"...มีหลายแหล่งข้อมูลวิเคราะห์ประเมินกันว่า สาเหตุประการสำคัญน่าจะมาจากการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงตัดอินเทอร์เน็ต และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของ ‘แก๊งจีนเทา’ ซึ่งฝังตัวในหลายเมืองชายแดนของกัมพูชา ที่ว่ากันว่าเป็น ‘บ่อเงินบ่อทอง’ ของ ‘เครือข่ายการเมือง-ข้าราชการ’ ในกัมพูชา..."
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา กำลังเดินหน้าเข้าสู่ ‘ภาวะวิกฤติ’
พลันที่ ‘ฮุน เซน’ อดีตผู้นำกัมพูชา เผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างตัวเขากับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีของไทย โดยมีคีย์เวิร์ดสำคัญคือ การมองว่า ‘กองทัพ’ เป็น ‘ฝ่ายตรงข้าม’ กับรัฐบาล รวมถึงถ้อยคำที่ใช้สนทนาดังกล่าว แม้จะพยายามโน้มน้าวจูงใจให้กัมพูชาผ่อนคลายลง
แต่บางฝ่ายมองว่า เหมือนใช้ ‘สายสัมพันธ์ส่วนตัว’ เข้าไปแก้ไข ‘ปัญหาสำคัญของชาติ’ มากกว่า?
ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียด นับตั้งแต่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ‘ฮุน มาเนต’ แต่งตั้งคณะทำงานยื่นฟ้องต่อ ‘ศาลโลก’ หรือ ICJ หลังจบการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ แต่ยังตกลงเรื่อง ‘เขตแดน’ กันไม่ได้ โดยกัมพูชา กล่าวอ้างว่า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต เป็นของกัมพูชา ท่ามกลางการปลุกกระแส ‘ชาตินิยม’ อย่างนัก ต่างฝ่ายต่างขุดข้อมูลมาดิสเครดิตฝั่งตรงข้ามอย่างดุเดือด
เรื่องนี้ทำเอา ‘ฮุน เซน’ ผู้มากบารมีของกัมพูชา เป็นเดือดเป็นร้อนอย่างหนัก ถึงกับระบายผ่านโซเชียลมีเดียหลายครั้ง โดยประเด็นที่น่าสนใจนอกเหนือจากคลิปเสียงสนทนากับ ‘นายกฯแพทองธาร’ แล้ว ก่อนหน้านี้มีตอนหนึ่งพาดพิง ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ อดีตแกนนำ นปช. ปัจจุบันคือแกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร รวมถึง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายเก่า
“จตุพร พรหมพันธุ์ ที่เคยลี้ภัยในกัมพูชา โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อย ตอนแรกคุณ ที่เป็นคนเสื้อแดง มาลี้ภัยที่นี่ แต่ตอนนี้คุณเริ่มโจมตีกัมพูชา โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อย คุณรู้ถึงความสามารถของผม (ฮุน เซน) คุณเคยลี้ภัยกับผม ผมเคยให้คุณกิน ผมเคยเลี้ยงดูคุณ” เป็นคำกล่าวตอนหนึ่งของ ‘ฮุน เซน’ ถึง ‘อดีตประธาน นปช.’
