ป.ป.ช.ลงมติชี้มูลความผิด 'สุรเดช พรหมโชติ' อดีตรองเลขาธิการ สกสค. ร่ำรวยผิดปกติ 13.9 ล้าน พัวพันทุจริตเงินกู้ ช.พ.ค. ลงทุนโครงการพลังงานไฟฟ้าขยะชุมชน มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นไม่สัมพันธ์รายได้ ชี้แจงแหล่งที่มาไม่ได้ 26 รายการ ส่ง อสส. ฟ้องศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แจ้งผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษไล่ออก- ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่มติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ชี้มูลความผิด นายสุรเดช พรหมโชติ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่ำรวยผิดปกติ รวมเป็นเงินจำนวน 13,916,451 บาท
นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยรายละเอียดว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2558 ขณะที่นายสุรเดช พรหมโชติ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้ทุจริตเงินกองทุนสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ที่นำไปร่วมลงทุนในโครงการพลังงานไฟฟ้าขยะชุมชนกับบริษัทเอกชน และมีการฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารของตนเองเป็นจำนวนมาก โดยนายสุรเดช พรหมโชติ และคู่สมรส มีรายได้ตามแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2555 – 2558 รวมจำนวน 7,252,347.54 บาท แต่มีทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาได้ จำนวน 26 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,916,451 บาท ดังนี้
1. เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขากระทรวงศึกษาธิการ ชื่อบัญชี นายสุรเดช พรหมโชติ จำนวน 19 รายการ รวมเป็นเงิน 8,956,866 บาท
2. เงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา
ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ (ร.พ. รามาธิบดี) ชื่อบัญชี นายสุรเดช พรหมโชติ จำนวน 7 รายการ รวมเป็นเงิน 4,959,585 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า นายสุรเดช พรหมโชติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมเป็นเงินจำนวน 13,916,451 บาท
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้แจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกโดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125 ด้วย
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา