"...สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.คราวนี้ คือการต่อสู้กันของ 3 พรรคหลักที่มีจุดยืนอยู่ตรงข้ามกันในทางการเมือง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย เรียกตัวเองว่า ‘พรรคปฏิรูป’ เน้นทำนโยบายด้านเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 พรรคภูมิใจไทย ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นตัวแทนเครือข่าย ‘อนุรักษ์นิยม’ เดิม ดำเนินการผ่านกลไกระบบราชการ และพรรคประชาชน ที่ถูกข้อครหาว่าเป็น ‘พรรคปฏิวัติ’ ด้วยแนวทางเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างการเมืองขนานใหญ่ เป็นต้น..."
จบลงไปแล้วสำหรับสมรภูมิท้องถิ่นสำคัญ การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัด และสมาชิก อบจ. อีก 76 จังหวัด โดยชัยชนะส่วนใหญ่มิใช่พรรคการเมืองฝ่ายไหน แต่คือ ‘บ้านใหญ่’ ที่มีเครือข่ายนักการเมืองระดับชาติหนุนหลัง กวาดชัยชนะเป็นจำนวนมาก
โดยผู้สมัครนายก อบจ.ที่ลงในนาม ‘พรรคการเมือง’ อย่างเป็นทางการมี 2 พรรค พบว่า
‘เพื่อไทย’ ส่ง 16 จังหวัด ได้รับชัยชนะเยอะสุด 10 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน นครราชสีมา สกลนคร สกลนคร หนองคาย มหาสารคาม นครพนม และปราจีนบุรี
ส่วน ‘พรรคประชาชน’ (ปชน.) ส่ง 17 จังหวัด ได้ไปแค่ 1 จังหวัดคือ ลำพูน
ที่เหลือคือ ‘เครือข่ายบ้านใหญ่’ ที่ส่วนใหญ่ ‘บิ๊กเนมการเมือง’ หนุนหลัง เช่น
เครือข่าย ‘รวมไทยสร้างชาติ’ (รทสช.) คว้าชัย 4+1 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี พัทลุง สมุทรสงคราม ภูเก็ต และนราธิวาส (ร่วมกับพรรคประชาชาติ)
เครือข่าย ‘กล้าธรรม’ ได้ 2 จังหวัด ได้แก่ หนองบัวลำภู และสมุทรสงคราม
พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ได้ 2 จังหวัดคือ สุพรรณบุรี และนครปฐม
พรรคประชาชาติ ชนะ 1+1 จังหวัด ได้แก่ ยะลา และนราธิวาส (ร่วมกับ รทสช.)
อีกอย่างน้อย 9 จังหวัดเครือข่าย ‘ภูมิใจไทย’ หนุนหลัง ได้แก่ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ บึงกาฬ อำนาจเจริญ ลพบุรี พิจิตร เชียงราย กระบี่ และสตูล เป็นต้น
ที่เหลือคือ ‘เครือข่ายบ้านใหญ่’ ในพื้นที่ครองอิทธิพลมายาวนานจากตระกูลการเมืองดัง โดยมี ‘บิ๊กเนมการเมือง’ หนุนหลัง เช่น ‘ปิยะ ปิตุเตชะ’ ในระยอง ‘วิทยา คุณปลื้ม’ ในชลบุรี ‘กุลยุทธ ฉายแสง’ จากฉะเชิงเทรา (บ้านใหญ่หลายบ้าน หลายพรรคลงขันกันหนุนหลัง) ‘สุนทร ปานแสงทอง’ ในสมุทรปราการ (บ้านใหญ่ม้าทองคำ ตระกูลอัศวเหมหนุนหลัง) ‘วิเชียร ทรัพย์เจริญ’ จากตราด ‘พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ’ จากนนทบุรี เป็นต้น
โดยมีบางตระกูลที่สลัดภาพ ‘อิงแอบค่ายการเมือง’ อย่างชัดเจน เช่น จ.สมุทรปราการ ที่มี ‘อัศวเหม’ หนุนหลัง จ.ชลบุรี ของ ‘คุณปลื้ม’ หรือแม้แต่ ‘กุลยุทธ ฉายแสง’ จากฉะเชิงเทรา ที่เป็นการรวมบ้านใหญ่หลายตระกูล ทั้งฉายแสง ตันเจริญ ฯลฯ หลายค่ายการเมืองมาร่วมด้วยช่วยกัน เป็นต้น
ที่น่าสนใจการเลือกตั้ง ‘ท้องถิ่น’ คำว่า ‘บ้านใหญ่’ ยังทรงอิทธิพล และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางบริหารงาน โดยมีชาวบ้านเห็นหน้าค่าตาอยู่ทุกวัน แตกต่างจาก ‘การเมืองภาพใหญ่’ ที่ประชาชนมักเลือกจาก ‘นโยบาย’ เป็นหลัก เพื่อเป็นตัวแทนเข้าไปต่อรองทางการเมืองในสภาฯ
สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.คราวนี้ คือการต่อสู้กันของ 3 พรรคหลักที่มีจุดยืนอยู่ตรงข้ามกันในทางการเมือง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย เรียกตัวเองว่า ‘พรรคปฏิรูป’ เน้นทำนโยบายด้านเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 พรรคภูมิใจไทย ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นตัวแทนเครือข่าย ‘อนุรักษ์นิยม’ เดิม ดำเนินการผ่านกลไกระบบราชการ และพรรคประชาชน ที่ถูกข้อครหาว่าเป็น ‘พรรคปฏิวัติ’ ด้วยแนวทางเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างการเมืองขนานใหญ่ เป็นต้น
อย่างไรก็ดีทั้ง 3 ขั้วอำนาจดังกล่าว มีแค่พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ที่ประกาศชัดเจนส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.อย่างเป็นทางการ ส่วน ‘ค่ายน้ำเงิน’ ประกาศไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าในหลายจังหวัดทางอีสานใต้มี ‘เครือข่ายน้ำเงิน’ คอยหนุนหลังอยู่
ยกตัวอย่างสมรภูมิสำคัญที่ จ.ศรีสะเกษ บ้านใหญ่ ‘ไตรสรณกุล’ คว้าชัยชนะมาได้ ทันทีที่ทราบผล ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ไปร่วมแสดงความยินดีถึงวอร์รูมทันที โดย จ.ศรีสะเกษ ถือเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์สำคัญในโซนอีสานใต้ที่ภูมิใจไทยจำเป็นต้องรักษาไว้เป็นด่านหน้า แม้ว่า ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ ผู้ช่วยหาเสียง ‘ค่ายแดง’ จะลงพื้นที่หลายวัน อ้อนขอคะแนนพี่น้องประชาชนก็ตาม แต่ก็พ่ายแพ้ ‘ปราการเหล็กสีน้ำเงิน’ อยู่ดี
@ ทักษิณ ชินวัตร
บางคนอาจประเมินว่า ‘ทักษิณ’ สิ้นมนต์ขลัง แต่ตามข้อเท็จจริง มีหลายจังหวัดที่ถ้าหาก ‘ทักษิณ’ ไม่ลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียงด้วยตัวเอง ก็อาจพ่ายแพ้ไปแล้วก็เป็นได้ โดยในจำนวนนี้มี 10 จังหวัดที่ ‘ทักษิณ’ ลงไป ‘เป่ามนต์’ หาเสียงด้วยตัวเอง บางจังหวัดหลายรอบหลายครั้ง ซึ่งชนะถึง 7 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย นครพนม มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี เชียงใหม่ ลำปาง แพ้ 3 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ เชียงราย และลำพูน
ที่น่าสนใจคือในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ แม้จะเป็น ‘บ้านเกิด’ ของ ‘ชินวัตร’ ก็ตาม แต่ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 ก็ถูก ‘ค่ายส้ม’ ลูบคม ‘เจาะไข่แดง’ ได้ สส.เขตเมืองไป 1 ที่นั่ง ทำให้ในการเลือกตั้งนายก อบจ.รอบนี้ ‘ทักษิณ’ ไม่ประมาท ไปช่วย ‘อดีต สว.ก๊อง’ พิชัย เลิศพงศ์อดิศร หาเสียง เบียดชัยชนะไปที่ 379,341 คะแนน ส่วนคู่แข่งสำคัญของค่ายส้มอย่าง พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ได้ไป 358,386 แต้ม ห่างกันราว 2 หมื่นเสียง เรียกได้ว่ากว่าจะชนะ ‘หืดขึ้นคอ’ เป็นบทเรียนว่า ‘ค่ายแดง’ จะประมาทพลังสีส้มไม่ได้อีกต่อไป
ที่น่าสนใจกว่านั้น ‘ค่ายส้ม’ เริ่มมองเห็นมนต์ขลัง ‘พลังบ้านใหญ่’ ชัดขึ้น โดยเฉพาะการคว้าชัยเลือกตั้งนายก อบจ.ลำพูน คือ ‘โกเฮง’ วีระเดช ภู่พิสิฐ บุตรชาย ‘โกเก๊า’ ประเสริฐ ภู่พิสิฐ ผู้กว้างขวาง อดีตนายก อบจ.ลำพูน อดีตประธานหอการค้าลำพูน นักธุรกิจใหญ่ที่เคยมีสัมพันธ์อันดีในยุครัฐบาลไทยรักไทย
แม้ ‘ธนาธร’ จะให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อยืนยันว่า ‘โกเฮง’ เดินบนถนนการเมืองกับพรรคส้มตั้งแต่ตั้งไข่พรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2561 และเลือกเกิดไม่ได้ที่ต้องใช้สกุล ‘ภู่พิสิฐ’ โดยยืนยันว่า ‘บ้านใหญ่’ ไม่ใช่ดูจากนามสกุล แต่ให้ดูพฤติกรรมก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำว่า ‘ภู่พิสิฐ’ หรือแม้แต่ ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ เองก็ตาม ช่วยปูทางให้เดินบนถนนการเมืองได้อย่างสะดวกสบายมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว?