นับเป็นครั้งแรก ๆ ของ ‘ฮุน เซน’ ที่พูดออกมาจากปากผ่านสื่อว่า เคยเปิดประเทศให้ ‘คนเสื้อแดง’ ลี้ภัยเข้าสู่กัมพูชา และเคยเลี้ยงดูปูเสื่อ ให้ที่อยู่ที่กินแก่ ‘ผู้ลี้ภัยทางการเมือง’
อย่างไรก็ดี ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ ออกมาสวนกลับว่า ไม่เคยลี้ภัยทางการเมืองเข้ากัมพูชา พร้อมเปิดเบื้องหลังกล่าวอ้างว่า ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เคยโทรศัพท์มาสั่งการให้เขาไปพบ ‘ฮุน เซน’ เพื่อลี้ภัยหลังเหตุการณ์สลายชุมนุมปี 2553 แต่เขาปฏิเสธ และยอมติดคุกอยู่ไทย
หากคนที่เป็นคอการเมืองหน่อย น่าจะทราบดีว่า กัมพูชา มิใช่แค่ดินแดนสวรรค์ของ ‘กาสิโน-ธุรกิจสีเทา’ ตามที่ถูกครหา แต่เป็นอีกหนึ่ง ‘แดนสวรค์’ ของบรรดา ‘ผู้ลี้ภัย’ โดยเฉพาะ ‘นักเคลื่อนไหวทางการเมือง-นักเลือกตั้ง’ จากไทย ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง เช่น การรัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมา (2549 และ 2557) รวมถึงหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมม็อบเสื้อแดง (2552-2553)
@ "ฮุน เซน"
ที่สำคัญ ‘ฮุน เซน’ นอกเหนือจากเป็นหนึ่งในผู้มากบารมีดินแดนกัมพูชาแล้ว ยังมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับ ‘เครือข่ายการเมืองไทย’ มาร่วม 20 ปี สังเกตได้ว่าในช่วงเกิดวิกฤติการเมืองไทย นักการเมือง ‘บางค่าย’ ต้องหลบหนีลี้ภัย มักไปซุกตัวอยู่ที่กัมพูชาแทบทั้งสิ้น แม้ปัจจุบันบางคนจะทยอยออกไปประเทศที่ 3 หรือทยอยเดินทางกลับไทยมาแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังพักอาศัยอยู่ รออายุความคดีหมด
หากนับผู้ลี้ภัยของไทย สามารถจำแนกได้ 3 กลุ่มคือ
1.นักเลือกตั้ง-บิ๊กเนมการเมือง ที่อาศัยกัมพูชาเป็น ‘ช่องทางธรรมชาติ’ ในการหลบหนีหมายจับ หรือคำพิพากษาของศาลเพื่อจำคุก มีหลายคนหนีไปทางกัมพูชา ก่อนเดินทางต่อไปประเทศที่ 3 เช่น ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ อดีตนายกฯ หลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โทษจำคุก 5 ปี
โดยเมื่อปี 2560 มีรายงานข่าวอ้างแหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงว่า ‘ยิ่งลักษณ์’ หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาฯ โดยผ่านไปยังกัมพูชา ก่อนขึ้นเครื่องบินไปยังประเทศที่ 3 แม้ทางการกัมพูชาจะพยายามปฏิเสธเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ข้อเท็จจริงเมื่อปี 2562 พบว่าเธอใช้พาสปอร์ต ‘กัมพูชา’ ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หรือทำธุรกิจต่าง ๆ ในฮ่องกง เป็นต้น นี่ยังไม่นับบรรดานักเลือกตั้ง หรือ ‘บ้านใหญ่’ บางจังหวัด ที่อาศัย ‘กัมพูชา’ เป็นช่องทางธรรมชาติ เพื่อหลบหนี เวลาถูกหมายจับ หรือโดนคำพิพากษาจำคุก
2.อดีตแกนนำม็อบเสื้อแดง-นปช. ยกตัวอย่างที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากที่สุดคือ ‘กี้ร์ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง’ เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ยืนยันข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง โดยยก ‘ฮุน เซน’ เปรียบเสมือน ‘พ่อ’ โดยเล่าเหตุการณ์ระทึกระหว่างหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐไทย ก่อนเข้าประเทศกัมพูชา
หลังจากบรรทัดนี้เป็นคำบอกเล่าของ ‘กี้ร์ อริสมันต์’
“พอถึงนั่นปุ๊บ ทางฝั่งกัมพูชา เขาดูแลเราอย่างดี เราจึงเขียนว่า ทหารไทยไล่ฆ่า ทหารกัมพูชาผู้ปกป้อง เขียนแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น เสร็จแล้วผมก็กลับเข้าไปพนมเปญ ช่วงนั้นเข้าพนมเปญได้พักหนึ่ง อยู่โรงแรมก่อน แล้วก็ออกจากพนมเปญ แล้วก็ย้ายสลับไปเรื่อย ๆ ไม่เป็นที่ ชายแดนลาวบ้าง ชายแดนเวียดนามบ้าง จนกระทั่งสถานการณ์ดีขึ้น เราก็กลับเข้ามาในพนมเปญอีกทีหนึ่ง”
“ในช่วงตอนนั้นก็ ถามว่ามันยากลำบากไหม มันก็ยากลำบากเหมือนกัน เพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ และตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันคิดสองอย่าง เหมือนกับตอนพฤษภาทมิฬ เราก็เคยหนีไปรอบหนึ่ง ครั้งนี้ทำไมเราต้องหนีด้วย พฤษภาทมิฬก็หนีไปยาวเหมือนกัน ครั้งนี้อาจหนียาวกว่า และคิดว่าคงไม่ได้กลับ คราวนี้เราก็ตระเวนโลก มีพาสสปอร์ตพิเศษ สำหรับนักต่อสู้ทางประชาธิปไตย มีหลายประเทศให้ ก็ให้ไปที่ไหนบ้าง รัสเซีย ดูไบ บรูไน พม่า จีน ยุโรป เฉลี่ย ๆ แบ่งไป และเราก็คิดว่า เราจะลี้ภัยทางการเมือง คิดว่าคงไม่ได้กลับเพราะว่าเราถูกกล่าวหาว่าล้มล้างสถาบันเป็นเรื่องใหญ่”
“หลังจากนั้นเมื่อเข้าไปในกัมพูชา ก็ได้ “นายใหญ่” คุณทักษิณ (ชินวัตร) และสมเด็จฮุน เซน ให้การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เราติดหนี้บุญคุณ ทั้งไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน พุดง่าย ๆ ว่าเราเรียกเขาว่าพ่อโดยไม่กระดากใจ เพราะถ้าไม่มีท่านผมคงตาย ไม่มีประเทศกัมพูชาผมคงตายด้วย”
นอกเหนือจาก ‘กี้ร์ อริสมันต์’ แล้ว ยังมี ‘แดงฮาร์ดคอร์-แดงนกพิราบ’ อีกหลายคน เข้าไปลี้ภัยทางการเมืองในกัมพูชา ทั้งหลังเหตุการณ์สลายชุมนุมปี 2553 และหลังรัฐประหารปี 2557 เท่าที่ปรากฏเป็นรายงานข่าวต่อสาธารณะ เช่น นิสิต สินธุไพร (บิดา น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายฯ) จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ลี้ภัยไปตั้งแต่ช่วงปี 2551 (ปัจจุบันเขากลับเข้าไทยเรียบร้อยแล้ว และเดินสายพีอาร์ให้รัฐบาล) มีแกนนำแดงแถว 2-3 หลายคน เดินทางกลับไทยแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น โด่ง อรรถชัย อนันตเมฆ เสงี่ยม สำราญรัตน์ และสำเริง ประจำเรือ เป็นต้น
