เมื่อ “ปลากะพง 3 น้ำ” จากทะเลสาบสงขลา ขึ้นห้างดังกลางกรุงเทพฯ ในฐานะปลากะพง GI หนึ่งเดียวในไทย แถมเสริมเทคนิค “อิเคะจิเมะ” สร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหลายแสนบาท การันตี “สด เนื้อหวาน ทานดิบได้” ในสไตล์ซาซิมิ ส่งผลมูลค่าปลาพุ่งทะลุตัวละ 900 เงินหมุนเวียนทั้งตลาด 2,250 ล้านต่อปี
วันพฤหัสบดีที่ 11 ก.ย.68 นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง จะลงพื้นที่ให้กำลังใจเกษตรกรผู้เลี้ยง “ปลากะพง 3 น้ำ” จากทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นปลากะพง GI (Geographical Indication) หนึ่งเดียวของประเทศไทย
และในวันเดียวกัน อธิบดีกรมประมงจะไปร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์สุดยอดวัตถุดิบคุณภาพ อาหารสดจากทะเลสาบสงขลา ที่ร้านมหาสมุทรซีฟู้ด Tops Food Hall สาขาเซ็นทรัลพระราม 9 กรุงเทพฯ โดยมี “ปลากะพง 3 น้ำ” เป็นวัตถุดิบชูโรง
ปลากะพง 3 น้ำ มีแหล่งเลี้ยงครอบคลุม 5 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ อำเภอเมืองสงขลา อ.สิงหนคร อ.หาดใหญ่ อ.บางกล่ำ และ อ.ควนเนียง ซึ่งเป็นพื้นที่โดยรอบทะเลสาบสงขลา จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะจากระบบนิเวศของทะเลสาบ ผสานทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย ส่งผลให้เนื้อปลามีรสชาติอร่อยที่แตกต่าง ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.2565
GI คือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ คือ สินค้า GI จึงเป็นสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตเฉพาะเจาะจง โดยคุณภาพและชื่อเสียงของสินค้ามีความเชื่อมโยงกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของพื้นที่นั้นๆ
GI จึงทำหน้าที่เหมือนเป็น “แบรนด์ประจำท้องถิ่น” ที่การันตีคุณภาพและแหล่งที่มา ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าเป็นสินค้าแท้ และยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า รักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนผู้ผลิตอีกด้วย
สินค้า GI ต้องขึ้นทะเบียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้า และเป็นเครื่องมือทางการตลาดอย่างหนึ่ง แถมยังได้รับการคุ้มครองสิทธิในการใช้ ให้เป็นของผู้ผลิตในชุมชนนั้น พูดง่ายๆ คือ คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา รักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ช่วยให้การผลิตแบบดั้งเดิมยังคงอยู่ และได้รับการสืบทอด รวมถึงการรักษาสภาพแวดล้อมดั้งเดิม เพราะเอกลักษณ์ของสินค้า GI ขึ้นกับ ดิน น้ำ สภาพอากาศ หรือกรรมวิธีอื่นๆ ด้วย
ที่สำคัญ สินค้า GI ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังแหล่งผลิตได้ ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าอย่างครบวงจร และกระจายรายได้
“ปลากะพง 3 น้ำ” เป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงเผชิญปัญหาราคาตกต่ำ ต้องพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง แต่ล่าสุดได้รับการถ่ายทอดเทคนิค “อิเคะจิเมะ” ซึ่งเป็นการปลิดชีพปลาอย่างสงบแบบญี่ปุ่น ช่วยคงความสด เนื้อแน่น ลดกลิ่นคาว และสามารถทานดิบได้แบบซาซิมิ ทำให้ราคาขายเพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 150 บาท เป็น 180 บาท และสามารถขยายตลาดไปยังห้างค้าปลีกชั้นนำ เช่น สยามพารากอน เดอะมอลล์ท่าพระ เซ็นทรัล และเตรียมเข้าสู่ Tops ทุกสาขา
จุดเด่นของ “ปลากะพง 3 น้ำ” จากทะเลสาบสงขลา คือ เลี้ยงธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีไม่มีกลิ่นคาว ใช้เทคนิคญี่ปุ่นแบบอิเคะจิเมะ ทำให้เนื้อแน่นฟู สีชมพู รสชาติหวาน ทานอร่อย
วันเพ็ญ สายชนะพันธ์ ประธานกลุ่มเลี้ยงปลากะพงเกาะยอ เล่าว่า หลังใช้เทคนิคอิเคะจิเมะ กลุ่มผู้เลี้ยงสามารถสร้างรายได้กว่า 400,000 บาทต่อรายต่อเดือน โดยปลากะพงเกาะยอได้รับเสียงตอบรับดีจากผู้บริโภคว่า “สด เนื้อหวาน ทานดิบได้”
นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ผลักดันเทคนิคอิเคะจิเมะในเกาะยอ กล่าวว่า หากมีการขยายการใช้เทคนิคนี้อย่างแพร่หลาย ควบคู่กับการหาตลาดรองรับ จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้กว่า 900 บาทต่อปลา 1 ตัว และสร้างเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 2,250 ล้านบาทต่อปี

สำหรับกิจกรรมประชาสัมพันธ์ในวันพฤหัสบดีที่ 11 ก.ย. จัดขึ้นที่ Tops Food Hall เซ็นทรัลพระราม 9 กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 16.30 – 17.30 น. ไฮไลต์สำคัญคือการสาธิตการทำเมนูพิเศษจากปลากะพง 3 น้ำ โดย เชฟทองเลี่ยม พุกทอง นายกสมาคมเดอะเชฟประเทศไทย พร้อมให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองรสชาติความสดใหม่จากทะเลสาบสงขลา
ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้า GI ไทยสู่ตลาดระดับพรีเมียม และยกระดับรายได้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพง 3 น้ำใน จ.สงขลาอย่างยั่งยืน
