
ภาพเหตุการณ์ประท้วงครั้งรุนแรงที่เนปาล กลายเป็นข่าวช็อกโลก และช็อกความรู้สึกของผู้คน
เหตุใดนักการเมืองซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ผู้แทนประชาชน” หรือ “ผู้ใช้อำนาจแทนปวงชน” จึงถูกต่อต้านเกลียดชังถึงเพียงนี้
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดเฉพาะที่เนปาล แต่ก่อนหน้านั้นมีการเคลื่อนไหวที่ร้ายแรงไม่แพ้กันที่อินโดนีเซีย
สองประเทศนี้ล้วนอยู่ในเอเชีย ซึ่งมีรากเหง้าและวัฒนธรรมบางอย่างร่วมกันอยู่บ้าง
แต่ปัญหาที่เป็นชนวนเหตุของทั้งสองประเทศดูจะไม่แตกต่างกัน นั่นก็คือ ความเหลื่อมล้ำ อภิสิทธิ์ชน และการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยที่ “การเมือง” ซึ่งแม้จะเป็นประชาธิปไตย ทั้งรัฐสภาและรัฐบาลไม่สามารถจัดการปัญหาได้
หนำซ้ำยังเป็นต้นเหตุเสียเอง
ขณะที่อีกหนึ่งจุดร่วมของทั้งสองประเทศก็คือ ผู้นำการเคลื่อนไหวคือ “คนรุ่นใหม่” ที่เรียกว่า Gen Z
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อดีตผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งวันนี้ย้ายชายคามาอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความสะท้อนปรากฏการณ์นี้...
จากเนปาลถึงอินโดนีเซีย: เมื่อคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นท้าทายชนชั้นนำการเมือง
@@ Gen Z กำลังเขย่าการเมืองเอเชีย
ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียได้เห็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่เข้มแข็งและทรงพลังอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ชนชั้น Gen Z ซึ่งเติบโตมากับอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับสาร แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้สร้างวาทกรรม” และ “ผู้กำหนดทิศทางการเมือง” ในหลายประเทศ
สองกรณีที่สะท้อนปรากฏการณ์นี้ได้ชัดเจนที่สุดคือ เนปาล และ อินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศต่างก็เผชิญแรงกดดันจากเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และอภิสิทธิ์ของชนชั้นนำ
แม้จะเริ่มต้นจากประเด็นที่ดูเล็กน้อย แต่ก็ขยายกลายเป็นคลื่นประท้วงใหญ่ที่สั่นสะเทือนเสถียรภาพทางการเมือง
@@ เนปาล: จากการบล็อกโซเชียลมีเดียสู่การโค่นผู้นำ
ต้นเดือนกันยายน 2025 รัฐบาลเนปาลสร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ด้วยการประกาศบล็อกการเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมกว่า 20 แพลตฟอร์ม รวมถึง Facebook, X (Twitter เดิม) และ YouTube
มาตรการดังกล่าวอ้างเหตุผลว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการลงทะเบียนใหม่ของรัฐ และยังถูกกล่าวหาว่าเป็นพื้นที่เผยแพร่ “ข่าวปลอม (fake news)” และ “คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech)” ที่อาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับโลกดิจิทัล สื่อออนไลน์ไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสารเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ในการเรียนรู้ ทำงาน สร้างรายได้ และเป็นเวทีในการแสดงออกทางการเมือง การบล็อกโซเชียลจึงถูกตีความว่าเป็นความพยายามปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก และควบคุมเสียงวิจารณ์รัฐบาลอย่างโจ่งแจ้ง
ปฏิกิริยาของสังคมเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่รู้สึกว่าอนาคตของพวกเขาถูกบีบคั้นอยู่แล้วในประเทศที่โอกาสทางเศรษฐกิจจำกัด ขณะที่รายได้สำคัญของประเทศต้องพึ่งพาเงินโอนจากแรงงานในต่างแดนถึงเกือบหนึ่งในสามของ GDP
