
การประเดิมโต๊ะพูดคุยสันติสุขรอบใหม่ แต่คุยกับคนหน้าเดิมคือ BRN ภายใต้ผู้นำคณะคนเดิม คือ อุสตาซ อานัส อับดุลเราะห์มาน ได้รับการโฆษณาจากสำนักงานผู้ประสานงานรัฐบาลมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวก ว่า ประสบความสำเร็จ และสะท้อนถึงความก้าวหน้า
แต่ในสายตาของนักวิชาการที่เกาะติด และติดตามปัญหาชายแดนใต้ ตลอดจนศึกษาวิจัยกระบวนการสันติภาพทั้งของไทย และพื้นที่ขัดแย้งต่างๆ ทั่วโลก อย่าง ดร.ซาช่า เฮลบาร์ธ นักวิจัยชาวเยอรมัน ซึ่งศึกษาโครงสร้างของ BRN และปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เชิงลึก กลับมองสวนทาง
เขาวิจารณ์ตรงๆ ว่า โต๊ะพูดคุยที่ริเริ่มขึ้นมาใหม่ในรอบ 15 เดือน ไม่ได้มีอะไรใหม่ นอกจากหัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ของฝ่ายรัฐบาลไทย คือ “บิ๊กอั๋น” พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา อดีตเลขาธิการ สมช.เท่านั้น
ซ้ำร้าย โต๊ะพุดคุยยังติดกับดักเดิมๆ ที่สลัดไม่หลุด และถ่วงรั้งให้กระบวนการสันติภาพของไทยเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมืดมน
@@ อ้าง end state เรื่องเหลวไหล หัวใจอยู่ที่ “วิธีการ”
ดร.ซาช่า ให้ความเห็นเอาไว้ 8 ประเด็น ดังนี้
1. การพูดถึง “สถานะสุดท้าย” หรือ end state ที่ระบุชัดเจนในแถลงการณ์ (ใช้คำว่า เป้าหมายสุดท้าย) ว่า จะต้องตั้งอยู่บนเสาหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การยุติความความรุนแรง, การปรึกษาหารือสาธารณชน และการแก้ปัญหาทางการเมืองนั้น
ดร.ซาช่า บอกว่า “เป็นเรื่องเหลวไหล” และว่า “ผมก็หวังให้พรุ่งนี้อากาศดีเหมือนเป็น ‘สถานะสุดท้าย’ ของผมเช่นกัน”
ดร.ซาช่า ขยายความว่า คำว่า end state มีความหมาย 2 นัย และไม่น่าจะนำมาใช้ในบริบทนี้
“เพราะทั้งหมดคือเรื่องของ ‘วิธีการ’ ที่จะบรรลุผลนั้น และเรื่องของสัมปทานทางการเมืองที่ฝ่ายไทยยินดีจะให้ แต่ไม่ใช่การไปให้น้ำหนักที่เป้าหมาย”
@@ “ตัวจริง” อยู่ไหน? “พี่ไทย” ยังหาไม่เจอ
2. ทีมเจรจาของไทยอ้างว่าได้พูดคุยกับผู้นำ BRN ตัวจริง แต่ในความเห็นอันถ่อมตัวของผม นี่ไม่เป็นความจริง
3.เรายังคงเผชิญกับคำถามเดิมที่ยังไม่มีคำตอบ นั่นก็คือทำไมผู้นำ BRN ตัวจริงจึงควรมาพูดคุยกับฝ่ายไทย?
เป็นเพราะไม่มีแรงกดดันที่น่าเชื่อถือจากรัฐบาลมาเลเซียใช่หรือไม่ (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าหน้าที่มาเลย์หลายคนสันนิษฐานว่าการเจรจาของไทยไม่จริงใจ)
ขณะเดียวกัน นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียเอง ก็ยังคงมีปัญหาในการเข้าถึงผู้นำตัวจริง แม้ว่าเขาอาจมีช่องทางการติดต่อบ้าง แต่เขายังไม่สามารถโน้มน้าวให้พวกเขามาพูดคุยได้
ที่สำคัญ ไทยเองก็ไม่มีกลยุทธ์ที่สามารถเอาชนะในสนามการต่อสู้ในพื้นที่ภาคใต้ของตัวเองได้
@@ แม่ทัพภาค 4 มึนงง... “กระทงหลงทาง”
4. เหตุผลทั้่งหมดในข้อ 3 นำไปสู่คำถามถัดไป คือ กลยุทธ์ของ “แม่ทัพภาคที่ 4” เกี่ยวข้องกับการพูดคุยอย่างไร?
นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการพูดคุย เพราะหากกองทัพบกไทยสามารถเข้าถึงและทำให้องค์กรใต้ดินของ BRN อ่อนแอลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โอกาสที่ผู้นำ BRN จะถูกโน้มน้าวให้มาพูดคุยก็จะสูงขึ้น ขณะเดียวกันตำแหน่ง/อำนาจในการเจรจาของไทยก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากด้วย
“แต่ผมไม่เห็นอะไรในเรื่องนี้เลย สิ่งที่ BRN ทำในพื้นที่ ทั้งการเกณฑ์คน, การปลูกฝังอุดมการณ์, การเงิน, การส่งกำลังบำรุง และการโจมตียังคงดำเนินต่อไปโดยแทบไม่ถูกรบกวน และดูเหมือนว่าแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่จะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น การต่อสู้กับยาเสพติด”
@@ “อนุทิน” ไม่ใส่ใจ - “คณะพูดคุย”ไร้ mandate
5. แม้ว่าผู้นำ BRN ตัวจริงจะมาพูดคุยกับทีมเจรจาของไทย คำถามคือ ทีมงานสามารถเสนอสัมปทานทางการเมืองอะไรได้บ้าง?
แน่นอนว่าเรื่องนี้ควรเป็นความลับ แต่ผมสันนิษฐานว่าทีมงานไม่มีอาณัติที่ชัดเจนสำหรับการให้สัมปทานใดๆ เลย ซึ่งเชื่อมโยงกับประเด็นถัด...
6. นายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจความซับซ้อนของความขัดแย้งในภาคใต้ และดูเหมือนว่าจะไม่สนใจ
“ผมไม่เห็นว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าคุณอนุทินจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปก็ตาม นอกจากนี้ คุณอนุทินยังเป็นผู้นำที่อ่อนแอทางการเมือง”
7. ในสถานการณ์เช่นนี้ อาจมีเพียงอำนาจที่สูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถให้สัมปทานทางการเมืองที่แท้จริงซึ่งเป็นที่ยอมรับของ BRN ได้ และอาจมีเพียงการมีส่วนร่วมของอำนาจทางการเมืองที่สูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถโน้มน้าวได้ว่าประเทศไทยมีความจริงใจในความตั้งใจที่จะเจรจา
แต่สำหรับสิ่งนี้ อำนาจที่สูงกว่าจะต้องมั่นใจว่าทีมงานได้พูดคุยกับผู้นำ BRN ตัวจริง ทีมเจรจาทราบดีว่าตนไม่มีช่องทางเข้าถึงนี้
8. บทสรุปของ ดร.ซาช่า คือ... “ละครฉากนี้จึงดำเนินต่อไป... และผู้คนก็ยังคงต้องเสียชีวิต”
@@ 2 ทฤษฎีเจรจาสันติภาพ... โจทย์ยากรัฐไทย?
ดร.ซาช่า ขยายความเพิ่มเติมว่า แนวคิดเรื่องการเจรจาสันติภาพ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างมุมมองหลัก 2 มุมมองในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการแก้ไขความขัดแย้ง ซึ่งมักจะเรียกโดยรวมว่า ทฤษฎีตามบรรทัดฐาน (Normative Theory) และ ทฤษฎีตามความเป็นจริง (Realist Theory)
1. ทฤษฎีการเจรจาสันติภาพตามบรรทัดฐาน (Normative Peace Talk Theory)
- เน้นที่กระบวนการ และค่านิยมในการเจรจา (The process and the values)
- แก่นสาร : เชื่อว่าการบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของกระบวนการ การสื่อสารที่เปิดกว้าง ความเข้าใจในข้อกังวลของอีกฝ่าย และการเคารพกฎเกณฑ์และหลักการบางอย่าง
- มุมมองของ Jonathan Powell : ในฐานะอดีตหัวหน้าผู้เจรจาของอังกฤษในไอร์แลนด์เหนือ Powell เชื่อว่าหนทางเดียวที่จะยุติความขัดแย้งได้คือ การพูดคุย แม้กระทั่งกับกลุ่มที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
- เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “กระบวนการ” (Process) และ “ความหวัง” (Hope) โดยกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่มีกระบวนการ คุณก็จะมีสุญญากาศ สุญญากาศนั้นจะถูกเติมเต็มด้วยความรุนแรง เพราะไม่มีใครมีความหวังว่าจะมีทางแก้ไข”
- ความจริงใจ (Sincerity) จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ฝังอยู่ในแนวคิดนี้ เพราะหากกระบวนการทั้งหมดเป็นเพียงการแสดง แต่ไร้ซึ่งความตั้งใจจริงที่จะรับฟังและประนีประนอม การเจรจาตามบรรทัดฐานก็จะล้มเหลว
- หัวใจสำคัญ คือ การรับฟังข้อกังวลที่แท้จริง (grievances) และการสร้างความไว้วางใจผ่านการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง
2. ทฤษฎีการเจรจาสันติภาพตามความเป็นจริง (Realism Peace Talk Theory)
- เน้นที่ อำนาจ และผลประโยชน์ (Power and interests)
- แก่นสาร : เชื่อว่าการเจรจาสันติภาพเป็นเพียงการสะท้อนถึงความสมดุลของอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ ผลลัพธ์ของการเจรจาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจริงใจหรือความถูกต้องทางศีลธรรม แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครมีอำนาจต่อรองมากกว่า และฝ่ายใดกำลังอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอลง
- มุมมองของ Mitchell Reiss : มุมมองนี้สอดคล้องกับแนวคิดสัจนิยมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่า รัฐ (หรือคู่ขัดแย้ง) เป็นผู้เล่นหลักที่ขับเคลื่อนด้วยการแสวงหาความมั่นคงและผลประโยชน์ของตนเอง
- สันติภาพคือสันติภาพของผู้ชนะ : ข้อตกลงสันติภาพมักเป็นเพียงการทำให้ความจริงทางอำนาจที่มีอยู่ในสนามรบ หรือตำแหน่งทางเศรษฐกิจและการเมือง
- สิ่งสำคัญ : การพิจารณา BATNA (Best Alternative to a Negotiated Agreement) หรือทางเลือกที่ดีที่สุดนอกเหนือจากข้อตกลงที่เจรจาได้ หากอำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้มแข็งพอที่จะบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ต้องเจรจา โอกาสในการเจรจาก็จะลดลง
(ดูกราฟฟิกของ ดร.ซาช่า เพิ่มเติม)



