยนจากเลือกตั้ง 66
ดร.สติธรเริ่มต้นว่า เมื่อสำรวจแนวรบทั้งกระแส กระสุน และบุคคลที่ลงขันลงแรงในการเลือกตั้งรอบนี้ แนวรบของแต่ละฝ่ายยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยแนวรบจัดตั้ง คนจะเลือกตามที่มีการจัดตั้งมาของแต่ละฝ่าย ส่วนแนวรบที่มาจากความนิยมเชิงกระแสและความนิยมของพรรคการเมือง ก็ยังเหมือนเดิมว่า คนที่เลือกพรรคประชาชนก็ยังเลือกพรรคประชาชน ส่วนคนที่ไม่เอาก็เลือกพรรคอื่น
สิ่งที่ต้องคิดเพิ่มเติมคือ ถ้าสมมติคนออกมาเลือกตั้งมากกว่านี้ คะแนนจะไปอย่างไร เพราะคนที่มาลงคะแนนครั้งนี้คิดเป็น 58.45% หรือมีผู้มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27,991,587 คน แต่ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ที่ 52,238,594 คน มีผู้มาใช้สิทธิถึง 75.71% หรือมีคนมมาใช้สิทธิถึง39,293,867 คน ก็ต้องดูว่าคะแนนจะไปลงฝั่งไหน ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองจะต้องประเมินว่าจะต้องทำอะไรเพิ่มบ้าง ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570
“คะแนนเลือกตั้งรอบนี้พอเป็นฐานคิดได้เลย เพราะมันสะท้อนค่อนข้างชัดว่าวิธีคิดของผู้คนยังไม่ได้เปลี่ยนเยอะจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ดังนั้นเมื่อเอาการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้ง (เลือกตั้งใหญ่ 66 และเลือกตั้งนายก-ส.อบจ.2568) แต่ละพรรคการเมืองจะพอมองเห็นทางข้างหน้าว่าในปี 2570 สถานการณ์จะเป็นอย่างไร” ดร.สติธรระบุ
@โนโหวต-บัตรเสียมาก สะท้อนปีกอนุรักษ์ไม่เอาทั้ง ‘ส้ม-แดง-น้ำเงิน’
เมื่อถามถึงตัวเลขบัตรเสียและบัตรโนโหวตที่การเลือกตั้งนายกอบจ.และส.อบจ.ครั้งนี้ มียอดค่อนข้างเยอะประมาณ 10% นั้น เป็นการสะท้อนอะไรหรือไม่ ดร.สติธรกล่าวว่า ขอพูดถึงเรื่องโหวตโนก่อน ต้องเข้าใจธรรมชาติการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายกอบจ.ก่อน ในการแข่งขันส่วนใหญ่จะเป็นการแข่งขันระหว่าง 2 ทีม น้อยมากที่จะมี 3-4 กลุ่มแข่งกัน ดังนั้น การชนกันของ 2 กลุ่ม ก็จะออกในแนว น้ำเงินชนแดง (ภูมิใจไทย-เพื่อไทย) แดงชนส้ม (เพื่อไทย-ประชาชน) และน้ำเงินชนส้ม (ภูมิใจไทย-ประชาชน) คำถามคือ คนที่เป็นอนุรักษ์นิยมที่ถูกเรียกว่า สลิ่ม-คนเสื้อเหลือง จะไปเลือกใคร? คนกลุ่มนี้ไม่เอาทั้งส้มแดงน้ำเงิน จึงสันนิษฐานได้ว่าอาจจะแปรไปเป็นคะแนนโนโหวตหรือทำใบเสียไปเลย เพราะไม่มีคนที่ถูกจริตให้เลือก
ส่วนที่มีคนในโซเชียลมีเดียตั้งข้อสังเกตว่า มีการจ้างทำบัตรเสีย จ้างทำโนโหวตนั้น ดร.สติธรมองว่า เป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ถ้าจะมีการจ้างแจกเงินจริงๆ จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร? สู้จ้างให้เลือกใครสักคนไม่ดีกว่าเหรอ อย่าไปดราม่า การเลือกตั้งไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น แต่จะมองว่า บางพื้นที่อาจจะมีกลุ่มการเมืองบ้านใหญ่คุมคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ได้ แล้วพอเห็นเป็นบัตรคู่แข่งก็ให้ทำเสียซะ มันก็เป็นไปได้ แต่มันไม่เยอะพอจะทำให้เปลี่ยนเกมส์ได้เลย คิดว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่เอาทั้ง ส้ม-แดง-น้ำเงิน มากกว่าที่เทมาทางนี้
ขณะเดียวกัน การมีบัตรเสียมาก ก็ต้องตำหนิการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ออกแบบบัตรเลือกตั้งให้คนใช้สิทธิ์งง เช่น ถ้ามีคนอยากเลือกผู้สมัครนายกอบจ.จริงๆ แล้วคนที่ต้องเลือกได้เบอร์ 5 แต่บัตร 2 ใบ ใบหนึ่งไม่มีชื่อผู้สมัคร แต่มีหมายเลข 5 แต่อีกใบที่เลือกส.อบจ.ไม่มี ทำยังไง ก็ต้องเลือกกาเบอร์ 5 ไปทั้งสองใบเลยบางทีกาผิดกาถูกเพราะจำไม่ได้บ้างก็มี การแก้ไขบัตรโดยเพิ่มรายชื่อลงไป หรือทำช่องเลือกให้มีเท่ากับจำนวนผู้ลงสมัครก็พอจะเป็นทางออกที่ดีด้วย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 68
ที่มาภาพ: Facebook พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.เชียงใหม่
@ภาคเหนือ 8 จังหวัด ‘ทักษิณ’ เสื่อมนิยม แต่ยัง ‘ขลัง’
เมื่อมองผลการเลือกตั้งนายกอบจ. 47 จังหวัดเป็นรายภาค เริ่มกันที่ภาคเหนือ 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, แพร่, ลำปาง, ลำพูน, น่านและพิจิตร ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งครั้งนี้นายทักษิณลงพื้นที่หาเสียงเองหลายๆจังหวัดนั้น ดร.สติธรมองว่า ก็ถือว่าพรรคเพื่อไทยยังทำได้ตามเป้า พื้นที่เป้าหมายได้มาหมดทั้งน่าน แพร่ ลำปาง เชียงใหม่
ส่วนพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้คือ ลำพูนและเชียงราย ในเชียงรายต้องถือว่าพรรคเพื่อไทยมาท้าชิง เพราะคนเดิมที่ได้อย่างนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ มีเครือข่ายสีน้ำเงินคอยเกื้อหนุนอยู่แล้ว การแพ้จึงเสมอตัว แต่ที่เสียจริงๆคือ จ.ลำพูน แต่ก็เสียหายธรรมดา เพราะเมื่อปี 2566 พรรคเพื่อไทยก็เสียฐานที่มั่นตรงนี้ไปแล้วและอย่าลืมว่าในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 พรรคประชาชนหรือก้าวไกลในขณะนั้นได้คะแนนดิบมาหลักแสนคะแนน ส่วนพรรคเพื่อไทยได้แค่ 75,000 คะแนนฐานเป็นรองอยู่แล้ว แต่รอบนี้เมื่อดูคะแนนการเลือกตั้งนายกอบจ.ลำพูน เฉียดกันไม่มาก และครั้งนี้สามารถกอบกู้คะแนนตุนกลับมาหลักแสนได้ ก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีของพรรคเพื่อไทยแล้ว
“ในภาพรวมการเลือกตั้งนายกอบจ. ลำพูน พรรคเพื่อไทยอาจจะดูเสียเปรียบ แต่พอดูไส้ในก็ถือว่าได้คะแนนดิบกลับมามากขึ้น แต่ปัจจัยที่คะแนนดิบกลับมาไม่ได้อยู่ที่คุณทักษิณ แต่อยู่ที่คนจากพรรคอื่นๆไม่มีตัวเลือกมากกว่า” ดร.สติธรกล่าว
อย่างไรก็ตาม การจะบอกว่านายทักษิณเสื่อมมนต์ขลังหรือไม่ ก็ต้องดูด้วยว่าเปรียบเทียบกับบริบท ณ ตอนไหน ถ้าเทียบกับช่วงที่พรรคไทยรักไทยฟีเวอร์ระหว่างปี 2548-2549 ก็ต้องยอมรับว่านายทักษิณเสื่อมมนต์ขลัง แต่ถ้าเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ก็ต้องถือว่านายทักษิณช่วยให้พรรคเพื่อไทยดีขึ้นกว่าตอนนั้น แต่ต้องยอมรับว่าสถานะของคุณทักษิณ ณ ตอนนี้แตกต่างไปจากคุณทักษิณในช่วงปี 2548-2549 จริงๆ
วิชิต ไตรสรณกุล (ผู้ชายยืนข้างหลัง) หนึ่งในผู้ที่ชนะการเลือกตั้งนายกอบจ.สายสีน้ำเงิน
ที่มาภาพ: Facebook วิชิต ไตรสรณกุล
@ภาคอีสาน 11 จังหวัด ‘พลังน้ำเงิน’ คุม ‘เพื่อไทย’ ชนะบางจังหวัดคือกำไร
ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ภาคอีสาน 11 จังหวัด ได้แก่ นครพนม, นครราชสีมา, บึงกาฬ, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ศรีสะเกษ, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภูและอำนาจเจริญ ดร.สติธรวิเคราะห์ว่า ต้องยอมรับว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายการเมืองบ้านใหญ่ที่เกาะเกี่ยวกับขุมพลังสีน้ำเงิน ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทยเข้ามาแล้วแพ้ในบางพื้นที่ เช่น ศรีสะเกษ บึงกาฬ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ส่วนจังหวัดที่มาชนะ เช่น นครพนม มหาสารคาม สกลนคร หนองคาย ก็ถือว่าได้กำไรแล้ว แต่เป็นกำไรที่ไม่ควรปลื้ม เพราะเดิมที่สีน้ำเงินเข้ามากุมพื้นที่ เพราะพรรคเพื่อไทยเองก็ละเลยการทำงานท้องถิ่นไปนาน ปล่อยให้คนในท้องถิ่นแข่งกันเอง แล้วไปช้อนซื้อในการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งทำให้เป็นช่องว่างให้กลุ่มการเมืองสายสีน้ำเงินเข้ามาทำพื้นที่ แล้วสำเร็จมาตั้งแต่ปี 2555 ก่อนจะขยายฐานเรื่อยๆจนเต็มในปัจจุบัน ซึ่งพรรคเพื่อไทยเพิ่งจะหันมาจริงจังงานท้องถิ่นก็ตอนเลือกตั้งนี้ ต้องยอมรับว่าพลังแดงกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งก็ช่วงที่คุณทักษิณลงพื้นที่หาเสียงครั้งนี้
@จับตายุทธศาสตร์ ’ส้ม’ในอีสาน สร้างพันธมิตรขั้ว ‘น้ำเงิน’
นอกจากการวิเคราะห์พลังสายเสื้อแดงที่กลับมาแข็งแกร่งในพื้นที่ภาคอีสาน ดร.สติธรยังชวนมองถึงการที่พรรคประชาชนส่งคนลงสมัครนายกอบจ.ในพื้นที่ภาคอีสานเพียง 2 จังหวัดคือหนองคายและมุกดาหาร สามารถสะท้อนได้ว่า ทิศทางของพรรคประชาชนอาจจะเริ่มคิดถึงการแสวงหาพันธมิตรทางการเมืองมากขึ้น ข้อสังเกตคือในจังหวัดศรีสะเกษ ทำไมคนที่ลงสมัครจากพรรคภูมิใจไทยถึงชนะขาดทั้งๆที่จังหวัดนี้ พรรคเพื่อไทยมีสส.ในพื้นที่ทั้ง 6 เขต ขณะที่อีก 2 เขตเป็นสส.ของพรรคภูมิใจไทย มันจึงอนุมานได้ว่า คะแนนส้มที่ไม่มีผู้สมัครอาจจะมาบวกกับผู้สมัครของค่ายสีน้ำเงิน ซึ่งอาจจะสะท้อนได้ว่าเป็นความเฉพาะของแต่ละพื้นที่
“ในพื้นที่เขาอาจจะมีการคุยกันว่า อาจจะมีการประสานพลังกันในจังหวัด ขอให้จับตาดูการเลือกตั้งในสถานที่เล็กกว่านี้ เช่น ระดับเทศบาล อาจจะเห็นปรากฏการณ์ที่ผู้สมัครจากค่ายสีส้มมีขั้วการเมืองสีน้ำเงินหนุนหลัง แล้วต้องไม่ลืมว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่ดิ้นไปได้ทุกที พร้อมดีลพร้อมคุยอยู่แล้ว แต่การดีลในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น ในส่วนการเมืองระดับชาติก็จะเหมือนเดิม” ดร.สติธรวิเคราะห์
@ภาคใต้ 11 จังหวัด ฐานที่มั่นการเมืองเฉด ‘สีน้ำเงิน’
ส่วนพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด ได้แก่ .กระบี่, ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พังงา, พัทลุง, ภูเก็ต, ยะลา, สงขลา, สตูล, สุราษฎร์ธานี ดร.สติธรมองว่า กำลังจะเป็นฐานที่มั่นใหม่ของพรรคภูมิใจไทย หรือขั้นสายสีน้ำเงิน แม้ว่าบางจังหวัด เช่น พัทลุง จะยังไม่ได้เพราะคนของพรรครวมไทยสร้างชาติยังแข็งอยู่ แต่ต้องยอมรับว่าในพื้นที่ภาคใต้ พรรคภูมิใจไทยโตขึ้นมาเยอะมาก และอนาคตจะขยายขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จะยังเป็นพรรคประชาชาติที่ยังแข็งแรงอยู่ อาจจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติรวมด้วย แต่ก็จะดูเบาพรรคภูมิใจไทยไม่ได้
“ภาคใต้จะกลายเป็นพื้นที่สีน้ำเงิน แม้ว่าจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในพื้นที่ แต่ถ้าอนาคตทั้ง 2 พรรคนี้ดับสูญไป คนก็น่าจะโยกย้ายไปทางพรรคสีน้ำเงินพรรคใหม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าพื้นเพของประชาชนภูมิภาคนี้เป็นอนุรักษ์นิยม การเปลี่ยนไปเป็นแดงหรือส้มยังยากอยู่” ดร.สติธรระบุ