การประท้วงที่เริ่มจากการเรียกร้องให้ยกเลิกการบล็อกแพลตฟอร์มออนไลน์จึงลุกลามกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่กว้างกว่า มุ่งโจมตีการคอร์รัปชันและระบบอุปถัมภ์ (Nepotism) ที่ฝังรากลึกในแวดวงการเมืองเนปาล
การประท้วงยืดเยื้อและทวีความรุนแรง เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่หลายครั้ง มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 คน แต่แรงกดดันจากถนนไม่เคยลดลง ในที่สุด นายกรัฐมนตรี K. P. Sharma Oli ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ประธานาธิบดีจึงแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการเพื่อประคับประคองสถานการณ์ และประกาศจัดการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ในปี 2026
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนวิกฤตศรัทธาต่อชนชั้นนำ แต่ยังทำให้ “คนรุ่นใหม่” ถูกมองว่าเป็นตัวละครหลักที่กำลังเขียนบทใหม่ให้กับการเมืองเนปาลอย่างแท้จริง
@@ อินโดนีเซีย: จากเบี้ยที่อยู่อาศัยสู่การต่อต้านอภิสิทธิ์ชน
ก่อนที่เนปาลจะเข้าสู่กระแสการประท้วงใหญ่ อินโดนีเซียเองก็เพิ่งประสบกับการลุกฮือของประชาชนในลักษณะคล้ายกัน จุดเริ่มต้นเกิดจากประเด็นที่ดูเหมือนเล็กน้อยแต่สะเทือนใจคนทั่วไปอย่างมาก นั่นคือการเปิดเผยว่าเงินเบี้ยที่อยู่อาศัยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีมูลค่าสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในจาการ์ตาถึงสิบเท่า
ข่าวนี้ออกมาในช่วงที่รัฐบาลกำลังใช้นโยบายรัดเข็มขัด ตัดงบด้านการศึกษา สาธารณสุข และบริการสาธารณะอื่นๆ ทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความย้อนแย้งอย่างรุนแรง
“รัฐขอให้เราประหยัด แต่ชนชั้นนำกลับเสวยสุข” กลายเป็นประโยคที่สะท้อนความไม่พอใจของผู้คนได้อย่างตรงไปตรงมา
การชุมนุมเริ่มต้นขึ้นหน้ารัฐสภาในปลายเดือนสิงหาคม 2025 ก่อนจะขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ ตั้งแต่ Bandung, Yogyakarta, Makassar จนถึง Palembang ความโกรธไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรื่องเงินเบี้ยที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ลุกลามเป็นการต่อต้านความเหลื่อมล้ำและอภิสิทธิ์ชน โดยเฉพาะบทบาทของกองทัพและกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่ถูกมองว่ามีอิทธิพลครอบงำการเมืองมานาน
สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดเมื่อชายหนุ่มอายุเพียง 21 ปีซึ่งทำงานเป็นพนักงานส่งของ ถูกรถหุ้มเกราะของตำรวจพารามิทารีชนจนเสียชีวิต ภาพเหตุการณ์ถูกแชร์ไปทั่วโซเชียลมีเดียและกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอยุติธรรม ประชาชนจำนวนมากโกรธแค้นและออกมาสมทบการชุมนุมมากขึ้น รัฐบาลของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาล
แม้รัฐบาลจะพยายามตอบสนองสองทาง ทั้งการใช้กำลังควบคุมและจับกุมผู้ชุมนุมหลายพันคน ขณะเดียวกันก็ยอมลดสวัสดิการของ สส. บางส่วนเพื่อคลายความไม่พอใจ แต่ความเชื่อมั่นต่อชนชั้นนำก็ยังคงสั่นคลอน
กรณีนี้สะท้อนชัดว่า ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างไม่อาจแก้ได้ด้วยมาตรการลดสิทธิพิเศษเพียงเล็กน้อยหรือชั่วคราว หากปราศจากการปฏิรูปเชิงลึก ความไม่พอใจย่อมพร้อมปะทุขึ้นอีกเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
@@ จุดร่วมของการประท้วงเนปาล–อินโดนีเซีย
แม้เนปาลและอินโดนีเซียจะมีบริบททางการเมือง ประวัติศาสตร์ และเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมองในเชิงเปรียบเทียบแล้วกลับพบจุดร่วมหลายประการที่น่าสนใจและสะท้อนพลวัตใหม่ของการเมืองเอเชีย
