"...ในวัยหนุ่มเขาคือ ‘ทนายความดาวรุ่ง’ ก่อนเบนเข็มมาสู่ถนนการเมือง โดยล่มหัวจมท้ายกับ ‘พรรคไทยรักไทย’ โดยในช่วงนั้นเขาค่อนข้างเติบโตรวดเร็ว ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี 2554 ยุคสมัย ‘นารีขี่ม้าขาว’ ภูมิชนะการเลือกตั้งได้เป็น สส.ขอนแก่น จนถูกผลักดันให้นั่งเก้าอี้ รมช.พาณิชย์ ระหว่างปี 2554-2555 โดยหนึ่งในงานที่เขาเข้าไปมีบทบาทคือ กำกับดูแลเรื่อง ‘ระบายข้าวจีทูจี’..."
ในบรรดารัฐมนตรีสมัยรัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ หากไม่ใช่คอการเมืองจริง ๆ อาจไม่รู้จักหน้าค่าตาของ ‘ภูมิ สาระผล’ นักการเมืองรุ่นเก๋า สส.ขอนแก่น ชีวิตพลิกผันต้องมานั่งเก้าอี้ รมช.พาณิชย์ มากนัก
เพราะบุคลิก-โพรไฟล์ส่วนตัวค่อนข้างเก็บตัว และเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์วงสื่อ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่าน ‘เอแบคโพล’ เมื่อปี 2555 ที่เขาตกอยู่ในอันดับ 4 ‘รัฐมนตรีโลกลืม’
ทว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ‘ภูมิ สาระผล’ คือ หนึ่งใน ‘คีย์แมน’ คดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ร่วมกับ ‘บุญทรง เตริยาภิรมย์’ รมว.พาณิชย์ ร่วมกันทุจริตการระบายข้าวจีทูจี ความเสียหายรวมกันกว่า 2 หมื่นล้านบาท และถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 36 ปี เมื่อปี 2560 โดยระหว่างถูกจำคุก เขาได้ลดวันต้องโทษ 2 รอบจนเหลือโทษจำคุก 8 ปี ล่าสุด เขาได้รับการ ‘พักโทษ’ เมื่อเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา และจะครบกำหนดการคุมประพฤติในวันที่ 25 ส.ค. 2568
ประวัติส่วนตัว ‘ภูมิ สาระผล’ ปัจจุบันอายุ 69 ปี เกิดและเติบโตที่ อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น จบปริญญาตรี นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง จบปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ และประกาศนียบัตรขั้นสูง สาขารัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ชีวิตครอบครัวสมรสกับ อรอนงค์ สาระผล (สกุลเดิม วงศ์ก่อ) อาจารย์ประจำวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ ภณิดา สาระผล และภพพล สาระผล (ในคดีร่ำรวยผิดปกติ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลว่า ‘ภูมิ’ ซุกทรัพย์สินต่าง ๆ ไว้ที่ ‘ภริยา-บุตร 2 คน’)
ในวัยหนุ่มเขาคือ ‘ทนายความดาวรุ่ง’ ก่อนเบนเข็มมาสู่ถนนการเมือง โดยล่มหัวจมท้ายกับ ‘พรรคไทยรักไทย’ โดยในช่วงนั้นเขาค่อนข้างเติบโตรวดเร็ว ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี 2554 ยุคสมัย ‘นารีขี่ม้าขาว’ ภูมิชนะการเลือกตั้งได้เป็น สส.ขอนแก่น จนถูกผลักดันให้นั่งเก้าอี้ รมช.พาณิชย์ ระหว่างปี 2554-2555 โดยหนึ่งในงานที่เขาเข้าไปมีบทบาทคือ กำกับดูแลเรื่อง ‘ระบายข้าวจีทูจี’
สำหรับโครงการระบายข้าวจีทูจียุค ‘รัฐบาลยิ่งลักษณ์’ ข้อมูลจากการตรวจสอบของสื่อ สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บ่งชี้ตรงกันว่ามี ‘คีย์แมนหน้าฉาก’ อยู่ 3 คนในฝ่ายการเมืองคือ ‘บุญทรง เตริยาภิรมย์-ภูมิ สาระผล-พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ’ (คนหลังคือเลขานุการ รมว.พาณิชย์)
โดยบทบาทของ ‘ภูมิ’ ในคดีระบายข้าวจีทูจี ปรากฏตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ เมื่อปี 2560 ดังนี้
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายภูมิ ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ครั้งที่ 1/2554 มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวกรณีขายข้าวแบบจีทูจีให้รัฐวิสาหกิจ และในเรื่องหลักเกณฑ์ให้สามารถเจรจาขายเป็นราคา Ex-warehouse ซึ่งไม่เคยปรากฏในยุทธศาสตร์การระบายข้าวฉบับใดมาก่อน ที่ประชุมยังมีมติเสนอยุทธศาสตร์การระบายข้าวให้ประธานกรรมการ กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เห็นชอบ แทนที่จะเสนอให้ที่ประชุม กขช. เห็นชอบเพื่อให้เกิดมุมมองหลากหลาย รอบคอบ รัดกุม รวมถึงไม่เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ
หลังจากประธาน กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์) เห็นชอบเพียง 5 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศขอซื้อข้าว สอดรับกับยุทธศาสตร์การระบายข้าวดังกล่าวอย่างเหมาะเจาะพอดี ยิ่งกว่านั้นบริษัท กวางตุ้งฯ ขอซื้อข้าวในสต็อกปริมาณทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านตันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พร้อมกับขอซื้อข้าวในท้องนาที่ยังไม่ถึงกำหนดเก็บเกี่ยวปริมาณ 2 ล้านตันด้วย ซึ่งตรงกับระยะเวลาการเริ่มต้นดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างพอดิบพอดี ส่อแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการจัดทำยุทธศาสตร์การระบายข้าวเพื่อรองรับรับรัฐวิสาหกิจของต่างประเทศให้มาซื้อข้าวรัฐบาลไทยได้โดยไม่ต้องได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของตน
หลังจากนั้นเพียง 2 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือฉบับที่ 2 ถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ขอนัดหมายเจรจาในวันที่ 5 ต.ค. 2554 โดยปกติแล้วกระบวนการและขั้นตอนทางปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายแบบจีทูจี ต้องเสนอขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาในเรื่องปริมาณ ราคา เงื่อนไขอื่น ๆ ต่อนายภูมิก่อนเจรจา แต่ไม่มีการขออนุมัติกรอบการเจรจา ทั้งการเจรจาได้ข้อสรุปและขอความเห็นชอบผลภายในวันเดียว และนายภูมิ ได้ให้ความเห็นชอบเงื่อนไขดังกล่าว และมีการลงนามสัญญาในวันรุ่งขึ้น รวมใช้ระยะเวลาทั้งหมดเพียง 9 วัน ทั้งที่สัญญามีมูลค่าสูงหลายหมื่นล้านบาท และผลการเจรจาปรากฏข้อพิรุธหลายประการดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องราคาขายตามบันทึกขอความเห็นชอบผลการเจรจา ระบุว่า คำนวณราคาเฉลี่ยสำหรับข้าวทุกชนิดได้ตันละ 13,941 บาท หากขายตันละ 10,000 บาท ตามข้อเสนอของบริษัท กวางตุ้งฯ จะทำให้ภาครัฐสูญเสียทันที 6,350 ล้านบาท
ในบันทึกยังระบุอีกว่า หากข้อมูลการเจรจาแพร่กระจายออกสู่สาธารณชนอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ประกอบการในประเทศว่า ขายราคาต่ำเกินไป ไม่เหมาะสมกับตลาด นอกจากนี้ยังมีข้อพิรุธว่า ให้บริษัท กวางตุ้งฯ สามารถนำข้าวที่ซื้อส่งไปยังประเทศที่สามในลักษณะเป็นการพาณิชย์ได้ ซึ่งไม่เคยปรากฏเงื่อนไขนี้มาก่อน และส่งผลเสียต่อไทย แต่นายภูมิก็ให้ความเห็นชอบ โดยอ้างว่า ไม่ทราบ เพราะนายมนัส ไม่แจ้ง ยิ่งแสดงให้เห็นข้อพิรุธถึงความไม่สมเหตุสมผล นายภูมิ ย่อมทราบถึงความเสียหายจากการขายข้าวในราคาต่ำมากโดยไม่มีเหตุผลสมควร แต่ไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย กลับให้การเห็นชอบผลการเจรจาในวันนั้นเอง
หลังจากทำสัญญาเพียง 7 วัน นายภูมิ ยังให้ความเห็นชอบให้แก้ไขสัญญาฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 โดยเพิ่มวิธีการชำระค่าข้าวด้วยวิธีการโอนเงินผ่านธนาคาร และชำระด้วยแคชเชียร์เช็ค ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ใช้สำหรับการขายข้าวแบบจีทูจี เป็นผลให้มการนำข้าวตามสัญญามาเวียนขายกันภายในประเทศ หลังจากนั้นมีการแก้ไขสัญญาอีกหลายครั้งถี่มากผิดปกติ และทุกครั้งไม่ปรากฏว่าได้เจรจากับบริษัท กวางตุ้งฯ และแต่ละครั้งล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อทั้งสิ้น ขณะเดียวกันยังไม่รายงานผลการขายข้าวดังกล่าวแก่ที่ประชุม กขช. เพื่อเป็นหน้าตาของประเทศที่มีการขายข้าวไปได้ นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง
พฤติการณ์ดังวินิจฉัยข้างต้นแสดงให้เห็นว่า นายภูมิ ทราบดีอยู่แล้วว่า บริษัท กวางตุ้งฯ เป็นรัฐวิสาหกิจของมณฑลจีน แต่ร่วมกันวางแผนให้บริษัท กวางตุ้งฯ เสนอขอซื้อข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ โดยแอบอ้างว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนมาทำสัญญาในราคาต่ำกว่าท้องตลาด แล้วนำไปขายต่อเพื่อรับประโยชน์ส่วนต่าง จึงเป็นการจัดทรัพย์โดยมิชอบ อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 4 วรรคหนึ่ง 10 และ 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
มีความผิด 2 กระทรง ลงโทษตามกฎหมายที่หนักสุดคือ มาตา 12 พ.ร.บ.ฮั้ว ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกกระทงละ 18 ปี รวม 36 ปี
@ ภูมิ สาระผล
หลังจากติดคุกด้วยคดีดังกล่าวแล้ว บทบาทของ ‘ภูมิ’ ก็เงียบหายไป แม้แต่ตอนเขาได้รับการพักโทษ ก็แทบไม่มีใครรู้ กระทั่งถึงคิว ‘บุญทรง’ ได้รับการพักโทษบ้าง สื่อจึงติดตามตรวจสอบผู้ต้องโทษในขบวนการทุจริตระบายข้าวจีทูจี จึงถึงบางอ้อว่า นอกจาก ‘บุญทรง’ แล้ว ‘ภูมิ’ และผู้ต้องโทษรายอื่น ๆ ล้วนได้รับการพักโทษกันไปหลายราย
อย่างไรก็ดีชนักปักหลังที่ยังเหลือของเขานั้น นอกจากคดีร่ำรวยผิดปกติ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.สั่งการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเชิงลึก นักการเมือง-ข้าราชการระดับสูง ที่เข้าไปเกี่ยวข้องในโครงการรับจำนำข้าว และระบายข้าวจีทูจี ได้แก่ 1.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2.บุญทรง เตริยาภิรมย์ 3.ภูมิ สาระผล 4.พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ 5.มนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ 6.ทิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว 7.อัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ
คดีนี้เบื้องต้นมี 2 รายที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติออกมาอย่างเป็นทางการคือ 1.มติชี้มูลผิด ‘ภูมิ’ รวยผิดปกติ 19.9 ล้านบาท 2.มติเอกฉันท์ 8 เสียง (ตามกรรมการที่มีอยู่ขณะนั้น) เมื่อปี 2565 ยกคำร้องกล่าวหา อัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ หรืออัฐฐิติพงศ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการกรม และเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าวหรือผู้อำนวยการกองบริหารการค้าข้าว สังกัดกรมการค้าต่างประเทศ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป
ยังเหลือคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุด ที่ศาลนัดพิจารณาประเด็นต้องชดใช้ค่าเสียหายในการทุจริตโครงการระบายข้าวจีทูจี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยในรายของ ‘ภูมิ สาระผล’ อาจต้องชดใช้ค่าเสียหาย กว่า 2,242 ล้านบาทอีกด้วย
เรื่องนี้ ประวิตร บุญเทียม รองประธานศาลปกครองสูงสุด ในฐานะประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงคดีเรียกความเสียหายทางละเมิด ที่อยู่ระหว่างอุทธรณ์ในชั้นศาลปกครองสูงสุด ทั้งคดีเรียกค่าเสียหายจาก ‘ยิ่งลักษณ์’ 35,000 ล้านบาท และ 5 นักการเมือง-เจ้าหน้าที่รัฐ (ภูมิ และบุญทรง อยู่ในส่วนนี้) กว่า 2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสิ้นสุดภายในปี 2568
ขณะที่การ ‘พักโทษ’ ภูมิ สาระผล และบรรดาผู้ต้องโทษคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีก่อนหน้านี้ ถูกโยงว่า อาจเป็นการ ‘เปิดทาง’ ให้ภารกิจลับพา ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ที่หลบหนีคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โทษจำคุก 5 ปี ในต่างประเทศ กลับเข้าไทย ซ้ำรอย ‘นายใหญ่-พี่ชาย’ หรือไม่?
ทว่า ‘พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง’ รมว.ยุติธรรม เคยชี้แจงแล้วว่า ในส่วนของนายบุญทรง บางคนบอกว่าโทษดูเยอะ แต่ถูกพักโทษเพราะได้รับพระราชทานอภัยโทษมา 4 ครั้ง เหลือโทษ 10 ปี ถูกลงโทษมาแล้ว 7 ปี 6 เดือน เหลือประมาณ 3 ปี โดยการพักโทษจะถือภูมิลำเนา ของผู้อุปการะคือลูกชาย อาศัยอยู่ที่จ.เชียงใหม่ โดยติดกำไลอีเอ็ม และต้องรายงานตัวกับกรมคุมประพฤติที่เชียงใหม่ ส่วนคนอื่น ๆ ในคดีจำนำข้าว และข้าราชการมีหลายคนที่ได้พักโทษ ไม่เลือกปฏิบัติ ส่วนใหญ่กฎหมายการพักโทษเป็นการบริหารของกรมราชทัณฑ์ ไม่มาถึงตัวรัฐมนตรี
ทั้งหมดคือข้อมูล-เบื้องหลัง ‘ภูมิ สาระผล’ อดีตนักการเมืองลายคราม เติบโตก้าวขึ้นสู่เก้าอี้เสนาบดียุค ‘ยิ่งลักษณ์’ ก่อนถูกสอบปมทุจริตฉาว ถูกจำคุก และสุดท้ายต้องพ้นทุกตำแหน่งที่เคยได้มาในวันนี้