
คดีที่ศาลจังหวัดยะลามีคำสั่งยกคำร้อง กรณีญาติขอให้ยุติการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมในคดีของนายมังซูร (สงวนนามสกุล) ยังคงเป็นข้อถกเถียงทั้งทางกฎหมายและทางวิชาการ
โดยเฉพาะที่ศาลให้เหตุผลว่า แม้จะมีการกระทำในลักษณะ “หยาบคาย - ไม่สมควร” กับผู้ถูกควบคุมตัว เช่น เตะที่ขา ใช้มือผลักศีรษะ แต่ไม่ถือว่าเข้าข่ายการทรมานตามกฎหมาย
อ่านประกอบ : ฟังความ 2 ด้าน “คดีซ้อมทรมาน” ยกคำร้องแรกที่ชายแดนใต้
ความน่าสนใจก็คือ คดีนี้เป็นการไต่สวนคดีแรกภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้มานาน 3 ปี และเป็นการไต่สวนคดีแรกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษ อย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎอัยการศึกด้วย
ทั้งหมดจึงเป็นเงื่อนแง่ให้วิเคราะห์วิจารณ์กันต่อว่า การตีความกฎหมายในลักษณะนี้ จะกลายเป็น “ใบอนุญาต” ให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการบางอย่างที่ถูกมองว่า “ไม่สมควร” หรือ “หมิ่นเหม่ที่จะผิดกฎหมาย” หรือไม่
ขณะที่ “กฎหมายพิเศษ” ส่งผลให้น้ำหนักการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ลดความเข้มข้นลงไปกว่าที่ควรจะเป็นหรือเปล่า ในทำนองที่ว่า กฎหมายพิเศษเปิดช่องให้ “จำกัดสิทธิ” หรือ “ละเมิดสิทธิ” ประชาชนได้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ
แล้วสิ่งที่เรียกว่าการเคารพสิทธิอย่างเท่าเทียม จะอยู่ตรงไหนของสถานการณ์นี้...
@@ อัยการชี้ช่อง “ญาติมังซูร” ร้องใหม่ได้ผ่าน 4 หน่วยงาน
เเหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า จากที่ทราบข้อมูลของนายมังซูร พบว่าเป็นขั้นตอนการควบคุมตัว นายมังซูร ซึ่งจะเป็นไปตาม มาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ
มาตรา 26 กำหนดให้บุคคลที่ทราบว่ามีการทรมาน การกระทำโหดร้าย ย่ำยีศักดิ์ศรี หรือการอุ้มหาย สามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งยุติการกระทำนั้นทันทีได้ โดยผู้มีสิทธิยื่นคำร้องได้แก่ ผู้เสียหาย, พนักงานอัยการ, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง, พนักงานสอบสวน, คณะกรรมการตามกฎหมาย หรือแม้แต่ “บุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย” จึงเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนทั่วไปสามารถเป็นผู้ร้องได้
“เรื่องรายละเอียดการไต่สวนของศาลจังหวัดยะลา ผมไม่ขอก้าวล่วง เนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดพยานที่ปรากฏในการไต่สวน” แหล่งข่าวจากอัยการรายนี้ ออกตัวในเบื้องต้น
แต่แหล่งข่าวซึ่งเป็นอัยการที่เชี่ยวชาญและอยู่ในแวดวงการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการซ้อมทรมาน อธิบายในแง่มุมของเจตนารมณ์กฎหมายว่า มาตรา 26 เป็นเรื่องที่กฎหมายนำมาป้องกันการซ้อมทรมานตั้งแต่ชั้นการควบคุมตัว ซึ่งเป็นขั้นตอนการเริ่มต้น
“ต้องชมคนเขียนกฎหมายนี้ เพราะนอกจากการคุมตัวตามมาตรา26 แล้ว ยังมีมาตราอื่นอีกที่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด”
“ที่สำคัญขั้นตอนเมื่อศาลยกคำร้องไปเเล้ว ญาติผู้ต้องหายังมีสิทธิยื่นคำร้องได้อีกครั้ง ตามมาตรา 5 เเละมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้”
@@ แจกแจงชัด “ทรมาน 2 ระดับ” ไม่ต้องใช้กำลังทำร้ายก็เข้าข่าย!
เขาอธิบายแจกแจงว่า มาตรา 5 กำหนดให้การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงต่อร่างกายหรือจิตใจของบุคคล เพื่อวัตถุประสงค์ในการได้มาซึ่งข้อมูล/คำสารภาพ, ลงโทษ, ข่มขู่ หรือเลือกปฏิบัติต่อผู้อื่น ถือเป็นความผิดฐาน “ทรมาน” และมีโทษตามกฎหมาย
มาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 บัญญัติถึง “การกระทำโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” โดยนิยามว่าเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง ไม่ใช่แค่เพียงความเจ็บปวดทั่วไป และแตกต่างจาก “การทรมาน” ที่ต้องมีความเจ็บปวดอย่างร้ายแรงถึงระดับอันตราย
อัยการรายนี้ อธิบายว่า จะเห็นว่ามาตรา 5 ผู้ที่กระทำความผิดต้องรับโทษจำคุกสูงมาก คือ ตั้งแต่ 5 ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 1 ถึง 3 แสนบาท หากผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัส จะต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ถึง 25 ปี และปรับตั้งแต่ 2 ถึง 5 แสนบาท หากผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย จะต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 3 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งโทษหนักมาก
เเต่ในมาตรา 6 จะเห็นว่านิยามคำว่า “ทรมาน” ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนเเรงขนาดทำร้ายร่างกาย เเค่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวข่มขู่ หรือจิตใจหวาดกลัว ก็เข้าข่ายเเล้ว
“ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐที่โดนดำเนินคดี ก็มีที่ใช้วิธีการที่ไม่ใช่ซ้อมทรมานโดยกำลังเพียงอย่างเดียว เเค่นำไปไว้ในห้องเเอร์ กดดัน ทิ้งไว้ให้หนาว หรือให้น้ำหยดใส่ ข่มขู่ให้หวาดกลัว เเค่นี้ก็เข้าข่ายเเล้ว”
@@ เตือนมี กม.พิเศษคุ้มครอง แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
“ในสามจังหวัดชายเเดนภาคใต้เอง เเม้มีการใช้กฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจสามารถนำไปคุมตัวที่ศูนย์ซักถามได้ถึง 7 วัน ก็จะคล้ายๆ กับคดียาเสพติดที่คุมตัวเพื่อขยายผลได้นาน 3 วัน ก่อนยื่นฝากขัง เเต่ก็ยังต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ คือเมื่อมีการควบคุมตัว ก็จะต้องถ่ายรูป ถ่ายดีโอ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีการซ้อมบังคับทรมานด้วย”
“กรณีดังกล่าวนี้ (นายมังซูร) ญาติผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องต่อศาลโดยตรงระหว่างถูกคุมตัว เเต่ไม่ได้มายื่นต่อ 4 หน่วยงานที่ประกอบด้วย พนักงานสอบสวน อัยการ ฝ่ายปกครอง หรือดีเอสไอ ซึ่งถือว่าเป็นการยื่นขอปล่อยตัวผู้ถูกควบคุม ยังไม่มีคดีเกิดขึ้น การยื่นคำร้องจึงเป็นไปตามมาตรา 26 เเล้ว ซึ่งเเม้ความจริงเเล้วมันควรต้องโยงมาตรา 5 เเละ 6 ด้วย”
“เเต่หลังจากนี้เมื่อเกินขั้นตอนตามมาตรา 26 ไปเเล้ว ญาติผู้เสียหายยังสามารถไปยื่นคำร้องกับ 4 หน่วยงานที่บอก (พนักงานสอบสวน อัยการ ฝ่ายปกครอง หรือดีเอสไอ) ไม่ว่าจะเป็นอัยการจังหวัดยะลา ฝ่ายปกครองยะลา หรือหน่วยงาน 1 ใน 4 หน่วยที่ท่านมั่นใจ เป็นไปตามมาตรา 31 ของกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เป็นคดีให้หน่วยงาน 1 ใน 4 เขาสามารถสอบสวนการควบคุมตัวว่าชอบด้วยกฎหมายซ้อมทรมานหรือไม่ ซึ่งในภายหลังก็อาจจะปรากฏพยานหลักฐานว่า การคุมตัวดังกล่าวอาจจะขัดต่อมาตรา 5 หรือ 6 ตามที่กฎหมายระบุไว้ก็ได้”
@@ “มังซูร - ยะลา” คดีแรกตาม ม.26 พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
พนักงานอัยการรายนี้ บอกด้วยว่า คดีนายมังซูร นับเป็นคดีเเรกที่มีการร้องตามมาตรา 26 โดยก่อนหน้านี้เคยมีการร้องให้ตรวจสอบคดีทรมานในสถานีตำรวจเเห่งหนึ่งใน กทม.เเต่ตรวจสอบเเล้วไม่พบ คดีนี้จึงเป็นคดีเเรกตามมาตรา 26 อย่างแท้จริง
เเหล่งข่าวนักกฎหมายสายวิชาการอีกราย มองว่า ปัญหาในการพิจารณาคดีในสามจังหวัดชายเเดนภาคใต้ยังค่อนข้างมีปัญหามาก เนื่องจากมีการใช้กฎหมายพิเศษจนเคยชิน จนทำให้การใช้ดุลพินิจของผู้บังคับใช้กฎหมายค่อนข้างชินตามรูปเเบบเดิม เหมือนผลคดีหลายๆ คดีที่ออกมา
ฉะนั้นเมื่อมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพใหม่ออกมา แต่ผู้บังคับใช้กฎหมายหลายท่านาจจะยังมีทัศนคติเเบบเดิม ฉะนั้นการจะมีการเปลี่ยนเเปลงได้ อาจจะต้องใช้ความกล้าหาญในการใช้ดุลพินิจเปลี่ยนเเปลงตามบริบทให้มากยิ่งขึ้นอีก