ดังนั้นนอกเหนือจาก ‘ธงสีส้ม’ ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งให้ ‘โกเฮง’ แห่ง ปชน.คว้าชัยชนะนายก อบจ.ลำพูนแล้ว อีกปัจจัยสำคัญหนีไม่พ้นความเป็น ‘อดีตบ้านใหญ่’ ของตระกูล ‘ภู่พิสิฐ’ นั่นเอง
@ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
โดยหลังจากนี้คงต้องรอ ‘ปชน.’ สรุปบทเรียนผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่เกิดขึ้น ก่อนจะคัดสรรตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นระลอกใหม่ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลัง มี.ค. 2568 ซึ่งบรรดานายกเทศมนตรี และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หมดวาระกัน
ขณะที่เครือข่าย ‘ภูมิใจไทย’ เองก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะผ่านมาเกือบ 11 ปี นับตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2557 ‘ค่ายน้ำเงิน’ เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านเครือข่ายระบบราชการ ทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข ที่มี อสม. และกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลท้องถิ่น เป็นเหมือน ‘ลมใต้ปีก’ คอยหนุน ‘ภูมิใจไทย’ ให้เติบใหญ่ขึ้นอย่างมาก หากเทียบกับยุคก่อนรัฐประหาร
@ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)
แต่ส่วนใหญ่มักได้ในเรื่อง สส.เขตเป็นหลัก โดยมี ‘บ้านใหญ่’ หลายจังหวัดคอยเกื้อหนุนตอบแทน ส่วนเรื่องปาร์ตี้ลิสต์อาจได้จำนวนไม่มากนัก เพราะ ‘ชนชั้นกลาง-วัยรุ่น-คนรุ่นใหม่’ ล้วนเฮโลไปเลือก ‘พรรคส้ม’ ไม่ก็ ‘พรรคแดง’ กันหมด แต่ ‘ค่ายน้ำเงิน’ ก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเน้นทำพื้นที่ เกาะกลุ่มกับ ‘บ้านใหญ่’ เป็นหลักมากกว่า
นั่นจึงทำให้ ‘ภูมิใจไทย’ ที่ปัจจุบันก็เป็น ‘หอกข้างแคร่’ ของ ‘เพื่อไทย’ อยู่แล้ว เนื่องจาก 2 พรรคกำลังใช้ ‘สงครามตัวแทน’ ให้หน่วยงานภายใต้สังกัดการบริหาร รบกันในเรื่อง ‘เขากระโดง-สนามกอล์ฟอัลไพน์’ อาจต้องกินแหนงแคลงใจกันอีกครั้งในเรื่องความเป็น ‘พรรคร่วมรัฐบาล’
แม้ ‘ค่ายแดง’ จะกุมอำนาจเสียงในการบริหาร และที่นั่งในสภาฯล่าง แต่ ‘ค่ายน้ำเงิน’ ก็มีบารมีในสภาฯสูง และองค์กรอิสระบางแห่งเช่นเดียวกัน
ดังนั้นในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 จึงมีการคาดหมายกันว่า พรรคตัวแปรสอดแทรกสำคัญ และอาจมีบทบาทเป็นหนึ่งในพรรคจัดตั้งรัฐบาลหนีไม่พ้นภูมิใจไทย อยู่ที่ว่าจะ ‘ได้สัญญาณ’ ไปล่มหัวจมท้ายกับ ‘ค่ายไหน’ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาชน ที่คาดหวังจะได้ สส.เกิน 200 ที่นั่งกันทั้งคู่
คงต้องรอติดตามชมอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้านี้!