หลายคนเคยเข้ากัมพูชา ก่อนต่อเครื่องไปประเทศที่ 3 เช่น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีต มท.1 ลี้ภัยหลังรัฐประหารปี 2557 ไปร่วมก่อตั้ง ‘องค์กรเสรีไทย’ ร่วมกับ ‘จักรภพ’ แต่ดำเนินงานมาหลายปีไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ ‘จักรภพ’ เดินทางกลับไทยมาเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่มีรายงานว่า ‘จารุพงศ์’ เตรียมเดินทางกลับไทยในเร็ว ๆ นี้ เช่นเดียวกับ ‘สุนัย จุลพงศธร’ อดีต สส.เพื่อไทย ‘สายนายใหญ่’ โดยทั้ง 2 คนลี้ภัยไปอยู่สหรัฐฯมานานหลายปี
3.กลุ่มนักเคลื่อนไหว-นักกิจกรรมทางการเมือง โดยส่วนใหญ่สายนี้มักเข้ามาหลบที่กัมพูชา หรือฝั่งลาว เนื่องจากถูกกล่าวหา มีหมายจับ หรือคำพิพากษาให้จำคุก ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นหลัก โดยบางคนเข้ามาหลบที่กัมพูชาเพื่อใช้เป็นทางผ่าน ก่อนถูก ‘สัญญาณพิเศษ’ เดินหน้าปราบปราม โดยมีผู้ลี้ภัยไทยคดีการเมืองในลาวหลายคนถูก ‘อุ้มฆ่า’ ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ต้องรีบเดินทางต่อไปประเทศที่ 3 เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (ปัจจุบันลี้ภัยอยู่ฝรั่งเศส) วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ (เสียชีวิตแล้ว) เป็นต้น
ดังนั้นการหักกันระหว่าง ‘ตระกูลฮุน-ตระกูลชินวัตร’ ครั้งนี้จะเป็นการปิดประตูแดนสวรรค์ของ ‘ผู้ลี้ภัย-นักการเมืองทุจริต’ หรือไม่?
ประเด็นที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ตระกูลฮุน’ และ ‘ตระกูลชินวัตร’ เป็นไปในลักษณะ ‘น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า’ มายาวนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่สมัย ‘ทักษิณ’ ก้าวเข้าสู่ถนนทางการเมือง จนก้าวเข้าสู่เก้าอี้นายกฯสมัยแรกในปี 2544 ลากยาวมาถึงปี 2549 แม้ว่า ‘ทักษิณ’ จะถูกรัฐประหาร จนต้องระเห็จระเหินหลบหนีคดีความไปต่างประเทศหลายสิบปี แต่บางจังหวะเขาก็ยังเข้ามาพัก เพื่อติดต่อกับ ‘สหายรัก’ อย่าง ‘ฮุน เซน’ เสมอ ๆ
ดังนั้นสาเหตุที่ ‘ฮุน เซน’ จู่ ๆ ออกมา ‘หักดิบ’ กับ ‘ตระกูลชินวัตร’ โดยการปล่อยคลิปเสียงสนทนากับ ‘แพทองธาร’ หวังบ่อนทำลายเสถียรภาพทางการเมืองไทย และล้มล้างอำนาจบารมี ‘ตระกูลชินวัตร’ ในการเมืองไทยครั้งนี้ ย่อมน่าสนใจ
มีหลายแหล่งข้อมูลวิเคราะห์ประเมินกันว่า สาเหตุประการสำคัญน่าจะมาจากการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงตัดอินเทอร์เน็ต และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของ ‘แก๊งจีนเทา’ ซึ่งฝังตัวในหลายเมืองชายแดนของกัมพูชา ที่ว่ากันว่าเป็น ‘บ่อเงินบ่อทอง’ ของ ‘เครือข่ายการเมือง-ข้าราชการ’ ในกัมพูชา
ประจวบกับกัมพูชาใกล้มีเลือกตั้งใหม่ ความนิยมของ ‘ฮุน มาเนต’ นายกฯคนปัจจุบัน ยังบารมีไม่เทียบเท่า ‘บิดา’ อย่าง ‘ฮุน เซน’ ทำให้ต้องงัดวาทกรรม ‘ชาตินิยม’ ออกมาโจมตีไทย และปลุกกระแสคนในชาติขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนสมัย ‘เขาพระวิหาร’
ที่น่าสนใจ บริบททางการเมือง 20 กว่าปีก่อน กับ ณ ตอนนี้แตกต่างกันอย่างมาก ช่วงทศวรรษ 2540 ‘ฮุน เซน’ และ ‘ทักษิณ’ เป็นสหายรัก และมีอำนาจบารมีล้นฟ้าในประเทศของตัวเอง แต่ปัจจุบัน ‘ฮุน เซน’ ยังคงกุมอำนาจไว้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยส่งลูกชาย 3 คน คนโตนั่งนายกฯ คนกลางนั่งผู้อำนวยการข่าวกรอง และรอง ผบ.ทบ. ส่วนคนเล็กนั่งรองนายกฯ แตกต่างกับ ‘ทักษิณ’ ที่ต้องกลับมารับโทษจำคุกคดีทุจริต และเพิ่งพ้นโทษออกมา ทำได้เพียงส่ง ‘ลูกสาว’ เข้าไปนั่งเก้าอี้นายกฯ ส่วนตัวเองเดินสายช่วยเหลืออยู่วงนอก ขณะที่ผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา ‘ก๊กแดง’ คะแนนนิยมน้อยลงอย่างน่าใจหาย ทำให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว
ด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น จึงอาจทำให้ ‘ฮุน เซน’ ตัดสินใจทีเด็ดทีขาด ยอมเสียภาพลักษณ์ผู้นำในสายตาชาวโลก เอาบทสนทนาส่วนตัวมาปล่อย หวังดิสเครดิตประเทศไทย อีกทางหนึ่งคือสามารถบ่อนทำลายเสถียรภาพทางการไทย เห็นได้จากขณะนี้ พรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ ‘ก๊กแดง’ ประกาศถอนตัว ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ นัดประชุมหารือถึงเรื่องนี้โดยด่วน
@ ทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ดีว่ากันว่า บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลเกือบทั้งหมด ยกเว้นภูมิใจไทย ยังคงเดินหน้า สนับสนุน ‘แพทองธาร’ นั่งเก้าอี้นายกฯต่อ พร้อมกับปรับ ครม.ใหม่ แม้ว่าเสียงรัฐบาลจะ ‘ปริ่มน้ำ’ ก็ตาม แต่ก็ยังมีแรงจาก ‘งูเห่า’ คอยช่วยอยู่ ซึ่งคาดว่าเสียงข้างมากจะพุ่งไปราว 270 เสียง ประคับประคองให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
แม้จะมีความพยายามจากบางพรรค ให้แก้ไขสถานการณ์ด้วยการให้ ‘นายกฯ’ ลาออก เปิดทางเลือกนายกฯใหม่ โดยว่ากันว่าจะเอาแคนดิเดตนายกฯจากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง แต่เหมือนดีลนี้ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว เพราะน่าจะไม่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้
แต่ถ้า ‘นายกฯ’ ประกาศ ‘ยุบสภาฯ’ จะเข้าทาง ‘ก๊กส้ม’ ที่เตรียมพร้อมสรรพกำลังไว้ แน่นอนว่า ณ เวลานี้คะแนนนิยมของ ‘ก๊กส้ม’ สูงกว่า ‘ก๊กแดง’ อย่างมาก แถมยังไม่ได้คุมมหาดไทย ซึ่งกำกับกลไกท้องถิ่น หากยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ จะทำให้เสียเปรียบทางการเมืองแบบสุด ๆ องคาพยพพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบัน จึงพยายามแพ็คกันไว้ เพื่อไปกันต่ออย่างน้อยก็อีก 1 ปี
ดังนั้นการหักหลังของ ‘ฮุน เซน’ ครั้งนี้ นอกเหนือจากจะเป็นการ ‘ปิดประตู’ แดนสวรรค์ ‘นักลี้ภัยไทยแล้ว ย่อมสะเทือนฐานอำนาจ ‘ตระกูลชินวัตร’ แต่ก็ไม่อาจล้มล้างรัฐบาลลงได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
บทสรุปสุดท้ายหมากเกมนี้จะจบลงอย่างไร ต้องติดตาม