ประเด็นแรก คือ การลุกฮือที่มักเริ่มจากเรื่องเล็กๆ แต่กลับลุกลามเพราะโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม กรณีเนปาลเริ่มต้นจากการบล็อกโซเชียลมีเดีย ขณะที่อินโดนีเซียปะทุจากการเปิดเผยเงินเบี้ยที่อยู่อาศัยของ สส. ซึ่งทั้งสองกรณีสะท้อนว่าประเด็นเฉพาะที่ดูเล็กน้อยสามารถเป็นเชื้อไฟให้ความไม่พอใจเชิงโครงสร้างปะทุขึ้นได้
ประการต่อมา คือ บทบาทนำของคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z ที่ใช้สื่อดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งในการระดมมวลชน การสร้างวาทกรรม และการเปิดโปงความไม่เป็นธรรม ความคาดหวังสูงต่ออนาคตที่ดีกว่าทำให้พวกเขาไม่พร้อมทนต่อการเมืองแบบเก่าอีกต่อไป
ในขณะที่รัฐบาลทั้งสองประเทศเลือกใช้ยุทธศาสตร์แบบ “ไม้แข็งควบคู่ไม้ผ่อน” กล่าวคือ มีทั้งการใช้ความรุนแรงและการปราบปรามผู้ชุมนุม แต่ขณะเดียวกันก็ยอมถอยบางจุด เช่น การยกเลิกการบล็อกแพลตฟอร์มบางแห่งในเนปาล หรือการลดสวัสดิการของ สส. ในอินโดนีเซีย
อีกประเด็นสำคัญ คือ วิกฤตความชอบธรรมของชนชั้นนำ การเคลื่อนไหวไม่ได้จำกัดเพียงข้อเรียกร้องเชิงนโยบายเฉพาะจุด แต่คือการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของระบบการเมืองที่ถูกมองว่าไม่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของประชาชน
และท้ายที่สุด เศรษฐกิจก็เป็นปัจจัยเร่ง เนปาลพึ่งพาแรงงานนอกประเทศจนไม่สามารถสร้างโอกาสภายในได้ ส่วนอินโดนีเซียเผชิญค่าครองชีพที่สูง ในขณะที่นักการเมืองยังคงมีอภิสิทธิ์เกินขอบเขต
ทั้งหมดนี้สะท้อนความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นท้าทายชนชั้นนำการเมืองอย่างเข้มแข็ง
@@ พลังของ Gen Z ในเอเชีย
เมื่อมองผ่านแว่นทฤษฎีขบวนการทางสังคมและโครงสร้างโอกาสทางการเมือง จะเห็นว่าการประท้วงในเนปาลและอินโดนีเซียมีจุดร่วมชัดเจน
ความไม่พอใจไม่ได้เกิดจากความยากจนล้วนๆ แต่เป็นการรับรู้ถึง “ความไม่เป็นธรรม” เมื่อเทียบกับอภิสิทธิ์ของชนชั้นนำ การระดมผู้คนเป็นไปอย่างรวดเร็วเพราะโซเชียลมีเดียลดต้นทุนการเข้าร่วมและทำให้สารแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง
กรอบการต่อสู้ที่เรียบง่ายอย่าง “อภิสิทธิ์ชนปะทะประชาชนธรรมดา” ยิ่งช่วยสร้างเอกภาพและขยายแนวร่วม แต่ถึงแม้แรงกดดันมหาศาลจะบีบให้รัฐบาลถอยบางก้าว พวกเขาก็ยังเลือกใช้กำลังเป็นเครื่องมือหลัก ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างยังไม่เกิดขึ้นจริง
ปรากฏการณ์ที่เนปาลและอินโดนีเซียสะท้อนว่า Gen Z ได้กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนใหม่ของการเมืองเอเชีย พวกเขาไม่ยอมรับการเมืองแบบเดิมที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิ์และความไม่เป็นธรรม และพร้อมจะใช้ทั้งท้องถนนและโลกดิจิทัลเพื่อสร้างแรงกดดัน
คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ “รัฐจะตอบสนองอย่างไร?” เพราะถ้ารัฐบาลยังเลือกใช้วิธีการปราบปรามเพียงอย่างเดียว ขบวนการของคนรุ่นใหม่อาจถอยชั่วคราว แต่ก็จะกลับมาอีกครั้งเมื่อโอกาสเปิด
ขณะที่ถ้ารัฐบาลยอมปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น ลดอภิสิทธิ์ชน ปรับกติกาเลือกตั้ง เปิดเสรีภาพดิจิทัล ลงทุนในโอกาสทางเศรษฐกิจของเยาวชน ก็อาจสร้างความชอบธรรมใหม่และลดแรงปะทุได้
สำหรับภูมิภาคเอเชียแล้ว เนปาลและอินโดนีเซียอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขบวนการทางสังคมระลอกใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังตอกย้ำว่า “การเมืองแห่งอนาคตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ได้แค่รอคอยการเปลี่ยนแปลง แต่พวกเขาพร้อมที่จะลุกขึ้นมา สร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง
